เราได้เห็นถึงการทำลายล้างที่มีสาเหตุมาจากถ่านหิน ตั้งแต่โรคฝุ่นจับปอด ไปจนถึงไฟถ่านหิน และน้ำทิ้งจากเหมืองถ่านหินที่มีสภาพเป็นกรด เราได้เปิดเผยให้เห็นถึงผลกระทบของโรงไฟฟ้าถ่านหินทั้งในระดับท้องถิ่นและระดับโลก ซึ่งรวมไปถึงภัยคุกคามเร่งด่วนของก๊าซเรือนกระจกที่ก่อตัวอยู่ในชั้นบรรยากาศ นอกจากนี้เรายังได้ให้ความสนใจกับมรดกที่ทิ้งไว้จากถ่านหินซึ่งถือเป็นอันตรายที่มักถูกลืมที่เกิดจากเหมืองถ่านหินร้างและความพยายามในการฟื้นฟูสภาพที่ไม่เคยสัมฤทธิ์ผล
การวิเคราะห์ของสถาบันวิจัย CE Delft แห่งเนเธอร์แลนด์ ระบุว่า ต้นทุนผลกระทบภายนอกของถ่านหินรวมอยู่ที่ 3,536 แสนล้านยูโรต่อปี แต่ตัวเลขที่มากน่าตกใจนี้ก็น่าจะเป็นเพียงการประมาณการที่ต่ำเกินไป ทุกวันนี้การประเมินปริมาณการปล่อยสารพิษให้ได้ทั้งหมดนั้นยังไม่สามารถทำได้ รวมถึงการคำนวณเชิงปริมาณของการเกิดความเสียหายจากถ่านหินจากทั่วโลกด้วยเช่นกัน
ต้นทุนจริงของถ่านหินตอกย้ำให้เห็นถึงความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินการเพื่อหลีกเลี่ยงหายนะที่จะเกิดขึ้นในอนาคตจากการใช้ถ่านหิน แท้ที่จริงแล้ว เราควรลดละเลิกการใช้ถ่านหิน หากต้องการรักษาระดับอุณหภูมิให้ต่ำกว่าระดับ 2 องศาเซลเซียส ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ (เทียบกับระดับอุณหภูมิช่วงก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม) รวมทั้งเป็นการหลีกเลี่ยงผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของภูมิอากาศที่เป็นอันตราย
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าปัจจุบัน โลกกำลังเผชิญกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และต้นทุนค่าใช้จ่ายอื่นๆ ที่มาจากถ่านหิน หลายประเทศก็ยังคงมีแผนการที่จะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินแห่งใหม่ ซึ่งหากแผนการดำเนินงานในปัจจุบันเป็นไปตามนั้น จะทำให้การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จากถ่านหินเพิ่มเป็นร้อยละ 60 ภายในปี 2573 แผนการดังกล่าวไม่เพียงแต่ขาดความยั่งยืนในอนาคตอย่างที่สุดแล้ว แต่เป็นแผนการที่ไม่จำเป็นและมีอันตราย
อนึ่ง ยังมีทางเลือกในการดำเนินการอื่นที่ไม่ใช้ถ่านหิน และเป็นทางเลือกที่สามารถนำมาใช้ได้จริง แผนการปฏิวัติพลังงานของกรีนพีซมีแนวทางที่สามารถนำไปปฏิบัติได้จริง ที่แสดงให้เห็นว่าเมื่อนำพลังงานหมุนเวียนมารวมเข้ากับประสิทธิภาพด้านพลังงานที่ดียิ่งขึ้น สามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากเชื้อเพลิงฟอสซิลทั่วโลกได้ถึงร้อยละ 50 ทางออกดังกล่าวสามารถนำมาใช้ในด้านพลังงานในระดับเดียวกันกับการใช้พลังงานจากถ่านหิน ทั้งยังช่วยให้เราสามารถลดการพึ่งพาถ่านหินลงไปอีกด้วย
การนำทางออกใหม่มาใช้เป็นเรื่องที่เป็นไปได้เนื่องจากความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ช่วยให้เทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียน เช่น กังหันลม แผงเซลแสงอาทิตย์หรือโฟโตวอลเทอิก โรงไฟฟ้าชีวมวล และการทำความร้อนจากแสงอาทิตย์ (Solar Thermal Collectors) กลายมาเป็นเทคโนโลยีกระแสหลัก นอกจากนี้ ตลาดของพลังงานหมุนเวียนยังเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วอีกด้วย ในปี 2550 การลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียนทั่วโลกมีมูลค่าเกิน 1 แสนล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเวลาเดียวกัน การใช้พลังงานของเราก็ยังไม่มีประสิทธิภาพอย่างน่าเสียดาย กล่าวคือ ยังมีการเผาไหม้ถ่านหินในปริมาณมากเพื่อนำมาเป็นพลังงาน ซึ่งถือเป็นเรื่องที่สูญเปล่าที่เราสามารถหลีกเลี่ยงได้ง่ายๆ หากใช้มาตรการประสิทธิภาพพลังงานและเทคโนโลยีที่มีอยู่
การหันหลังให้กับการใช้ถ่านหินจึงเป็นแนวทางเดียวที่เราต้องทำ เนื่องจากโลกของเราไม่สามารถแบกรับได้อีกต่อไป ต้นทุนผลกระทบภายนอกที่ถ่านหินทำความเสียหายให้กับภูมิอากาศ โลกของเราและตัวเราเองนั้นมีสูงเกินไป ถ่านหินอาจจะมีความจำเป็นในการขับเคลื่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่ช่วงเวลานั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว ขณะนี้เราต้องร่วมมือกันทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงในรูปแบบอื่นซึ่งใช้พลังงานหมุนเวียนที่สะอาดและยั่งยืนเป็นตัวขับเคลื่อน ทางออกเหล่านี้จะช่วยปกป้องสภาพภูมิอากาศของโลก สุขภาพและสิ่งแวดล้อมของเราทั้งในปัจจุบันและคนรุ่นอนาคต