เรียบเรียงจาก https://www.theguardian.com/environment/damian-carrington-blog/2016/jun/24/uks-out-vote-is-a-red-alert-for-the-environment

วาระด้านสิ่งแวดล้อมไม่ได้รับความสนใจมากนักในวิวาทะเรื่อง Brexit แต่นี่คือการวิเคราะห์ที่น่าสนใจของเดอะการ์เดียน

ผลกระทบที่จะเกิดขึ้นหลังจากสหราชอาณาจักรออกจากสหภาพยุโรปที่พอมองเห็นได้คือ ตลาดการเงินที่พังลงจะส่งผลต่อการลงทุนขนาดใหญ่ที่จำเป็นต่อการสร้างสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัยและสะอาดขึ้น กระทบต่อภาคเศรษฐกิจสีเขียวที่เติบโตอย่างรวดเร็วของประเทศซึ่งสหราชอาณาจักรเป็นผู้นำอยู่

แม้มีข้อวิพากษ์เรื่องความล้มเหลวของสถาบันต่างๆ ที่สหภาพยุโรปสร้างขึ้น (สภายุโรป-Parliament- คณะกรรมาธิการยุโรป-Commission และคณะมนตรียุโรป-Council) แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าสหราชอาณาจักรได้ประโยชน์จากกฎเกณฑ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดและครอบคลุมของสหภาพยุโรป

นักการเมืองฝ่ายขวาในสหราชอาณาจักรและประเทศอื่นๆ ในยุโรป ยังไม่คิดว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมันเป็นวิกฤต และต้องการยกเลิกการจำกัดการปล่อยมลพิษจากโรงไฟฟ้า

มีคนเสียชีวิตก่อนวัยอันควรจากมลพิษทางอากาศ 400,000 คนต่อปี ในจำนวนนั้นมี 40,000 คนในสหราชอาณาจักร สหภาพยุโรปได้กำหนดมาตรการทางกฎหมายใหม่ขึ้นในปี 2010 เมืองใหญ่น้อยหลายเมืองในสหราชอาณาจักรยังคงมีระดับมลพิษทางอากาศเกินค่าที่กำหนดไว้ นักกิจกรรมรณรงค์ใช้กฎเกณฑ์ของสหภาพยุโรปที่มีอยู่เพื่อฟ้องร้องรัฐบาลสหราชอาณาจักร รัฐมนตรีหลายคนของสหราชอาณาจักรเองก็ฝ่าฟันให้ได้กฎเกณฑ์ของอียูใหม่เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตก่อนวัยอันควร มลพิาทางอากาศนั้นไม่จำกัดอยู่ในเขตพรมแดนประเทศ และร้อยละ 88 ของนักวิชาชีพด้านสิ่งแวดล้อมในสหราชอาณาจักรคิดว่าจะเป็นต้องมีนโยบายที่ครอบคลุมทั่วสหภาพยุโรปด้วย

ปฏิบัติการทางกฎหมายก่อนหน้านี้จากสหภาพยุโรปบังคับให้สหราชอาณาจักรทำความสะอาดน้ำเสีย พื้นที่ชายหาดที่เสื่อมโทรม ในขณะที่ การปกป้องธรรมชาติ สัตว์ป่าและพรรณพืชทั่วทั้งสหราชอาณาจักรมาจากกฎเกณฑ์ของสหภาพยุโรป ผู้คนที่ทำงานเพื่อปกป้องสถานที่มหัศจรรย์เหล่านี้และฟื้นฟูความเสียหายที่ผ่านมาต่างคิดว่าการออกจากสหภาพยุโรปนั้นเป็นความผิดพลาด ร้อยละ 66 บอกว่า มันจะลดมาตรการทางกฎหมายในการปกป้องสัตว์ป่าและพรรณพืช และถิ่นที่อยู่อาศัยของมัน ส่วนร้อยละ 30 คิดว่ามันจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น

สหภาพยุโรปยังขับเคลื่อนให้เกิดการปฏิวัติในเรื่องของการีไซเคิลและการจัดการของเสีย สำหรับผู้คนที่ทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นจริงๆ สองในสามคิดว่ามันจะแย่ลง ร้อยละ 30 บอกว่า เหมือนเดิม และร้อยละ 4 คิดว่ามันจะมีการปรับปรุงให้ดีขึ้น

นโยบายของสหภาพยุโรปที่สำคัญอันหนึ่งคือการอุดหนุนเกษตรกร ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อสัตว์ป่าและพรรณพืชจากการที่กระตุ้นให้เกิดการเกษตรแบบเข้มข้นที่มีลักษณะทำลาย มีนกน้อยลง 421 ล้านตัว ในยุโรป เมื่อเทียบกับ 30 ปีก่อน แต่นโยบายเกษตรกรรมร่วม (Common Agricultural Policy)ของสหภาพยุโรปถูกยกระดับให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและเกษตรกรที่ผลิตอาหาร  ตอนนี้ เกษตรกรในสหราชอาณาจักรต่างเป็นกังวล ส่วนชาวประมงหวังที่ได้โควตาการจับปลาที่มากขึ้น(ภายใต้ Common Fisheries Policy) แต่สหราชราชอาณาจักรกำลังไปจากสหภาพยุโรป? ปราศจากการปกป้องที่เข้มข็งแล้ว ปลาในทะเลคงเหลือน้อยลงไปอีก

สหภาพเกษตรกรแห่งชาติ(The National Farmers Union) อาจมีความหวังจาก Brexit คือการยกเลิกการห้ามใช้สารเคมีปราบศัตรูพืชซึ่งเป็นภัยคุกคามต่อผึ้งและสิ่งมีชีวิตที่มทำหน้าที่ผสมเกสรอื่นๆ สหภาพเกษตรกรแห่งชาติและรัฐมนตรีเกษตรต่อสู่เพื่อให้ยกเลิกการห้ามใช้สารเคมี แต่เจตจำนงร่วมของสหภาพยุโรปยังเดินหน้าเพื่อให้มีการยกเลิกการใช้

เจตจำนงร่วมของสหภาพยุโรปยังมีความสำคัญต่อเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ทั้งในเวทีสากลและในสหราชอาณาจักเอง การตั้งเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนของสหราชอาณาจักรนั้นตกงกันที่กรุงบัสเซลล์แต่ออกจากสหภาพยุโรปทำให้เรื่องนี้ตกไป

แม้ว่ารัฐบาลของสหราชอาณาจักรจะไม่ค่อยยินดีสนับสนุนการพัฒนาพลังงานสะอาด แต่สหราชอาณาจักรนั้นมันกฎหมายที่เข้มแข็งในการลดการปล่อยคาร์บอน นาย Boris Johnson ผู้ที่อาจจะมาเป็นนายกรัฐมนตรีคนใหม่ของสหราชอาณาจักรนั้นเป็นผู้กังขาเรื่องโลกร้อน ต้องจับตาดูว่าเขาจะลงมือจัดการกับเรื่องนี้อย่างไร

James Thornton จาก Client Earth นักกฎหมายที่กดดันให้รัฐบาลปรับปรุงแผนการจัดการมลพิษทางอากาศบอกว่า Brexit ทำให้เขาตกใจ ผิดหวัง และกังวลมากถึงอนาคตการปกป้องสิ่งแวดล้อมของสหราชอาณาจักร Craig Bennett จาก Friends of the Earth บอกว่า การโหวตออกนี้ถือเป็น “red alert” สำหรับสิ่งแวดล้อม

ปฏิกิริยาต่อ Brexit ของนาย Farage นักการเมืองผู้สนับสนุนการโหวตออก นั้นตรงข้ามโดยสิ้นเชิง เขาบอกว่า “ผมไม่อาจจะดีใจมากไปกว่านี้”