ธารา บัวคำศรี

แม้การถอนตัวของสหรัฐอเมริกาจากความตกลงปารีสจะมีผลสะเทือนไปทั่วโลก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ความมุ่งมั่นของประชาคมโลกลดทอนไป ประเทศต่างๆ ทั่วโลกต่างยืนยันต่อคำมั่นสัญญาที่ให้ไว้อย่างแข็งขันในการปฏิบัติการเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียสและมุ่งพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส (เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม)

ผลสะเทือนสำคัญที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้นเป็นข้อตกลงระหว่างสหภาพยุโรปและจีนที่เน้นถึงความมุ่งมั่นมากขึ้นภายใต้ความตกลงปารีส เรียกว่าเป็นการตลบหลังสหรัฐอเมริกาหลังจากการประกาศ ของประธานาธิบดีทรัมป์ก็ว่าได้

บิล แฮร์(Bill Hare) นักวิทยาศาสตร์ด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีประสบการณ์อย่างลึกซึ้ง กว้างขวางและยาวนานได้วิเคราะห์ประเด็นสำคัญต่อเรื่องนี้ไว้ดังนี้

สหรัฐอเมริกาไม่เคยเรียนรู้ความผิดพลาดของตนเองในอดีต

การประกาศถอนตัวจากความตกลงปารีสของประธานาธิบดีทรัมป์ในวันที่ 2 มิถุนายน มีความละม้ายคล้ายคลึงกับที่อดีตประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุช ประกาศไม่ลงสัตยาบัน ในพิธีสารเกียวโตในปี พ.ศ.2548 จากการกดดันของกลุ่มผลประโยชน์อุตสาหกรรม เชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเฉพาะ อย่างยิ่งเอ็กซอน(Exxon) บริษัทน้ำมันยักษ์ใหญ่

ถึงแม้ว่าพิธีสารเกียวโตจะไม่ใช่คำตอบสุดท้ายในการปฏิบัติการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก และไม่ได้บรรลุเป้าหมายเต็มศักยภาพอันเป็นผลมาจากการที่สหรัฐอเมริกาไม่เข้าร่วม แต่บรรดาประเทศต่างๆ ที่เข้าร่วมอย่างแข็งขันเพื่อทำให้เป็นไปตามเจตนารมย์ของ พิธีสารเกียวโตนั้นไม่เพียงแต่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ยังอยู่ในสถานะที่ดีกว่ามากในการใช้ประโยชน์จากกลไกของพิธีสารในการเปลี่ยนผ่านไปสู่สังคมคาร์บอนต่ำ

ตัวอย่างที่ชัดเจนคือกรอบนโยบายด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่เป็นตัวบทกฎหมายของสหภาพยุโรปนั้นมีลักษณะที่ครอบคลุมและรอบด้านมากที่สุดในโลก สหภาพยุโรปมีเครื่องมือและกลไกทุกอย่างที่จำเป็นในการลดโลกร้อนอย่างมุ่งมั่นมากขึ้น ส่วนจีน เกาหลีใต้ เม็กซิโก ชิลีและประเทศกำลังพัฒนาอื่นๆ รวมถึงไทย มีระบบการซื้อขายใบอนุญาตการปล่อยก๊าซเรือนกระจก(emissions-trading systems) เป็นเครื่องมือสร้างแรงจูงใจในการลดก๊าซเรือนกระจกที่คุ้มค่าในอนาคต

สหรัฐอเมริกาอาจถูกทิ้งไว้เบื้องหลัง

Bill Hare มองว่า ทั้งจีนกับอินเดียกำลังคว้าอนาคตไว้ และความเป็นผู้นำ(ในปฏิบัติการกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ)กับการพัฒนาเศรษฐกิจสามารถทำควบคู่กันไป

ในปี พ.ศ. 2540 ช่วงที่มีการยกร่างพิธีสารเกียวโต การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐอเมริกามีร้อยละ 19 ของการปล่อยทั่วโลก และมีสัดส่วนในเศรษฐกิจโลกร้อยละ 20 (วัดจาก GDP ที่เป็น Market Exchange Rate) ในขณะที่จีนมีปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกร้อยละ 12 และมีสัดส่วนในเศรษฐกิจโลกร้อยละ 7 เมื่อมีการยกร่างความตกลงปารีส ในปี พ.ศ.2558 จีนกลายเป็นผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจกอันดับหนึ่งของโลก(ร้อยละ 23) และมีขนาดเศรษฐกิจที่ใหญ่ที่สุด(ร้อยละ 17) ส่วนการปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐอเมริกาลดลงมาอยู่ที่ร้อยละ 13 และบทบาทในระบบเศรษฐกิจโลกก็ลดลงเป็นร้อยละ 16

ในช่วงเวลาเดียวกัน อินเดียซึ่งผงาดขึ้นมาเป็นมหาอำนาจแห่งศตวรรษที่ 21 มีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจเกือบเป็น 2 เท่า (จากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 7 ของเศรษฐกิจโลก) จีนและอินเดียดำเนินการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ ในขณะที่เศรษฐกิจขยายตัวและมีการจ้างงานหลายหลายแสนตำแหน่งจากการลงทุนพลังงานหมุนเวียนขนานใหญ่ อินเดียยังวางแผนทุ่มทุนเรื่องยานยนต์ไฟฟ้าในทศวรรษข้างหน้านี้

Bill Hare วิเคราะห์ว่า แม้การประกาศของทรัมป์อาจไปหนุนช่วยกลุ่มที่ปฏิเสธเรื่องโลกร้อนซึ่งส่งผลให้ปฏิบัติการกู้วิกฤตโลกร้อนล่าช้า หรือแม้กระทั่งการสนับสนุน ”ถ่านหินสะอาด” แต่ความเสี่ยงดังกล่าวนี้ยังคงอยู่ในวงจำกัด รัสเซียซึ่งยังไม่ได้ให้สัตยาบันในความตกลงปารีส(Paris Agreement) ได้ส่งสัญญานว่าจะยังคงเดินหน้าสนับสนุนการดำเนินการที่อยู่ภายใต้ความตกลงปารีสต่อไป

คำสัญญาที่ว่างเปล่า

การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐอเมริกาลดลงนับตั้งแต่ปี พ.ศ.2558 เป็นต้นมา คำสั่งที่ลงนามโดยประธานาธิบดีของทรัมป์ซึ่งมุ่งไปที่การยกเลิกมาตรการภายในประเทศ จะส่งผลให้การปล่อยก๊าซเรือนกระจกอยู่ในระดับเดิมในอีก 5 ถึง 10 ปีข้างหน้า

จากการที่ราคาพลังงานหมุนเวียนและตัวเก็บประจุไฟฟ้าลดลง การที่ก๊าซธรรมชาติเข้ามาแทนที่ถ่านหิน รวมถึงการดำเนินงานของรัฐต่างๆ ในสหรัฐอเมริกา เช่น แคลิฟอร์เนียที่เดินหน้าแผนพลังงานพลังงานสะอาดที่ผลักดันในยุคโอบามา การควบคุมการปล่อยมีเทนและการตั้งค่ามาตรฐานของยานยนต์ ดังนั้น มีความเป็นไปได้น้อยมากที่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐอเมริกาจะเพิ่มสูงขึ้นอีกก่อนปี พ.ศ.2573 เป็นอย่างน้อย

การใช้ถ่านหินและการทำเหมืองถ่านหินจะยังคงลดลงต่อไปอีกเนื่องจากการเปลี่ยนแปลงในตลาดพลังงาน รวมถึงราคาก๊าซธรรมชาติที่ลดลงและการแข่งขันอย่างเหลือล้นในด้านราคาพลังงานหมุนเวียนและระบบเก็บประจุไฟฟ้า ในขณะที่ การจ้างงานในภาคอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนกำลังขยายตัวอย่างรวดเร็วในสหรัฐอเมริกา(และทั่วโลก) แซงหน้าการจ้างงานในกิจการเหมืองถ่านหิน

รายงานทบทวนฉบับล่าสุดขององค์การพลังงานหมุนเวียนสากลหรือ International Renewable Energy Agency(IRENA) ระบุถึงการเพิ่มขึ้นอย่างรวกเร็วของการจ้างงานในภาคพลังงานหมุนเวียนของสหรัฐอเมริกาซึ่งขณะนี้มีราว 800,000 คน เฉพาะการจ้างงานในอุตสาหกรรมพลังงานแสงอาทิตย์เพียงอย่างเดียวในช่วงสามปีที่ผ่านมามีมากกว่า 2  เท่าของตำแหน่งงานในกิจการเหมืองถ่านหินในสหรัฐอเมริกา(ซึ่งกำลังลดลง)

เห็นได้ชัดเจนว่าประธานาธิบดีทรัมป์ไม่อาจทำตามคำสัญญาที่ให้ไว้กับแรงงานในอุตสาหกรรมถ่านหิน

เป้าหมายลดโลกร้อนทำได้ยากขึ้น

การที่ประธานาธิบดีทรัมป์ถอนตัวจากความตกลงปารีสผนวกกับการยกเลิกแผนปฏิบัติการ ในระดับประเทศ ทำให้ปฏิบัติการเพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส(เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม) และมุ่งพยายามควบคุมการเพิ่มขึ้นของ อุณหภูมิไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียส (เมื่อเทียบกับยุคก่อนอุตสาหกรรม)นั้นมีความยากลำบาก และมีค่าใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น

หากแนวโน้มไม่เปลี่ยนแปลง การปล่อยก๊าซเรือนกระจกของสหรัฐอเมริกาที่เพิ่มเติมขึ้นจากปริมาณ การปล่อยที่จะเกิดขึ้นจากการดำเนินการตามนโยบายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศในยุคโอบามา นั้นจะส่งผลให้อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกร้อนเพิ่มขึ้นประมาณ 0.1 ถึง 0.2 องศาเซลเซียสภายในปี 2643 ซึ่งจำเป็นจะต้องทดแทนด้วยการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่มากขึ้นและอย่างรวดเร็ว โดยประเทศอื่นๆ

ในระยะยาว เป้าหมายของการควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกนั้นไม่อาจบรรลุได้ ยกเว้นแต่ว่าสหรัฐอเมริกากลับเข้ามาเป็นส่วนสำคัญของความพยายามของประเทศทั่วโลกภายใน 5 หรือ 10 ปีข้างหน้า เพื่อว่า การปล่อยก๊าซเรือนกระจกรวมทั้งหมดทั่วโลกสามารถทำให้ลดลงเป็นศูนย์ในช่วงกลางศตวรรษ

การต่อกรกับวาระซ่อนเร้นของประธานาธิบดีทรัมป์ที่ผลักดันโดยอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล คือการพัฒนาในเรื่องตลาดพลังงานหมุนเวียนและระบบเก็บประจุไฟฟ้า ซึ่งจะกระทบกับอุปสงค์ของโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน ส่วนพัฒนาการอย่างรวดเร็วของภาคการผลิตรถไฟฟ้านั้นกระทบต่ออุปสงค์ของน้ำมัน

ผลของการลดราคาอย่างรวดเร็วของพลังงานหมุนเวียนและระบบเก็บประจุไฟฟ้านั่นส่งผลกว้างไกล และบางคนถึงกับกล่าวว่าไม่อาจหยุดได้ การประเมินของภาคอุตสาหกรรมเมื่อเร็วๆนี้ แสดงให้เห็นว่า ต้นทุนการผลิตไฟฟ้ากับเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนแบบต่างๆ ในขณะนี้ถูกกว่าต้นทุนการผลิตไฟฟ้าจากก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน การยกเลิก โครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินซึ่งเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องในอินเดีย จีน ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ ไต้หวัน และที่อื่นๆ คือตัวชี้วัดของการเปลี่ยนแปลงของตลาดพลังงานที่กำลังเกิดขึ้น

ในเวทีการเจรจาโลกร้อนที่เมืองมาราเกซ มากกว่า 45 ประเทศ รวมตัวกันในนามกลุ่มประเทศที่เผชิญความเสี่ยงด้านสภาพภูมิอากาศ(Climate Vulnerable Forum) ให้คำมั่นต่อเป้าหมายพลังงานหมุนเวียนเต็มร้อยและเริ่มต้นทำงานเพื่อไปให้ถึงเป้าหมายดังกล่าว

แล้วเราควรจะตั้งความหวังอย่างไร

ยังมีกลุ่มประเทศ พรรคการเมือง และตัวแทนผลประโยชน์อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลที่พยายาม จะใช้ประโยชน์จากการถอนตัวของสหรัฐอเมริกาเพื่อผลักดันวาระ “โลกร้อนไม่จริง” หรืออย่างน้อยที่สุดการหาช่องทางในการปกป้องตลาดของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล

คาดกันว่า การถอนตัวของสหรัฐอเมริกาอาจนำไปสู่การที่มีบางประเทศทำงานล่าช้า ต่อข้อเสนอในปฏิบัติการกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศระดับประเทศ (NDCs or Nationally Determined Contributions)

การถอนตัวของสหรัฐอเมริกายังมีผลต่อการผลักดันแผนการสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินทั่วโลก หากมีการสร้างหรือดำเนินการโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินจะปิดโอกาสในการควบคุมการเพิ่มขึ้น ของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลก

การเพิ่มขึ้นของถ่านหินอย่างรวดเร็วที่คาดว่าจะเกิดขึ้นในอินเดีย เอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงไทย ตุรกี บางส่วนของตะวันออกกลางและแอฟริกา นั้นต้องการภาวะผู้นำนโยบายที่เข้มแข็ง และแผนปฏิบัติการระดับประเทศมีความมุ่งมั่น เพื่อรับรองว่าจะโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินจะยุติลง

ยิ่งสหรัฐอเมริกาไม่ลงมือทำอะไรเลย ความยากลำบากก็จะตกแก่โลกมากขึ้น สหรัฐอเมริกาจะกลับมาร่วมในความตกลงปารีสหรือไม่อย่างไร จะต้องรอจนถึงปี พ.ศ. 2563 และประธานาธิบดีคนใหม่ เราคาดหวังได้หรือ?

ความตื่นตัวของสาธารณชนในเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ การสร้างงานและเศรษฐกิจ ในอุตสาหกรรมพลังงานหมุนเวียนที่เพิ่มมากขึ้น และขบวนการเคลื่อนไหวของประชาชนในการยุติยุคถ่านหิน ต่างหากเล่าที่เป็นความหวัง