ที่มา : https://carbontracker.org/reports/the-futures-not-in-plastics/

อุตสาหกรรมน้ำมันและปิโตรเคมีฝากอนาคตอันรุ่งเรืองและการขยายตัวไว้กับความต้องการใช้พลาสติก

แต่ความต้องการใช้พลาสติกมีแนวโน้มมาถึงจุดสูงสุดเมื่อโลกของเราเริ่มมีการเปลี่ยนผ่านจากระบบเศรษฐกิจพลาสติกแบบที่เป็นเส้นตรงไปสู่ระบบเศรษฐกิจหมุนเวียนและรัฐบาลประเทศต่างๆ ลงมือเพื่อบรรลุเป้าหมายด้านสภาพภูมิอากาศ นี่เป็นนัยยะสำคัญต่อความต้องการใช้น้ำมันที่มาถึงจุดสูงสุดและค่าใช้จ่ายทางการเงินจำนวนมหาศาลของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีที่เป็นทรัพย์สินที่สร้างภาระ(stranded asset)

การคาดการณ์โดยบริษัทบริติชปิโตรเลียมและองค์การพลังงานระหว่างประเทศเห็นว่าอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นส่วนสำคัญของการทำเกิดความต้องการใช้น้ำมันมากขึ้นราว 95% and 45% ตามลำดับ

ต้นทุนจริงของพลาสติก

พลาสติกมีต้นทุนผลกระทบภายนอกที่สังคมต้องแบกรับ รายงานนี้ประเมินว่าอยู่ที่ราว 1,000 เหรียญสหรัฐต่อตัน (350 พันล้านเหรียญสหรัฐต่อปี) จากการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ ต้นทุนด้านสุขภาพ ค่าใช้จ่ายในการเก็บรวมรวมและมลพิษพลาสติกในทะเล

ต้นทุนผลกระทบภายนอกของพลาสติก (เหรียญสหรัฐฯ)

ที่มา : EPA, CREA, WHO, UNEP, CT estimates, SYSTEMIQ

แนวทางแก้ปัญหาในทางเทคโนโลยี

มีแนวทางแก้ปัญหา 3 แนวทางหลัก คือ ลดความต้องการใช้พลาสติกผ่านการออกแบบที่ดีขึ้นและกฏเกณฑ์ข้อบังคับต่างๆ ; การทดแทนด้วยวัสดุที่ยั่งยืน และการเพิ่มศักยภาพการรีไซเคิล

ทำไมต้องทำเดี๋ยวนี้?

ผู้กำหนดนโยบายในยุโรปและจีนกำลังดำเนินมาตรการทางกฏหมายที่เข้มงวดขึ้นโดยใช้เครื่องมือ 5 ชนิด คือ การเก็บภาษี กฏเกณฑ์ในการออกแบบ การแบนพลาสติก การตั้งเป้าหมายลดใช้พลาสติก และการจัดทำโครงสร้างพื้นฐาน

นอกจากนี้ สภาวะช็อกจาก COVID นั้นได้ลดความต้องการใช้พลาสติกทั่วโลกลงราว 4% ในปีนี้ และได้เปิดให้ผู้กำหนดนโยบายให้มีพื้นที่ในการลงมือปฏิบัติการ

ทรัพย์สินที่สร้างภาระ(stranded asset)ของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี

มีความแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดระหว่างแผนการของอุตสาหกรรมปิโตรเคมีและความเสี่ยงจากการขยายตัวของอุตสาหกรรมที่ตกต่ำลงมาก

อุตสาหกรรมปิโตรเคมีได้เผชิญกับการขยายตัวที่ล้นเกินเรียบร้อยแล้ว แต่ยังวางแผนที่ใช้เงิน 4 แสนล้านเหรียญสหรัฐ ไปกับการขยายการผลิตใหม่ 80 ล้านตัน หากยังเดินหน้าต่อไป ผลคือราคาผลิตผลจากปิโตรเคมีจะลดลงและกลายเป็นทรัพย์สินที่สร้างภาระ

พลาสติก : ตัวเลขที่น่าสนใจ