ธารา บัวคำศรี แปลเรียบเรียงจาก The complete story of Vizag gas leak เขียนโดย Soundaram Ramanathan, Digvijay Singh and Nivit Kumar Yadav https://www.downtoearth.org.in/dte-infographics/vizag_gas_leak/index.html

ไวแซก(Vizag) เป็นชื่อย่อของเมืองวิสาขปัทนัมในอินเดีย ใหญ่เป็นอันดับสองในรัฐอานธรประเทศ รองจากเมืองไฮเดอราบัด เป็นเมืองอุตสาหกรรมติดชายทะเลฝั่งตะวันออกของอินเดีย มีท่าเรืออุตสาหกรรมหนัก มีอุตสาหกรรมเหล็กเป็นกลไกผลักดันการเติบโตทางเศรษฐกิจ ท่าเรือ Visakhapatnam เป็นท่าเรือน้ำลึกใหญ่เป็นอันดับ 2 ของอินเดีย สินค้าส่วนใหญ่เป็น dry bulk ที่ใช้ในอุตสาหกรรมหนัก อาทิ ถ่านหิน แร่เหล็ก ปุ๋ย น้ำมันดิบ ตู้คอนเทนเนอร์

ในช่วงเช้าของวันที่ 7 พฤษภาคม 2563 ได้เกิดเหตุการณ์สารเคมีรั่วจากโรงงาน LG Polymers ที่เมืองไวแซกแห่งนี้ สารเคมีที่รั่วออกมาคือ สไตรีนโมโนเมอร์

แผนที่แสดงที่ตั้งโรงงาน LG Polymers ที่เมืองวิสาขปัทนัม รัฐอานธรประเทศในอินเดีย และขอบเขตที่มีการอพยพผู้คนออกจากบ้านเรือนในรัศมี 5 กม. จากกรณีการรั่วไหลของสไตรรีนโมโนเมอร์ ที่มา : https://www.downtoearth.org.in/dte-infographics/vizag_gas_leak/index.html

แต่เหตุการณ์สารเคมีรั่วที่ LG Polymers ไม่ใช่อุบัติภัยอุตสาหกรรมเพียงเหตุเดียวในอินเดีย ในวันนั้นช่วงเย็น หม้อไอน้ำ 2 เครื่องเกิดระเบิดขึ้นที่โรงไฟฟ้าพลังความร้อนของ NLC India Limited ที่เมือง Neyveli รัฐทมิฬนาฑู มีผู้ได้รับบาดเจ็บแปดคน

ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 6 พฤษภาคม 2563 เกิดอุบัติเหตุก๊าซรั่วที่โรงงานกระดาษในเมือง Raigarh รัฐ Chhattisgarh ผลคือคนงานเจ็ดคนต้องเข้าโรงพยาบาล จุดร่วมของอุบัติภัยทั้ง 3 ครั้งคือ เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในขณะที่โรงงานกำลังเตรียมเปิดดำเนินการหลังการล็อกดาวน์จากโควิด-19 การปฏิบัติงานและการบำรุงรักษาที่ไม่ดีในระหว่างการล็อกดาวน์และการขาดแคลนพนักงานที่มีทักษะ

LG Polymers plant, Visakhapatnam; Photo: Reuters

เมื่อเทียบขอบเขตและความเสียหาย เหตุสารเคมีสไตรีนรั่วไหลที่เมืองไวแซกนั้นเลวร้ายที่สุด มีผู้เสียชีวิต 13 ราย ขณะที่หลายร้อยคนต้องรักษาตัวในโรงพยาบาลเนื่องจากหายใจลำบาก มีอาการปวดศรีษะ เหนื่อยล้า และเป็นลม ในวันที่ 8 พฤษภาคม ศาลสิ่งแวดล้อมของอินเดียใช้ Suo Moto Cognizance สั่งให้เจ้าของโรงงาน LG Polymers India Pvt Ltd วางเงินราว 5 ล้านเหรียญสหรัฐต่อผู้พิพากษาของรัฐ โดยเป็นการลงโทษชั่วคราวของความเสียหายที่เกิดกับชีวิตและบ้านเรือนประชาชน จากการประเมินโดยศูนย์วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหากำไรของเดลี (CSE) อุบัติภัยสารเคมีรั่วไหลเกิดจากความประมาทเลินเล่อของบริษัทและการไม่ปฏิบัติตามเกณฑ์ความปลอดภัย

Suo Moto Cognizance เป็นศัพท์ภาษาละติน หมายถึงการดำเนินการของหน่วยงานรัฐบาล ศาล หรือผู้มีอำนาจส่วนกลางอื่นๆ ด้วยตนเอง ศาลใช้ Suo Moto Cognizance ในเรื่องกฎหมายเมื่อได้รับข้อมูลเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิหรือการละเมิดหน้าที่ผ่านสื่อหรือการแจ้งเตือนของบุคคลที่สาม ในอินเดีย มาตรา 32 ของรัฐธรรมนูญอินเดียและมาตรา 226 ของรัฐธรรมนูญอินเดียกำหนดบทบัญญัติสำหรับการฟ้องร้องดำเนินคดีเพื่อผลประโยชน์สาธารณะ (PIL)ในอินเดียในศาลฎีกาและศาลสูงตามลำดับ

อุบัติภัยจากสไตรีนรั่วไหลที่เมืองไวแซก

โรงงาน LG Polymers ใช้สไตรีนโมโนเมอร์ (C8H8) เพื่อผลิตพลาสติก EPS สไตรีนโมโนเมอร์ต้องเก็บไว้ที่อุณหภูมิต่ำกว่า 17 องศาเซลเซียสอย่างเข้มงวด

มีการปิดโรงงานบางส่วนชั่วคราวเนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ไม่รวมถึงกิจกรรมการบำรุงรักษาซึ่งได้ดำเนินการในโรงงานตามกำหนดการที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เนื่องจากสไตรีนไม่ได้ถูกจัดเก็บไว้ที่อุณหภูมิที่เหมาะสม จึงเกิดแรงดันขึ้นในถังเก็บซึ่งทำให้วาล์วแตก เจ้าหน้าที่ของคณะกรรมการควบคุมมลพิษแห่งรัฐอานธรประเทศ (APPCB) กล่าวโดยขอให้ไม่เปิดเผยชื่อว่า มีสไตรีนซึ่งเป็นก๊าซพิษรั่วไหลออกมา 3 ตัน

การวิเคราะห์การแพร่กระจายของสไตรีนที่รั่วไหล การศึกษาได้ตั้งสมมติฐานดังต่อไปนี้ – แนวผกผันในชั้นบรรยากาศที่ 100 เมตร(Inversion – 100m) ความเสถียรภาพของอากาศปานกลาง(Class F Stability) อุณหภูมิในถังเก็บ(tank) 18 องศาเซลเซียสและ weather parameters (ที่มา : Awakash Kumar, 2020)
สไตรีนคืออะไรและเป็นพิษอย่างไร

สไตรีนเป็นสารประกอบอินทรีย์ที่ใช้ในการผลิตโพลีเมอร์/พลาสติก/เรซิน ผลิตขึ้นในโรงกลั่นปิโตรเคมีและมีแนวโน้มว่าจะเป็นสารก่อมะเร็ง มันสามารถเข้าสู่ร่างกายผ่านการหายใจ แต่ยังผ่านทางผิวหนังและดวงตา ตามกฎการผลิต การจัดเก็บ และการนำเข้าของอินเดียว่าด้วยสารเคมีอันตรายปี 1989 สไตรีนจัดเป็น “สารเคมีอันตรายและเป็นพิษ” การสัมผัสกับสไตรีนในมนุษย์ในระยะสั้นส่งผลให้เกิดการระคายเคืองในเยื่อเมือกและตา และปัญหาทางเดินอาหาร การได้รับสารเป็นเวลานานส่งผลกระทบต่อระบบประสาทส่วนกลาง นำไปสู่อาการปวดหัว อ่อนเพลีย อ่อนแรง ซึมเศร้า ทำงานผิดปกติ สูญเสียการได้ยิน และเส้นประสาทส่วนปลาย หากความเข้มข้นของสไตรีนเกิน 800 ppm บุคคลที่สัมผัสกับสไตรีนอาจเข้าสู่อาการโคม่าได้ ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าทันทีหลังจากการรั่วไหล ระดับอาจสูงถึง 1,000 ppm ในพื้นที่ใกล้เคียง ซึ่งเป็นสาเหตุที่ผู้คนเริ่มเป็นลม
ระยะเวลาของการสัมผัสและความเข้มข้นสัมพัทธ์จะเป็นตัวกำหนดความเป็นพิษ – ขณะนี้เราทราบแล้วว่าก๊าซประมาณ 3 ตันรั่วไหลออกจากถังเก็บและท่อต่อ ตอนนี้เราจำเป็นต้องกำหนดความเสี่ยง “สไตรีนสามารถลอยอยู่ในอากาศเป็นเวลาหลายสัปดาห์ มีปฏิกิริยาสูง สามารถรวมตัวกับออกซิเจนเพื่อสร้างสไตรีนไดออกไซด์ซึ่งเป็นอันตรายถึงชีวิตมากกว่า  การปรากฏตัวของสารมลพิษอื่นๆ อาจส่งผลต่อการเกิดปฏิกิริยาได้เช่นกัน ในการใช้งานเครื่องปฏิกรณ์แบบเต็มกำลังสามารถนำไปสู่ภัยพิบัติดังกล่าวได้” ธาวา พาลานิซามิ นักวิทยาศาสตร์การวิจัยอาวุโสแห่งมหาวิทยาลัยนิวคาสเซิล ออสเตรเลีย กล่าวการรักษาทันทีที่สำคัญที่สุดคือการให้ออกซิเจนแก่ผู้ที่ได้รับผลกระทบ ผู้คนในพื้นที่ยังต้องอพยพเนื่องจากการสัมผัสเป็นเวลานานอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพของพวกเขา นอกจากนี้ เนื่องจากสไตรีนทำปฏิกิริยากับสไตรีนไดออกไซด์ อากาศอาจยังคงปนเปื้อนอยู่ระยะหนึ่ง  อย่างไรก็ตาม ลมที่พัดมาจากทะเลก็สามารถช่วยให้ก๊าซกระจายตัวได้

ในวันที่เกิดการรั่วไหล ระดับของสไตรีนในอากาศในพื้นที่สูงกว่าขีดจำกัดที่กำหนดไว้ 500 เท่า รายงานของสื่อกล่าวว่า มีมากกว่า 2,500 ส่วนต่อพันล้านส่วน (ppb) ในขณะที่ข้อกำหนดขององค์การอนามัยโลกระบุให้ต่ำกว่า 5 ppb โรงงาน LG Polymer ที่ไวแซก(Visakhapatnam) มีพื้นที่มากกว่า 240 เฮกตาร์ (ha) รวมถึงย่านที่อยู่อาศัยในบริเวณใกล้เคียง นอกจากนี้ยังมีหมู่บ้านจัดสรรอยู่ใกล้ๆ ซึ่งทำให้มีการสัมผัสสไตรีนที่รั่วไหลในอัตราที่สูงขึ้น

ระดับของสไตรีน (C8H8) ซึ่งเป็นสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย สูงกว่าขีดจำกัดที่กำหนดโดยหน่วยงานกำกับดูแลถึง 2,500 เท่า ในเหตุการณ์สไตรีนรั่วไหลที่ไวแซกและวันต่อมา การวิเคราะห์โดยศูนย์วิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม (CSE) พบว่าระดับสไตรีนในพื้นที่มีมากกว่า 2.5 ส่วนต่อล้านส่วน (ppm) ในตอนเย็นของวันที่ 7 พฤษภาคม 2020 ตามรายงานของสื่อ ควรมีค่าน้อยกว่า 5 ส่วนต่อพันล้านส่วน (ppb) ตามข้อกำหนด

“สไตรีนในอากาศในช่วงที่เกิดการรั่วไหลอาจมากกว่า 20 ส่วนในล้านส่วน(ppm) ในพื้นที่รอบ 2 กม. จากโรงงาน สมมติว่ามีการรั่วไหลเกิดขึ้นหนึ่งชั่วโมง การแพร่กระจายสารมลพิษในระดับสูงนี้อาจทำให้ผู้คนหมดสติได้” Awkash Kumar จากสถาบันเทคโนโลยีแห่งอินเดีย มุมไบ และผู้สร้างแบบจำลองการกระจายมลพิษทางอากาศ กล่าว ในการศึกษาของเขา Kumar สันนิษฐานว่าความจุของถังเก็บคือ 3,000 ตัน การรั่วไหลเกิดขึ้นจากจุดรั่วไหลที่มีเส้นผ่านศูนย์กลาง 10 ซม. โดยการรั่วไหลเกิดขึ้นเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมง

เครือข่ายสถานีวัดคุณภาพอากาศแบบเรียลไทม์ของคณะกรรมการควบคุมมลพิษกลาง (CPCB) ตรวจวัดสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs) สามชนิด – ไซลีน (C8H10), เบนซีน (C6H6), โทลูอีน (C7H8) – ในเขตไวแซก และจุดใต้ลม 14 กม. จากศูนย์กลางการรั่วไหลของก๊าซพิษ

คณะกรรมการควบคุมมลพิษตรวจวัดสารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOCs)เหล่านี้อย่างต่อเนื่องทุกๆ 30 นาที ส่วนการวิเคราะห์โดย CSE ระบุว่า ระดับไซลีนสูงถึง 18 ppb ระดับโทลูอีนสูงถึง 35 ppb และระดับเบนซินสูงถึง 12 ppb

Source: Awakash Kumar, 2020
Source: Awakash Kumar, 2020
Source: Awakash Kumar, 2020

ค่าที่วัดได้สูงกว่าระดับที่บันทึกไว้ในเมืองอมราวตี เมืองหลวงของรัฐอานธรประเทศ ซึ่งตั้งอยู่ประมาณ 400 กม. ทางใต้ของเมืองไวแซกในช่วงเวลาเดียวกัน ข้อมูลในอดีตชี้ให้เห็นถึงระดับของ VOCs ที่สูงเป็นปรากฏการณ์ปกติในอากาศแวดล้อมที่เมืองไวแซก มาตรฐานสำหรับไฮโดรคาร์บอนในอากาศแวดล้อมคือ 5 ppb (ค่าเฉลี่ยรายปี) ตามมาตรฐานคุณภาพอากาศแวดล้อมของคณะกรรมการควบคุมมลพิษกลาง(CPCB)

LG Polymers ละเลยกฎความปลอดภัยอย่างไร

อุตสาหกรรมที่แปรรูปผลิตภัณฑ์จากปิโตรเคมี เช่น สไตรีน ต้องมีใบอนุญาตสองระดับ—การอนุมัติด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Clearance) จากกระทรวงสิ่งแวดล้อม ป่าไม้และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (MoEF&CC) ของรัฐบาลอินเดีย และใบอนุญาตให้ดำเนินการ (Concent to Operate-CTO) จากคณะกรรมการควบคุมมลพิษ (SPCB) ซึ่งจำเป็นต้องต่ออายุทุกๆ 5 ปี เอกสาร CTO ระบุขีดจำกัดการผลิตสำหรับผลิตภัณฑ์ที่สามารถผลิตได้ การจำกัดของเสียที่บำบัดแล้ว และคุณภาพอากาศแวดล้อมโดยรอบบริเวณโรงงาน LG Polymers India ไม่ปฏิบัติตามกฎทั้งสองระดับ

ชาวบ้านพูดคุยกับนักการเมืองท้องถิ่นนอกโรงงาน LG Polymers หลังเหตุการรั่วไหลของสไตรีนโมโนเมอร์ในเมืองไวแซก เครดิตภาพ : Reuters

เนื่องจากบริษัทเปิดดำเนินการมาตั้งแต่คริสทศวรรษ 1960 ก่อนการออกกฎหมายให้มีการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมปี พ.ศ.2549 จึงไม่จำเป็นต้องมีใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม เว้นแต่จะขยายการผลิต เปลี่ยนวัตถุดิบ หรือปรับปรุงกระบวนการผลิตให้ทันสมัย อย่างไรก็ตาม บริษัทได้ขยายการผลิตและเปลี่ยนวัตถุดิบมาตั้งแต่ปี 2547 และไม่มีใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม(EC)

ในปี 2547 กำลังการผลิต EPS ของโรงงานคือ 45 ตันต่อวัน ซึ่งเพิ่มขึ้นเป็น 65 ตันต่อวันในปี 2552 จากนั้น 71.5 ตันต่อวันในปี 2555 และ 100 ตันต่อวันในปี 2557 ในทำนองเดียวกัน กำลังการผลิตโพลีสไตรีนเพิ่มขึ้นจาก 235 ตันต่อวันในปี 2557 เป็น 315 ตันต่อปีในปี 2560

ในปี 2560 คณะกรรมการควบคุมมลพิษรัฐอานธรประเทศ(APPCB) ได้เตือนบริษัทเกี่ยวกับความจำเป็นในการจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม โดยกล่าวว่าจะไม่ให้ใบอนุญาตดำเนินการหลังจากนี้ บริษัทได้ยื่นคำร้องต่อกระทรวงสิ่งแวดล้อม (MoEF&CC) เพื่อขอใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม(EC) นอกจากนี้ ยังเสนอต่อคณะกรรมการควบคุมมลพิษ(APCCB) โดยระบุว่าจะนำเข้าเม็ดพลาสติกเพื่อเตรียมผลิต EPS ซึ่งอาจไม่ต้องการใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม(EC) ซึ่งในที่สุดได้รับความยินยอมโดยไม่ต้องจัดทำรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม ในปี 2561 ได้ถอนคำร้องขอใบอนุญาต(EC) จากกระทรวงสิ่งแวดล้อม(MoEF&CC) โดยระบุว่ามีข้อผิดพลาดในการพิมพ์

“ความล้มเหลวในการขอใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อมเท่ากับเป็นการละเมิดการแจ้งหน่วยงานกำกับดูแล 2 ประการ : หนึ่งคือ การเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของผลิตภัณฑ์และผลกระทบที่เกี่ยวข้อง และสองคือ การขยายการผลิตและการนำเข้า การขยายการผลิตหมายถึงการจัดเก็บสารเคมีที่มากขึ้น การนำเข้าหมายถึงความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับการขนส่ง การจัดการในท่าเรือที่เกี่ยวข้องกับการขนถ่าย และในโรงงาน” DD Basu ที่ปรึกษาองค์กร CSE กล่าว “อันที่จริง จำเป็นต้องมีการทำใหม่ทั้งหมด การต่ออายุใบอนุญาตให้ดำเนินการ ไม่ใช่ปัญหาเดียว เนื่องจากมีการเปลี่ยนแปลงส่วนผสมของผลิตภัณฑ์และความเสี่ยงในกระบวนการผลิตที่เกี่ยวข้องกับการรั่วไหลของสารเคมีโดยไม่ตั้งใจ นั้นเป็นประเด็นที่สำคัญมากกว่า” เขากล่าวเสริม

นอกจากนี้ ยังควรสังเกตด้วยว่าคณะกรรมการควบคุมมลพิษ(APPCB) ได้ออกใบอนุญาตดำเนินการ(CTO) แก่บริษัทแล้ว ถึงแม้ว่าในเวลาต่อมา จะระบุถึงการเปลี่ยนวัตถุดิบและขยายกำลังการผลิตของผลิตภัณฑ์ขั้นสุดท้ายโดยไม่มีใบอนุญาตด้านสิ่งแวดล้อม

ในปี 2561 บริษัทยังได้เสนอเงิน 168 ล้านรูปีแก่กระทรวงสิ่งแวดล้อม(MoEF&CC) เพื่อขยายกำลังการผลิตเพื่อเป็น 250 ตันต่อวัน (tpd) จากเดิมที่มีอยู่ 415 ตันต่อวัน แต่ถอนออกในภายหลัง

LG Polymers India ยังละเมิดข้อกำหนดในใบอนุญาตดำเนินการ(CTO) ทั่วไปเช่นกัน เงื่อนไขหนึ่งที่กำหนดไว้ใน CTO คือ การบำรุงรักษาระบบการตรวจจับการรั่วไหลที่เหมาะสมและข้อกำหนดเพื่อซ่อมแซมระบบในทันที

ภายใต้ข้อ 11 ของเงื่อนไขทั่วไปในใบอนุญาตดำเนินการ(CTO) อุตสาหกรรมจำเป็นต้องบำรุงรักษาเครื่องวิเคราะห์สารประกอบอินทรีย์ระเหยง่าย (VOC) ด้วยระบบการบันทึกและดูแลรักษาข้อมูลที่บันทึกไว้ ในข้อ 19 ของใบอนุญาตกำหนดให้ติดตั้งระบบตรวจจับการรั่วไหลและซ่อมแซมปั๊ม แต่ LG Polymers ไม่ปฏิบัติตามกฎทั้งสองนี้ เจ้าหน้าที่จากคณะกรรมการควบคุมมลพิษ(APPCB) กล่าวว่า ระบบตรวจจับ VOC ในโรงงานไม่ทำงาน และไม่มีกลไกการตรวจสอบเพื่อตรวจหาสไตรีนโดยเฉพาะ แม้แต่ถังบรรจุก๊าซสไตรีนก็ยังเก่าและไม่ได้รับการดูแลอย่างเหมาะสม

ความเร่งรีบหลังจากคลายล็อกดาวน์และผลกระทบที่ถึงแก่ชีวิต

ประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการรั่วไหลของสไตรีนเร่งรีบไปโรงพยาบาล – เครดิตภาพ : Twitter

หลังจากหายนะภัยก๊าซรั่วโภปาลในปี 2527 อินเดียได้ออกกฎหมายมากมายเพื่อป้องกันอุบัติภัยสารเคมี และออกแนวทางที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดเก็บสารเคมีอันตรายในโรงงาน พระราชบัญญัติ(คุ้มครอง)สิ่งแวดล้อม พ.ศ. 2529 เป็นกฎหมายที่ให้อำนาจเด็ดขาดแก่รัฐบาลกลางในการดำเนินมาตรการทั้งหมดเพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อม

มีกฎเกณฑ์ที่ชัดเจนเกี่ยวกับการจัดเก็บสารเคมีอันตรายตามพระราชบัญญัติ ซึ่งรวมถึงพรบ.วัตถุอันตราย (การจัดการ การจัดการ และการเคลื่อนย้ายข้ามพรมแดน) 2532 การผลิต การจัดเก็บและการนำเข้ากฎเกณฑ์เกี่ยวกับสารเคมีอันตราย 2532 ; และพรบ. อุบัติเหตุทางเคมี (ฉุกเฉิน การวางแผน การเตรียมพร้อมและการรับมือ) 2539 แต่อุบัติภัยสารเคมีอาจเกิดขึ้นหากกฎหมายเหล่านี้ถูกละเลยจากทุกฝ่าย

ส่วนที่เป็นปัญหาคือโรงงานที่ได้รับการรับรองมาตรฐาน ISO ซึ่งหมายความว่ามีแนวปฏิบัติที่เป็นมาตรฐานสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง สิ่งที่ดูเหมือนจะเป็นประเด็นคือ ฝ่ายบริหารรีบเร่งที่จะเดินเครื่องทำการผลิต เพิกเฉยต่อแนวปฏิบัติที่เกี่ยวข้องกับการบำรุงรักษาโรงงานก่อนที่จะกลับมาดำเนินการได้

คำสั่งศาลสิ่งแวดล้อม

The National Green Tribunal; Photo: YouTube

ศาลสิ่งแวดล้อมของอินเดีย(The National Green Tribunal) มีคำสั่งให้คณะกรรมการควบคุมมลพิษแห่งรัฐ(APPCB) ผู้พิพากษาเมืองไวแซก คณะกรรมการควบคุมมลพิษกลาง (CPCB) กระทรวงสิ่งแวดล้อม(MoEF&CC) และ LG Polymers India Pvt Limited ให้รับมือกับอุบัติภัยการรั่วไหลของสไตรีน ศาลสิ่งแวดล้อมยังได้แต่งตั้งคณะกรรมการห้าคนซึ่งประกอบด้วย B Seshasayana Reddy อดีตผู้พิพากษาของศาลสูง Andhra Pradesh ; V Rama Chandra Murthy อดีตรองอธิการบดีมหาวิทยาลัย Andhra ; ปูลิปาตี คิง หัวหน้าภาควิชาวิศวกรรมเคมีที่มหาวิทยาลัยอานธร เลขาธิการคณะกรรมการควบคุมมลพิษกลาง(CPCB) และผู้อำนวยการสภาวิจัยวิทยาศาสตร์และอุตสาหกรรม – สถาบันเทคโนโลยีเคมีแห่งอินเดีย

คณะกรรมการที่ตั้งขึ้นโดยศาลสิ่งแวดล้อมต้องรายงานผลการค้นพบเบื้องต้นของอุบัติภัยการรั่วไหลของสไตรีน ขอบเขตของความเสียหาย และมาตรการฟื้นฟูที่ต้องดำเนินการภายใน 10 วัน ยังคงต้องจับตาดูว่าคำสั่งของศาลสิ่งแวดล้อมแห่งอินเดียเกี่ยวกับการรั่วไหลของสไตรีนที่เมืองไวแซก จะเป็นแบบอย่างในการป้องกันมิให้เกิดอุบัติภัยทางอุตสาหกรรมหรือไม่ แต่คำสั่งศาลเองไม่ควรนิ่งเฉยกับอุบัติภัยอีกสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน คำสั่งนี้ยังไม่ชัดเจนว่าเจ้าหน้าที่อัยการเขตสามารถใช้เงิน 5 ล้านเหรียญสหรัฐเพื่อใช้ฟื้นฟูและเยียวยาผลกระทบได้หรือไม่

แม้ว่าการรับรู้ถึงหายนะภัยการรั่วไหลของสไตรีนที่เมืองไวแซกจะเป็นสิ่งที่ควรยินดี แต่ศาลสิ่งแวดล้อมแห่งอินเดียควรขยายขอบเขตและสั่งให้รัฐบาลเผยแพร่คำสั่งทันทีไปยังอุตสาหกรรมต่างๆ ให้รับประกันถึงความปลอดภัยในการกลับมาดำเนินการผลิตและประกอบการหลังจากการล็อกดาวน์ ในกรณีที่การล็อคดาวน์ยังดำเนินต่อไป หลักการป้องกันไว้ก่อนเพื่อความปลอดภัยจะต้องไม่ถูกละเลย อุบัติภัยที่เกิดขึ้นนี้แสดงให้เห็นว่าเมื่อการล็อกดาวน์สิ้นสุดลงและอุตสาหกรรมต่างๆ เริ่มกลับมาดำเนินกิจกรรมใหม่ จำเป็นต้องดำเนินการอย่างระมัดระวังเป็นพิเศษ

อุบัติทางอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นในอินเดีย

จากการขยายตัวของอุตสาหกรรมในระดับสูง อินเดียต้องเผชิญอุบัติภัยทางอุตสาหกรรมและการสูญเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องเพิ่มขึ้น ในช่วงสองปี (ปี 2557-2559) อุบัติภัยในโรงงานอุตสาหกรรมทำให้คนงานเสียชีวิต 3,562 คนและบาดเจ็บกว่า 51,000 คน จากข้อมูลของกระทรวงแรงงานและการจ้างงาน หมายความว่ามีผู้เสียชีวิต 3 รายและบาดเจ็บ 47 รายทุกวัน

หายนะภัยที่คืบคลาน : อินเดียมีพื้นที่ปนเปื้อนมลพิษ 128 แห่งและพื้นที่ที่น่าจะปนเปื้อนมลพิษ อีก 196 แห่ง มีการประกอบกิจการที่เกี่ยวข้องกับสารเคมีอันตรายกว่า 1,400 แห่ง
พื้นที่ปนเปื้อนมลพิษเกิดขึ้นเมื่อของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมถูกกำจัดโดยผู้ครอบครองในลักษณะที่ไม่เป็นไปตามหลักวิทยาศาสตร์หรือละเมิดกฎที่กำหนดไว้ พื้นที่เหล่านี้รวมถึงพื้นที่ที่ทำการผลิต หลุมฝังกลบ ที่ทิ้งขยะ สถานที่จัดเก็บและบำบัดของเสีย พื้นที่ทิ้งเศษแร่จากเหมือง พื้นที่ที่เกิดการรั่วไหลของสารเคมี การจัดการของเสียเคมี และการจัดเก็บสารเคมีอันตรายที่ตั้งอยู่ในการใช้ที่ดินแบบต่างๆ

กันไว้ดีกว่าแก้

Illustration: Centre for Science and Environment (CSE)

ไม่ว่าจะเป็นกฎข้อบังคับใดๆ การป้องกันเป็นคำที่ต้องนำมาใช้จริง กฎหมายสิ่งแวดล้อมไม่รู้กี่ฉบับของอินเดียจะมีผล ก็ต่อเมื่อนำองค์ประกอบของการป้องกันไว้ก่อนเข้ามาในนโยบาย โครงการ และแนวปฏิบัติ เริ่มต้นจากการตัดสินใจอนุมัติโครงการไปจนถึงการที่โครงการดังกล่าวมีการดำเนินการจริงๆ การดำเนินงานประจำวันของโครงการนั้นได้ปฏิบัติตามมาตรการด้านความปลอดภัยทั้งหมดหรือไม่