Jamie Henn Jamie ผู้ก่อตั้งและผู้อำนวยการ Fossil Free Media - เขียน / ธารา บัวคำศรี - แปลเรียบเรียง

ไม่เคยมีครั้งไหนที่พวกเขาปล่อยให้วิกฤตหลุดลอย อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลและแนวร่วมของพวกเขาเผยโฉมหน้า และใช้การรุกรานยูเครนของรัสเซียเป็นข้ออ้างเพื่อขยายการพัฒนาอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซฟอสซิลให้มากขึ้น

นักเคลื่อนไหวของกรีนพีซระหว่างการประท้วงในฟยอร์ดที่โอเลน ใกล้เฮาเกสซุนด์ นอร์เวย์ แท่นขุดเจาะ West Alpha จาก Exxon Mobil กำลังเตรียมพร้อมสำหรับการขุดเจาะน้ำมันในแถบอาร์กติก Exxon Mobil บริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในโลก วางแผนขุดเจาะน้ำมันในทะเล Kara ร่วมกับบริษัท Rosneft ของรัสเซีย ในพื้นที่ที่ทับซ้อนกับอุทยานแห่งชาติอาร์กติกของรัสเซีย ตามกฎหมายของรัสเซียห้ามการขุดเจาะน้ำมันในบริเวณนี้

นี่คือ ลัทธิช็อก(shocking doctrine)แบบคลาสสิก – การฉวยใช้วิกฤตผลักดันนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่บรรษัท – จากอุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ เว้นเสียแต่ว่านักการเมืองของเราฉลาดพอที่จะมีวิจารณญาน นี่คือกลยุทธ์บ่อนทำลายความสามารถของเราในการที่จะต่อกรกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศในทศวรรษที่จะมาถึง

ความพยายามของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลในการแสวงประโยชน์จากวิกฤตครั้งนี้ยิ่งเลวร้ายลง เพราะพวกเขามีบทบาทสำคัญในการก่อสงคราม  ความสามารถของปูตินในการทำสงครามต่อยูเครนและคุกคามความมั่นคงของยุโรปนั้นมาจากการควบคุมการผลิตน้ำมันและก๊าซของรัสเซีย  40% ของงบประมาณของรัฐบาลที่เครมลินมาจากน้ำมันและก๊าซ ซึ่งคิดเป็น 60% ของสัดส่วนการส่งออก เดือนตุลาคมที่ผ่านมา รัสเซียทำเงินได้มากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ต่อวันจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับเครื่องจักรสงครามของปูตินโดยตรง

ไม่มีใครในอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซโต้แย้งเรื่องนี้ สิ่งที่พวกเขาต้องการคือ ให้เราลืมเรื่องนี้ไปเสีย ให้ลืมไปว่าพวกเขาช่วยให้ปูตินมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร

รัสเซียจะไม่เป็นมหาอำนาจน้ำมันและก๊าซได้ขนาดนี้หากไร้การสนับสนุนจากอุตสาหกรรมน้ำมันอย่าง ExxonMobil และ BP ซึ่งถือหุ้น 20% ของ Rosneft บริษัทอุตสาหกรรมน้ำมันของรัฐบาลรัสเซีย ย้อนกลับไปในปี 2557 กำลังการผลิตน้ำมันและก๊าซของ Rosneft ค่อนข้างนิ่ง ExxonMobil ร่วมมือกับ Rosneft เพื่อยกระดับการดำเนินงานให้ทันสมัยและขยายการผลิตในภูมิภาคอาร์กติก ทั้งสองฝ่ายเป็นหุ้นส่วนที่ดีต่อกันจนปูตินมอบรางวัล Order of Friendship ให้กับ Rex Tillerson อดีตผู้บริหารของ ExxonMobil ถือเป็นหนึ่งในเกียรติสูงสุดที่รัสเซียมอบให้กับชาวต่างชาติ

ExxonMobil ตอบแทนรัสเซีย(ปูติน)โดยร่วมมือกับอุตสาหกรรมน้ำมันยักษ์ใหญ่อื่นๆ ของสหรัฐฯ และ American Petroleum Institute เพื่อล็อบบี้ไม่ให้คว่ำบาตรรัสเซียหลายต่อหลายครั้ง ซึ่งรวมถึงในปี 2561 ที่สภาคองเกรสสหรัฐฯ ป้องกันไม่ให้รัสเซียแทรกแซงการเลือกตั้งในอนาคต เช่นกับในปัจจุบันที่สภาคองเกรสกำหนดมาตรการคว่ำบาตรที่เข้มงวดยิ่งขึ้นต่อการรุกรานยูเครนของรัสเซีย

โฆษกของ American Petroleum Institute กล่าวเมื่อไม่นานนี้ว่า “มาตรการคว่ำบาตรต้องเจาะจงที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้เพื่อจำกัดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นกับความสามารถในการแข่งขันของบริษัทอเมริกัน”  บริษัทที่พูดถึงนั้นไม่ใช่บริษัทจิ๊บจ้อย หากคืออุตสาหกรรมน้ำมันที่มั่งคั่งที่สุดในโลก

ในขณะที่อุตสาหกรรมน้ำมันยักษ์ใหญ่พยายามปกป้องการลงทุนของตนในรัสเซีย พวกเขาใช้ประโยชน์จากสถานการณ์เพื่อขยายการผลิตของตนในสหรัฐฯ ให้มากขึ้น โดยอ้างว่าจะช่วยต่อกรกับอิทธิพลของปูตินในเวทีโลก

นี่ไม่ต่างอะไรกับพ่อค้ายาเสพติดที่โน้มน้าวเจ้าหน้าที่รัฐว่า วิธีที่ดีที่สุดในการกำจัดคู่แข่งไม่ใช่การปราบปรามยาเสพติด แต่อนุญาตให้เพิ่มการผลิต ผลคือ มีผู้ติดยาเสพติดมากขึ้น และในกรณีนี้คือ โลกของเรายิ่งเสพติดเชื้อเพลิงฟอสซิลที่ก่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศมากขึ้น

แม้ว่าการส่งออกก๊าซฟอสซิลเหลวจากสหรัฐฯ อาจช่วยยุโรปในระยะสั้น การผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิลที่เพิ่มขึ้นของสหรัฐฯ ยิ่งทำให้ยุโรปพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลแบบโงหัวไม่ขึ้นมากขึ้นไปอีก และยังช่วยสนับสนุนแก๊งเชื้อเพลิงฟอสซิลระดับโลกที่มีปูตินเป็นผู้เล่นหลัก

ทางออกในระยะยาวที่เป็นไปได้สำหรับยุโรปและส่วนอื่นๆ ของโลก คือ การปลดแอกเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยเร็วที่สุดด้วยระบบพลังงานหมุนเวียนและการใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งเป็นข้อเสนอทางการเมืองและนโยบายเพื่ออนาคตที่ทำได้

ขณะเดียวกัน ถ้ารัฐบาล ปธน. ไบเดน จะทำตัวให้เป็นประโยชน์ สิ่งที่ต้องทำคือ ดำเนินแผนการ Green New Deal ใหม่เพื่อขยายระบบและเทคโนโลยีพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด ยั่งยืนและเป็นธรรม  แทนการสนับสนุนอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล ซึ่งจะช่วยต่อกรกับอิทธิพลของอุตสาหกรรมน้ำมันยักษ์ใหญ่และรัฐปิโตรเลียมทั้งหลาย และรับมือกับภาวะฉุกเฉินด้านสภาพภูมิอากาศ

เรามีบทเรียนจากการระบาดใหญ่ของ Covid-19 เราไม่อาจจัดการทีละวิกฤต แทนที่จะปล่อยให้อุตสาหกรรมน้ำมันยักษ์ใหญ่ฉวยใช้วิกฤตผลักดันนโยบายที่เอื้อประโยชน์แก่ตน เราต้องยืนหยัดต่อวิสัยทัศน์เพื่อสร้างสันติภาพ ความสมดุล และปกป้องโลกของเราเพื่อคนรุ่นต่อไป นั่นคือ ”ปลดแอกเชื้อเพลิงฟอสซิล”