Rescue workers, local volunteers and PTT personnel attempt to clean up the oil spill at Ao Phrao beach in Ko Samed, Rayong Province, one of the areas most affected by the oil spill. More than 50,000 liters of crude oil has spilt into the sea, 20 kilometers southeast of the Map Ta Phut industrial estate following a leak from a pipeline at an offshore platform. The pipeline is operated by PTT Global Chemical Public Company, a subsidiary of PTT Public Company Limited (the largest fossil fuel conglomerate in Thailand). Greenpeace is calling on the Thai government to review its energy policy and to put an end to oil drilling and exploration in the Gulf of Thailand.

คำเบิกความคดีน้ำมันรั่ว ปตท. ปี 2556

ข้าพเจ้าดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการประจำประเทศไทย มูลนิธิเพื่อสันติภาพเขียว (กรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ซึ่งเป็นองค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมที่เป็นอิสระ จดทะเบียนเป็นมูลนิธิเมื่อวันที่ ๑  มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ และจดทะเบียนเป็นสมาคมกรีนพีซ เซาอีสท์เอเชียในเดือนสิงหาคม  พ.ศ.๒๕๕๓ ปัจจุบันตั้งอยู่เลขที่  ๑๓๗๑ อาคารแคปปิตอล ถนนพหลโยธิน เขตพญาไท กรุงเทพฯ

มูลนิธิและสมาคม ได้ดำเนินงานเพื่อส่งเสริมการปกป้องสิ่งแวดล้อมและสันติภาพในโลกในรูปแบบซึ่งปราศจากความรุนแรงและการแบ่งแยกโดยใช้วิถีที่สร้างสรรค์เพื่อปกป้องสิ่งแวดล้อมในประเทศไทยและทั่วโลกและนำเสนอทางออก

หลักการและคุณค่าหลักที่เป็นรากฐานของกรีนพีซสะท้อนออกมาในงานรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อมทั้งในประเทศไทยและทั่วโลก รวมถึงการเป็นประจักษ์พยานของการทำลายสิ่งแวดล้อม การเผชิญหน้าแบบสันติวิธี เพื่อยกระดับความเข้มข้นและคุณภาพของการโต้เถียงของผู้คนในสังคม ความเป็นอิสระทางการเงินโดยไม่พึ่งพาผลประโยชน์ของรัฐบาลหรือธุรกิจ การค้นหาและส่งเสริมการสนทนาถึงทางเลือกด้านสิ่งแวดล้อมที่เปิดเผยและเป็นวิทยาศาสตร์ และความเคารพโดยแท้จริงต่อหลักการประชาธิปไตยและเพื่อแสวงหาวิธีแก้ปัญหาที่จะส่งเสริมความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อมในสังคมไทย

ข้าพเจ้าได้ติดตามและศึกษากรณีท่อน้ำมันดิบของ บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (พีทีทีจีซี) รั่วไหลลงสู่ทะเลในพื้นที่จังหวัดระยอง นับตั้งแต่วันที่เกิดเหตุการณ์ คือเมื่อวันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๖ เหตุการณ์ดังกล่าวทำให้น้ำมันดิบจำนวนมากกระจายปนเปื้อนครอบคลุมพื้นที่เป็นบริเวณกว้าง และในเวลาต่อมาน้ำมันดิบส่วนหนึ่งได้ถูกพัดพาเข้าสู่ชายหาดบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด จนส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล การท่องเที่ยว และวิถีชีวิตของประชาชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่

ทะเลอ่าวไทยซึ่งเป็นแหล่งอาหารสำคัญถูกคุกคามมาโดยตลอดจากการรั่วไหลของน้ำมันตามเส้นทางขนส่งน้ำมันกลางทะเล ในบริเวณที่มีการขนถ่ายของเรือบรรทุกน้ำมัน หรือจากการดำเนินการขุดเจาะน้ำมัน การรั่วไหลของน้ำมันในครั้งนี้เป็นเหตุการณ์ล่าสุดในเหตุน้ำมันรั่วไหลกว่า 200 ครั้ง ที่เกิดขึ้นในทะเลไทย (ทั้งในเขตอ่าวไทยและทะเลอันดามัน)ในช่วง 3 ทศวรรษที่ผ่านมา

ในทันทีหลังจากข้าพเจ้าทราบถึงเหตุการณ์ ในฐานะเป็นตัวแทนองค์กรรณรงค์ด้านสิ่งแวดล้อม ได้มีข้อเรียกร้องไปยัง บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ให้แสดงภาระความรับผิด (Accountability) ต่อหายนะทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการรั่วไหลของน้ำมัน โดยที่ภาระความรับผิดมิใช่ครอบคลุมเพียงการดำเนินการขจัดคราบน้ำมันรั่วไหลตามข้อกำหนดและมาตรการที่กำหนดไว้ในแผนป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมันแห่งชาติซึ่งระบุว่า การแก้ปัญหาและขจัดคราบน้ำมันนั้นจะต้องอาศัยความร่วมมือจากทั้งภาครัฐบาลและภาคเอกชน ถ้าการขจัดคราบน้ำมันนั้นอยู่นอกเหนือความสามารถของประเทศไทยที่จะจัดการได้ก็สามารถขอความช่วยเหลือจากองค์กรสากลที่มีความเชี่ยวชาญในเรื่องนี้ได้ แต่รวมถึงการเปิดเผยข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นได้กับระบบนิเวศทางทะเล ชุมชนชายฝั่งทะเลและการท่องเที่ยวของไทยโดยทันที และที่สำคัญ ภาระความรับผิดต้องครอบคลุมค่าใช้จ่ายที่ตามมาในการฟื้นฟูสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ และควรต้องมีการดำเนินการตรวจสอบโดยคณะอนุกรรมการว่าด้วยการฟื้นฟูและการประเมินความเสียหายทางสิ่งแวดล้อมซึ่งเกิดจากมลพิษจากน้ำมัน

การติดตามตรวจสอบของข้าพเจ้าโดยอาศัยข้อมูลจากแหล่งต่างๆ ทั้งจากใบแถลงข่าวของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด คำสัมภาษณ์และการรายงานข่าวของสื่อมวลชน มีข้อสังเกตว่า หายนะทางสิ่งแวดล้อมที่เกิดจากการรั่วไหลของน้ำมันครั้งนี้ เกิดจากความบกพร่องและประมาทเลินเล่อของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) โดยตรง กล่าวคือ จากการให้สัมภาษณ์พิเศษในหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2556 ของนายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) นั้น นายบวร วงศ์สินอุดม ยอมรับว่าเขาเชื่อว่าการรั่วไหลของน้ำมันสามารถควบคุมได้เมื่อมีการลงพื้นที่ตรวจสอบในวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2556 และได้ทำการยกเลิก War Room และปฏิบัติการเฝ้าระวังคราบน้ำมันรั่วเวลา 1 ทุ่มของวันที่ 28 กรกฎาคม 2556

ข้อมูลจากแถลงการณ์ของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) วันที่ 28 กรกฎาคม 2556 ฉบับที่ 5 เรื่องความคืบหน้าเหตุท่อรับน้ำมันดิบรั่วในทะเลห่างจากชายฝั่งประมาณ 20 กิโลเมตร ที่ระบุว่า “ตามที่ได้เกิดเหตุท่อรับน้ำมันดิบขนาด 16 นิ้ว รั่วที่บริเวณทุ่นรับน้ำมันดิบ (Single Point Mooring) ซึ่งอยู่ห่างจากชายฝั่งท่าเรือมาบตาพุดไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ประมาณ 20 กิโลเมตร ขณะกำลังมีการส่งน้ำมันมายังโรงกลั่นน้ำมันของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) เมื่อเวลา 06.50 น. วันที่ 27 กรกฎาคม 2556 ซึ่งมีน้ำมันดิบรั่วออกมาประมาณ 50 ตันหรือ 50,000 ลิตรนั้น พ่นน้ำยาขจัดคราบน้ำมัน พบว่า ขณะนี้ปริมาณคราบน้ำมันได้มีปริมาณน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด ส่วนของน้ำมันดิบได้ถูกสลายอย่างมีประสิทธิภาพ เหลืออยู่ประมาณ 5,000 ลิตร ในขณะที่เรือพ่นน้ำยาสลายคราบน้ำมันยังคงทำการพ่นน้ำยาสลายคราบน้ำมันบนผิวน้ำต่อไป โดยเรือของกองทัพเรือ กรมเจ้าท่า บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ที่ส่งมาร่วมกับเรือของ PTTGC และเมื่อเวลา 15.00 น. เครื่องบิน C-130 ของบริษัท ออยล์ สปิล เรสปอนส์ จำกัด (Oil Spill Response Limited) ได้ขึ้นบินจากสนามบินอู่ตะเภาและทำการฉีดพ่นน้ำยาสลายคราบน้ำมัน หลังจากนั้น บริษัทฯ จะส่งเรือและเจ้าหน้าที่ไปทำการวางทุ่นดักน้ำมันความยาว 1,200 เมตร ห่างจากชายฝั่งของเกาะเสม็ด ประมาณ 1,000 เมตร เพื่อป้องกันกรณีที่อาจมีคราบน้ำมันหลุดรอดเข้าไปใกล้ชายฝั่งอีกชั้นด้วย ทั้งนี้ โดยได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานภาครัฐและเอกชนอย่างใกล้ชิด

เวลา 16.00 น. เครื่องบิน C-130 ของบริษัท ออยล์ สปิล เรสปอนส์ จำกัด (Oil Spill Response Limited) ได้บินวนสำรวจในทะเลเพิ่มเติม หากพบคราบน้ำมันหลงเหลือจะทำการฉีดพ่นน้ำยาสลายคราบน้ำมันอีก 1 รอบ นอกจากนี้ หน่วย PTT SEAL Group ได้ใช้เครื่องร่อนขนาดเบาจำนวน 4 ลำ บินตามชายฝั่งเพื่อถ่ายวิดีโอและภาพนิ่งบริเวณเขาแหลมหญ้า และเกาะเสม็ด พร้อมทั้งส่งเรือเร็วตรวจการณ์ ซึ่งทั้ง 3 หน่วยงานได้ทำการถ่ายภาพในทะเล แต่ไม่พบมีคราบน้ำมันตามบริเวณใกล้ชายฝั่งแต่อย่างใด บริษัทฯ ได้จัดเตรียมบุคลากรกว่า 100 คน เพื่อติดตามและสำรวจตามชายฝั่งบริเวณเขาแหลมหญ้าและเกาะเสม็ด ขณะเดียวกัน บริษัทจะยังทำการตรวจสอบวิเคราะห์น้ำทะเลและตัวอย่างสัตว์น้ำต่างๆ ต่อไป เพื่อให้มั่นใจว่า การขจัดคราบน้ำมัน เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และไม่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล”

ตามที่นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ให้สัมภาษณ์ต่อหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2556 ว่า เขาแทบตั้งตัวไม่ทันเมื่อคราบน้ำมันสีดำเข้าสู่หาดทรายสีขาวของหาดพร้าวบนเกาะเสม็ดในวันที่ 29 กรกฎาคม 2556 และย้ำอีกครั้งในช่วงที่มีการตรวจสอบความเสียหายจากคราบน้ำมันบนเกาะเสม็ดว่า ทีมงานจัดการคราบน้ำมันรั่วของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) พิจารณาว่าสถานการณ์อยู่ภายใต้การควบคุมในวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาคม 2556  จากนั้นมีการยกเลิก War Room และปฏิบัติการเฝ้าระวังคราบน้ำมันรั่วเวลา 1 ทุ่มของวันที่ 28 กรกฎาคม 2556 และเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการก็ได้เก็บกระเป๋าสัมภาระเดินทางกลับกรุงเทพฯ

ในคำสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2556 นายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ยังระบุด้วยว่า ทีมงานทางอากาศ (เครื่องบิน C-130 ของบริษัท ออยล์ สปิล เรสปอนส์ จำกัด ) การฉีดพ่นน้ำยาสลายคราบน้ำมันทั้งหมดและไม่มีร่องรอยคราบน้ำมันหลงเหลืออยู่ หลังจากที่เขาเห็นน้ำทะเลเปลี่ยนสีน้ำตาลซึ่งแสดงถึงน้ำยาสลายคราบน้ำมันได้กำจัดคราบน้ำมันเป็นอย่างดี ทีมงานจึงได้ยกทุ่นดักน้ำมัน (ความยาว 1,200 เมตร ห่างจากชายฝั่งของเกาะเสม็ดประมาณ 1,000 เมตร) ขึ้น และปฏิบัติการกำจัดคราบน้ำมันรั่วของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ได้เสร็จสมบูรณ์

ข้าพเจ้ามีความเห็นว่า การตัดสินใจยกเลิก War Room และปฏิบัติการเฝ้าระวังคราบน้ำมันรั่วของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ในเวลา 1 ทุ่มของวันที่ 28 กรกฎาคม 2556 และทำการยกทุ่นดักน้ำมันขึ้น (ตามคำสัมภาษณ์แก่หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ลงวันที่ 2 สิงหาคม 2556 ของนายบวร วงศ์สินอุดม ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน)) เป็นการตัดสินใจที่ประมาทเลินเล่อ จนเป็นเหตุให้คราบน้ำมันได้ถูกพัดพาเข้าสู่ชายหาดบริเวณอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด และพื้นที่ในเขตอุทยานแห่งชาติทางทะเลเขาแหลมหญ้า-เกาะเสม็ด ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมทางทะเล การท่องเที่ยวและวิถีชีวิตของชุมชนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ ยังไม่นับถึงการปนเปื้อนจากน้ำมันและสารเคมีที่ใช้ในการกำจัดน้ำมันที่อาจสร้างความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อม ทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศน์และสุขภาพของประชาชนในระยะยาว

จากบันทึกสถิติการเกิดน้ำมันรั่วในประเทศไทยโดยกรมเจ้าท่า ในระหว่าง พ.ศ. 2516 – พ.ศ. 2554 มีน้ำมันรั่วเกิดขึ้นทั้งหมด 215 ครั้ง โดยเหตุน้ำมันรั่วของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) แม้ว่าจะเป็นการรั่วไหลของน้ำมันในระดับกลาง(Medium Spill หรือ Second Tier) แต่ระดับและขอบเขตของผลกระทบนั้นมีรุนแรงและกว้างขวาง ไม่เพียงแต่สร้างความเสียหายต่อธุรกิจการท่องเที่ยวของอ่าวพร้าว เกาะเสม็ด และจังหวัดระยอง เป็นมูลค่ามหาศาลเท่านั้น แต่ยังก่อความเสียหายต่อสภาพแวดล้อม แหล่งอาหาร ทรัพยากร และระบบนิเวศในทะเลอ่าวไทย ซึ่งผลกระทบดังกล่าวมีความเป็นไปได้ว่าจะมีความรุนแรง และอาจส่งผลต่อเนื่องไปอีกนานเป็นปี

การติดตามตรวจสอบของข้าพเจ้าในฐานะกรีนพีซ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ รวมถึงการทำงานร่วมมือกับองค์กรด้านสิ่งแวดล้อมอีก ๓ องค์กร ได้แก่ มูลนิธิบูรณะนิเวศ มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อมและสถาบันธรรมรัฐเพื่อการพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม และนักวิชาการอีกจำนวนหนึ่ง ซึ่งรวมตัวกันก่อตั้ง “กลุ่มติดตามน้ำมัน ปตท. รั่ว” ขึ้นมาเป็นการเฉพาะกิจ และเรียกร้องผ่านสื่อมวลชน ให้รัฐบาลแต่งตั้ง “คณะกรรมการอิสระ” ขึ้นมาสอบสวนข้อเท็จจริงอย่างเร่งด่วน โดยคณะกรรมการอิสระชุดนี้ต้องมีขั้นตอนการดำเนินงานที่เปิดเผยโปร่งใส ตรวจสอบได้ และมีความเป็นอิสระปลอดพ้นจากผลประโยชน์ทับซ้อนของธุรกิจในกลุ่มของฝ่ายผู้ก่อเหตุ รวมทั้งควรประกอบด้วยผู้มีความรู้ความสามารถในสาขาต่างๆ ที่เกี่ยวข้องอย่างน้อยจาก ๕ ฝ่าย ได้แก่ ภาครัฐ ภาควิชาการ ภาคกฎหมายและภาคประชาชน โดยการเรียกร้องดังกล่าว ได้มีประชาชนร่วมเข้าชื่อผ่านทางเว็บไซต์ change.org กว่า ๓๐,๐๐๐ คน และได้ยื่นข้อเรียกร้องนี้ต่อรัฐบาลเมื่อวันอังคารที่ ๒๗ สิงหาคม ๒๕๕๖ แต่ข้อเสนอนี้ก็ไม่ได้รับการตอบสนองใดๆ

การดำเนินงานติดตามตรวจสอบของข้าพเจ้าในฐานะ “กลุ่มติดตามน้ำมัน ปตท. รั่ว” เน้นไปที่การประเมินความเสี่ยงการปนเปื้อนและความเสียหายจากการใช้สารเคมีเพื่อให้คราบน้ำมันดิบแตกตัวเป็นสารเคมีที่มีอนุพันธ์ขนาดเล็กและจมสู่ใต้ทะเลบริเวณที่เป็นแหล่งอาศัยของสัตว์น้ำรวมถึงแนวหินธรรมชาติที่เป็นปะการังซึ่งมีความสำคัญต่อระบบนิเวศที่เป็นพื้นที่ผลิตอาหารหรือการทำประมงพื้นบ้าน โดยสารเคมีต่างๆ  (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons; PAHs) ซึ่งโดยทั่วไป PAHs เป็นสารเคมีที่มีความเป็นพิษเฉียบพลันต่ำ แต่ในสิ่งมีชีวิตชั้นสูงจะพบความเป็นพิษเรื้อรังและการได้รับอย่างต่อเนื่องอาจทำให้เกิดความเป็นพิษต่อระบบต่างๆ ของร่างกายได้

จากรายงานการทดลองเกี่ยวกับผลของสารกลุ่มนี้ต่อเนื้อเยื่อและอวัยวะของสัตว์ทดลองได้ข้อสรุปว่าสารเคมีในกลุ่มโพลีไซคลิคอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน (Polycyclic Aromatic Hydrocarbons; PAHs) นี้เป็นสารก่อมะเร็งในมนุษย์ (Probable Human Carcinogen) โดยการสำรวจภาคสนามระหว่างวันที่ 19-20 ตุลาคม 2556 มีระยะเวลาห่างจากการเกิดเหตุการณ์น้ำมันรั่วของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ราว 3 เดือน

พื้นที่ที่ทำการสำรวจภาคสนามเป็นแหล่งประมงที่สำคัญของจังหวัดระยองคือในบริเวณแนวหินเลียบชายฝั่งทะเลระหว่างจุดเกิดน้ำมันรั่วและด้านตะวันตกของเกาะเสม็ด ทีมวิจัยภาคสนามได้เก็บข้อมูลภาพถ่ายใต้ทะเล เก็บตัวอย่างตะกอนดิน และสำรวจความเสียหายของระบบนิเวศปะการังบริเวณแนวหินที่มีความสำคัญ ได้แก่ แนวหินใหม่(พิกัด N 12°30’8.44″ E 101°18’9.55”) หินญวน(พิกัด N 12°33’8.24″ E 101°21’1.97”) หินบุช(พิกัด N 12°34’6.45″ E 101°22’6.83”) ปะการังเทียม(พิกัด N 12°33’5.83″ E 101°24’6.12″) บ้านปลา (พิกัด N 12°33’1.60″ E 101°23’3.45” และ N 12°33’0.74″ E 101°20’3.30″) เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานแก่ชุมชนและหน่วยงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องได้นำไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนศึกษา ฟื้นฟูให้พื้นที่บริเวณนี้กลับมาอุดมสมบูรณ์เหมือนดังเดิม

การวิเคราะห์เบื้องต้นตามข้อมูลที่วิเคราะห์จากเครื่องมือตรวจปริมาณโลหะหนักแบบพื้นฐานบ่งชี้ว่าในจุดแนวหินญวน แนวหินบุช ปะการังเทียม บ้านปลา พบปริมาณปรอทและสารหนูในบริเวณดังกล่าวในน้ำที่ละลายตะกอนดินโดยปริมาณที่พบคือ สารปรอท 5 – 20 ส่วนในพันล้านส่วน(ppb) และสารหนู(Arsenic) 0.1-0.6 ไมโครกรัม/กิโลกรัม(µg/kg) อนึ่ง เกณฑ์มาตรฐานตะกอนดินทะเลและชายฝั่งสําหรับประเทศไทยที่ยกร่างโดยกรมควบคุมมลพิษในปี พ.ศ. 2549 พบว่า ค่า Effect range low (ERL หมายถึงระดับความเข้มข้นของสารอันตรายในตะกอนดินที่มีโอกาสพบผลกระทบต่อสัตว์หน้าดินน้อยมาก) และค่า Effect range median(ERM หมายถึง ระดับความเข้มข้นของสารอันตรายในตะกอนดินที่มีโอกาสพบผลกระทบต่อสัตว์หน้าดินปานกลาง) ของปรอทในตะกอนดินทะเลและชายฝั่งอยู่ที่ระดับ 15 และ 71 ส่วนในพันล้านส่วน(ppb) หรือไมโครกรัม/กิโลกรัม(µg/kg)น้ำหนักแห้ง ส่วนค่า Effect range low(ERL) ของสารหนู(Arsenic)ในตะกอนดินทะเลและชายฝั่งอยู่ที่ระดับ 820 ส่วนในพันล้านส่วน(ppb) หรือไมโครกรัม/กิโลกรัม(µg/kg)น้ำหนักแห้ง

ในขณะที่ผลการวิเคราะห์การปนเปื้อนสารโพลีไซคลิกอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนในตะกอนดินพบว่ามีสารโพลีไซคลิคอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอนในระดับที่ต่ำกว่า 0.05 มิลลิกรัม/กิโลกรัมของน้ำหนักแห้ง ซึ่งแม้ว่าจะมีระดับไม่เกินค่ามาตรฐานคุณภาพตะกอนดินที่กำหนดไว้ในทางสากล(มิลลิกรัม/กิโลกรัมของน้ำหนักแห้ง) แต่ก็แสดงให้เห็นถึงร่องรอยการปนเปื้อนสารเคมีกลุ่มนี้ในตะกอนดินที่จำเป็นต้องมีการติดตามตรวจสอบเชิงลึกโดยหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องต่อไปเนื่องจากสารเคมีในกลุ่มโพลีไซคลิคอะโรมาติกไฮโดรคาร์บอน(Polycyclic Aromatic Hydrocarbons; PAHs) เป็นสารที่มีความคงตัวสูงสามารถสะสมตกค้างยาวนานในสิ่งแวดล้อมเช่น ตะกอนดินและเนื้อเยื่อสิ่งมีชีวิตได้

การสำรวจภาคสนามระหว่างวันที่ 19-20 ตุลาคม 2556 ได้บันทึกข้อมูลผลกระทบเชิงประจักษ์ เช่น ปะการังฟอกขาว และการหายไปของสัตว์น้ำก่อนและหลังจากเหตุน้ำมันรั่วของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) และนำเสนอว่า มีความจำเป็นเร่งด่วนในการแก้ไขฟื้นฟูและเฝ้าระวังการปนเปื้อนในห่วงโซ่อาหารที่เป็นผลมาจากจากการรั่วไหลและกระจายตัวของคราบน้ำมันดิบซึ่งรวมถึงมวลน้ำมัน (oil slick) ที่มีส่วนประกอบของสารเคมีที่เป็นพิษซึ่งมีผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตทั้งในทะเลและบนบก

ข้อสังเกตุเรื่องความประมาทเลินเล่อของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) จากการตัดสินใจยกเลิก War Room และปฏิบัติการเฝ้าระวังคราบน้ำมันรั่ว และการสำรวจภาคสนามเพื่อประเมินผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมดังที่ข้าพเจ้าได้เรียนมานี้ เป็นภาพสะท้อนส่วนหนึ่งของเหตุน้ำมันรั่วที่ส่งผลเสียหายในวงกว้าง และบทบาทของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) ที่ยังขาดความโปร่งใสและปัดภาระรับผิดดังสะท้อนให้เห็นจากการแถลงต่อสาธารณะว่าสถานการณ์ที่เกิดขึ้นไม่น่ากังวลและบริษัทฯ สามารถจัดการปัญหาได้ โดยไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบของน้ำมันดิบและสารเคมีที่ใช้ในการสลายน้ำมันดิบที่มีต่อสิ่งแวดล้อมทรัพยากรธรรมชาติ ระบบนิเวศและสุขภาพประชาชน ตลอดจนไม่ได้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับแผนและมาตรการในการจัดการปัญหาการปนเปื้อนทั้งระยะสั้นและระยะยาวต่อสาธารณะ ทำให้ประชาชนไม่อาจทราบถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและไม่สามารถให้ความเห็นเกี่ยวกับแผนการและมาตรการในการจัดการปัญหาของบริษัทฯ รวมทั้งไม่สามารถติดตามตรวจสอบได้ว่าบริษัทฯ ได้ดำเนินการตามแผนและมาตรการที่กำหนดไว้อย่างถูกต้องครบถ้วนได้