May be an image of text that says "คณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยาธธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร รายงานผลการพิจารณาศึกษ พิจา รายง กษา เรื่อง ญัติติารณาศึกยาแลจัทกำบารกา ป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟู และเยียวยากรณีน้ำมันรัวไหทาง กลุ่มงานคณะกรรมาริการการที่ดิน ที่ดิน ทรัพยากรธรมชาติและสิ่งแวดล้อม สำนักกรรมาธิการ ៣ สำนักงานเลนาธิการสกาผู้แทนราษฎ"

คำพิพากษาศาลจังหวัดระยองชั้นต้นที่ยกฟ้องคดีน้ำมันรั่วปี 2565 อาจมองกันว่าเป็นความพ่ายแพ้ของโจทก์ที่เป็นตัวแทนชุมชนชายฝั่ง 832 คนที่ขอให้ศาลสั่งฟื้นฟูทะเลและชายฝั่ง ขอให้ตั้งกองทุนฟื้นฟูวงเงินใหญ่ และขอชดเชยรายบุคคลจากการสูญเสียอาชีพและรายได้ แต่ถ้าเราอ่านคำตัดสินนี้ให้เป็นเพียงแพ้คดีเพราะหลักฐานไม่พอ เราจะพลาดประเด็นสำคัญที่สุด ในภาพกว้าง คำพิพากษานี้สะท้อนว่า โครงสร้างความรับผิด (accountability) ของไทยยังไม่ถูกออกแบบมาเพื่อรับมือมลพิษทางทะเลที่กระทบวงกว้าง กระทบยืดเยื้อ และพิสูจน์ยาก

นี่คือเหตุผลที่ข้อเสนอของรายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่องญัตติพิจารณาศึกษาและจัดมาตรการป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟูและเยียวยากรณีน้ำมันรั่วไหลทางทะเลโดยคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎรมีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะรายงานฉบับนี้ไม่ได้มองน้ำมันรั่วเป็นอุบัติภัยเฉพาะหน้าแต่คือความล้มเหลวเชิงระบบทั้งด้านกฎหมาย การป้องกัน การตอบโต้เหตุ การฟื้นฟู และการเยียวยา เมื่อเรานำคำพิพากษาศาลระยองมาอ่านควบคู่กับข้อค้นพบในรายงานของคณะกรรมาธิการ สภาผู้แทนราษฎร ภาพที่เห็นจึงไม่ใช่เรื่องน่าประหลาดใจทางกฎหมาย หากแต่เป็นผลลัพธ์ที่คาดเดาได้ของระบบที่ยังตั้งไม่ครบ

กระบวนการฟ้องร้องที่จำกัดอาจทำให้การฟื้นฟูกลายเป็นเรื่องที่ไม่มีใครบังคับให้เกิดจริง

เริ่มจากเหตุผลหลักที่เป็นหลักของคำพิพากษา ศาลเห็นว่าโจทก์ไม่มีอำนาจฟ้องในประเด็นฟื้นฟูทรัพยากร เพราะหน่วยงานรัฐฟ้องแทนแล้ว ฟังดูเหมือนเป็นระเบียบที่ว่าทรัพยากรสาธารณะก็ควรให้รัฐดูแล แต่ปัญหาคือ ในโลกจริง การที่รัฐจะดูแลให้ไม่ได้แปลว่าจะเกิดการฟื้นฟูที่รวดเร็ว โปร่งใส เป็นอิสระและมีส่วนร่วมเสมอไป

รายงานของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ชี้ตรงๆ ว่า กติกาของไทยเกี่ยวกับน้ำมันรั่วทางทะเลยังกระจัดกระจาย ไม่เป็นระบบ มีการชดเชยทางแพ่งแบบจำกัด ยังขาดทั้ง สถาปัตยกรรมการฟื้นฟูที่ชัดเจน ขาดกองทุนความรับผิดทางแพ่ง และขาดระบบประกัน/หลักประกันความรับผิดของผู้ก่อมลพิษที่ทำให้การเยียวยาเกิดได้ทันทีและเป็นธรรม เมื่อระบบรัฐยังไม่มีกลไกที่แข็งแรงพอ การปิดประตูไม่ให้ชุมชนใช้กระบวนการยุติธรรมเพื่อบังคับให้มีการฟื้นฟูจึงไม่ได้เป็นเพียงการจัดระเบียบคดี แต่กลับเสี่ยงที่จะทำให้การฟื้นฟูกลายเป็นเรื่องแล้วแต่รัฐจะทำ แล้วแต่ผู้ก่อมลพิษจะจัดการให้มากขึ้น

กับดักของหลักฐาน รัฐยังไม่มีโครงสร้างข้อมูลสาธารณะให้ชุมชนเข้าถึงได้

อีกหลักหนึ่งของคำพิพากษาตามสรุปคือ ศาลให้น้ำหนักกับข้อมูลของรัฐและงานศึกษาวิจัยหลังอุบัติภัยมากกว่าข้อมูลที่ชุมชนเก็บเองโดยชี้ว่าโจทก์ไม่มี baseline ก่อน–หลัง ไม่มีสถิติสนับสนุน และตัวอย่างที่เก็บไม่ได้ตรวจทางวิทยาศาสตร์ แน่นอนว่า ศาลต้องการหลักฐานที่น่าเชื่อถือ แต่รายงานคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ทำให้เราเห็นปัญหาที่ลึกกว่านั่นคือ การพิสูจน์ผลกระทบจากน้ำมันรั่วไม่ใช่เรื่องง่ายโดยธรรมชาติ เพราะน้ำมันและสารเคมีสามารถกระจายตัว เปลี่ยนสภาพ จมลงตะกอนไปเกาะหญ้าทะเล ปะการัง หรือแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำ กลายเป็นคราบยางมะตอย (tar-like residues) โผล่กลับมาภายหลังและแทรกซึมเข้าสู่ห่วงโซ่อาหาร (food chain)

เมื่อผลกระทบมีทั้งแบบเฉียบพลันและแบบยืดเยื้อ การบอกให้ชาวประมงพิสูจน์ให้ชัดโดยไม่มีระบบฐานข้อมูลและการติดตามที่เป็นอิสระรองรับก็เท่ากับโยนภาระพิสูจน์ให้กับผู้เสียหายที่มีทรัพยากรน้อยที่สุด

รายงานของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ยังชี้ด้วยว่า การใช้ข้อมูลเชิงพื้นที่อย่างแผนที่ความอ่อนไหว (sensitivity mapping) ที่รวมมิติทางสังคมและเศรษฐกิจเข้าไปนั้นยังไม่เป็นระบบซึ่งหมายถึงว่า ในภาวะวิกฤต การตัดสินใจตอบโต้เหตุอาจไม่สอดคล้องกับความอ่อนไหวของพื้นที่จริง และเมื่อคดีขึ้นศาล ชุมชนก็ถูกคาดหวังให้มีข้อมูลแบบที่รัฐเองยังไม่ได้จัดทำให้เป็นมาตรฐาน

ทำตามแผนและได้รับอนุญาตไม่ควรถูกตีความเป็นเอกสิทธิ์ที่รอดจากภาระรับผิด

ประเด็นที่อันตรายที่สุดในเชิงบรรทัดฐานคือ หากศาลยึดว่าผู้ก่อเหตุน้ำมันรั่วในทะเลทำตามแผนและได้รับอนุญาตแล้วจึงฟ้องไม่ได้หรือไม่ควรต้องรับผิดมาก ประเด็นนี้สะท้อนชัดผ่านเรื่องสารเคมีสลายคราบน้ำมัน (dispersants)

ในสรุปคดี ศาลมองว่าการใช้สารเคมีเป็นการทำตามแผนและได้รับอนุญาตจากหน่วยงานรัฐจึงไม่เป็นประเด็นฟ้อง แต่รายงานของคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎรชี้ว่า การใช้สารเคมีโดยเฉพาะใกล้ฝั่งหรือในน่านน้ำตื้นอาจสร้างผลกระทบระยะยาวด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ เพราะไม่ใช่การเอาน้ำมันออกจากระบบแต่เป็นการทำให้มันแตกตัว กระจาย หรือกลายเป็นอนุภาคที่อาจจมลงและสะสมได้

ถ้าการได้รับอนุญาตกลายเป็นเกราะคุ้มกันทางกฎหมาย เราจะได้ระบบที่เน้นความถูกต้องตามขั้นตอนมากกว่าความปลอดภัยทางนิเวศ และเปิดช่องให้การตัดสินใจที่มีความเสี่ยงสูงในพื้นที่อ่อนไหวหลุดพ้นจากการตรวจสอบความรับผิด

กองทุนฟื้นฟูถูกยกฟ้องเพราะไม่มีกฎหมายนี่คือจุดที่เป็นข้อเสนอของรายงานของคณะกรรมาธิการ

ศาลยกฟ้องคำขอตั้งกองทุนฟื้นฟู 5,000 ล้านบาทเพราะไม่มีกฎหมายรองรับ ในเชิงเทคนิคอาจจริง แต่รายงานรายงานของคณะกรรมาธิการฯ บอกชัดว่าต้องปิดช่องโหว่นี้ โดยเสนอแนวคิดหลักคือความรับผิดแบบเคร่งครัด (strict liability) และ ผู้ก่อมลพิษเป็นผู้จ่าย (Polluter Pays) ระบบประกัน/หลักประกันทางการเงิน เพื่อให้มีเงินเยียวยาและฟื้นฟูทันที และแนวทางใช้/ขยายกลไก กองทุนสิ่งแวดล้อมเดิมให้ทำหน้าที่รองรับการชดเชยและฟื้นฟูได้จริง แปลเป็นภาษาชาวบ้านคือศาลสร้างกองทุนใหม่ให้ไม่ได้ถ้าไม่มีบทกฎหมาย แต่รัฐสภาสามารถออกแบบให้กองทุนแบบนี้เกิดขึ้นและต้องทำให้เกิด หากประเทศนี้จะจริงจังกับการฟื้นฟูทะเลหลังน้ำมันรั่ว

การยึดสถิติภาพรวมมาหักล้างความเสียหายรายบุคคลอาจทำให้ความจริงของชุมชนหายไป

อีกเหตุผลในสรุปคดีคือศาลให้น้ำหนักกับข้อมูลรัฐที่บอกว่าปีหลังเหตุจับสัตว์น้ำมากกว่าปีก่อนเหตุแล้วใช้เป็นฐานหักล้างความเสียหายรายบุคคล แต่ความจริงในระบบเศรษฐกิจประมงคือต่อให้ปริมาณจับรวมเพิ่มก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีความเสียหาย มันอาจเพิ่มเพราะชาวประมงต้องออกเรือไกลขึ้น ใช้เวลานานขึ้น เสี่ยงมากขึ้น เปลี่ยนชนิดสัตว์น้ำที่จับได้ ขายได้ราคาต่ำลง หรือเจอผลกระทบด้านตลาดและความเชื่อมั่นผู้บริโภค ขณะที่พื้นที่บางจุดอาจได้รับผลกระทบรุนแรงกว่า

รายงานผลการพิจารณาศึกษาเรื่องญัตติพิจารณาศึกษาและจัดมาตรการป้องกัน แก้ไข ฟื้นฟูและเยียวยากรณีน้ำมันรั่วไหลทางทะเลโดยคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎรยอมรับว่า ความเสียหายจากน้ำมันรั่วเป็นแบบกระทบวงกว้างและคำนวณยากจึงต้องมีเครื่องมือและกรอบกระบวนการยุติธรรมที่รองรับไม่ใช่ใช้ตัวเลขรวมรายปีมาปิดประตูการเยียวยา

ข้อสรุปคือถ้าไม่ปฏิรูปตามข้อเสนอโดยคณะกรรมาธิการการที่ดิน ทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สภาผู้แทนราษฎร ระยองจะกลายเป็นแม่แบบซ้ำรอย

บทเรียนจากคำพิพากษานี้จึงไม่ใช่ชุมชนแพ้เพราะพิสูจน์ไม่เก่ง แต่คือระบบที่เป็นอยู่ในสังคมไทยยังไม่สร้างโครงสร้างที่ทำให้การพิสูจน์และการเยียวยาเป็นไปได้จริงอย่างเป็นธรรม ถ้าเรายังปล่อยให้กระบวนการฟ้องร้องมีข้อจำกัด ต้องมีภาระหลักฐานที่พิสูจน์ในทางวิทยาศาสตร์ที่กำกับโดยรัฐ กฎระเบียบที่ยังคงเอื้อให้ปล่ิอยมลพิษได้(legalized pollution) ไม่มีกองทุนและระบบประกันรองรับกลายเป็นบรรทัดฐาน คดีน้ำมันรั่วครั้งต่อไปก็มีแนวโน้มจะเดินไปสู่ปลายทางเดียวกัน และประชาชนจะถูกบังคับให้ถามคำถามเดิมซ้ำแล้วซ้ำเล่า

หลัก Polluter Pays และ strict liability ต้องเกิดขึ้นมีผลจริง ต้องมีหลักประกันทางการเงินและกองทุนเยียวยาและฟื้นฟูที่จ่ายได้เร็ว ต้องมีการติดตามผลและข้อมูลฐานแบบอิสระ และต้องมีกระบวนการยุติธรรมที่เข้าใจความเสียหายทางนิเวศแบบยืดเยื้อและกระทบวงกว้าง ไม่เช่นนั้น น้ำมันรั่วระยองจะไม่ใช่เพียงคดีที่ถูกยกฟ้อง แต่คือการส่งสัญญาณว่า สังคมไทยยังไม่พร้อมปกป้องทะเลและชีวิตของผู้คนเมื่อเกิดวิกฤตมลพิษทางทะเลอีกครั้ง