ในนามของผู้จัดงานประกอบด้วยกลุ่มอนุรักษ์น้ำซับคำป่าหลาย มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม(EnLaw) Protection International (PI) โครงการขับเคลื่อนนโยบายสาธารณะด้านทรัพยากรแร่(PPM) ทีมนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยราชภัฏสกลนคร และกรีนพีซ ประเทศไทย ขอต้อนรับกัลยาณมิตร สมาชิกผู้แทนราษฎร พรรคการเมือง สื่อมวลชน และผู้เข้าร่วมทุกท่าน เข้าสู่เวทีเสวนา “BCG แย่งยึดอะไรที่คำป่าหลาย นโยบายฟอกเขียวในนามความยั่งยืนหรือการแย่งยึดแผ่นดินราษฏร” ในบ่ายวันนี้

ขอขอบคุณหอศิลปะวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานครที่เปิดพื้นที่ผนังชั้น 5 ให้เราได้สื่อสารและเล่าเรื่องราวของ “คำป่าหลาย” ต่อสาธารณะชน

เวทีในวันนี้ พวกเราจะได้รับฟัง รับรู้ อภิปรายและถกเถียงถึง “คำป่าหลาย” ผ่านสิ่งที่ทีมนักวิจัยใช้คำว่า “ความทุกข์จนทางเศรษฐกิจพร้อมกับความทุกข์ตรมทางอารมณ์ต่อราษฎรผู้ถูกแย่งยึดที่ดิน” และความเชื่อมโยงกับวิกฤตโลก 3 ประการคือวิกฤตของความยากจน ความเหลื่อมล้ำและความอยุติธรรม วิกฤตสภาพภูมิอากาศและวิกฤตความหลากหลายทางชีวภาพ

ด้วยเหตุนี้เอง “คำป่าหลาย” จึงมิใช่เป็นเพียงแต่ “จุดเล็กๆ บนแผนที่โลก“ หากคือภาพสะท้อนของความท้าทายต่อวิกฤต 3 ประการดังกล่าว

“คำป่าหลาย” สะท้อนให้เราเห็นถึงด้านที่มืดกว่าของการอนุรักษ์ธรรมชาติซึ่งมุ่งละเมิดสิทธิมนุษยชนและทารุณกรรมในนามของการอนุรักษ์ กลุ่มผู้เชี่ยวชาญแห่งสหประชาติจึงต้องระบุว่า สิ่งที่จะทำให้โลกพ้นจากวิกฤตหาใช่ fortress conservation หรือ “การอนุรักษ์ที่แยกคนออกจากธรรมชาติ” แต่คือ “สิทธิ(rights)

การขับไสไล่ส่งผู้คนออกจากแผ่นดินที่เป็นที่อยู่อาศัยของชนพื้นเมืองและชุมชนท้องถิ่นมาหลายชั่วอายุคนนั้นเป็นปัญหาที่ลึกซึ้งทางจริยธรรมและก่อผลกระทบที่น่าตระหนก

ในพื้นที่หลายแห่งของโลก เจ้าหน้าที่พิทักษ์สิ่งแวดล้อมที่ติดอาวุธ ซึ่งรับทุนสนับสนุนจากผู้บริจาครายใหญ่และองค์กรระหว่างประเทศนั้นได้เข้าคุกคาม ทำร้าย ข่มเหง และสังหารผู้คนในท้องถิ่น ความโหดร้ายเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่เป็นผลมาจากแบบจำลองการอนุรักษ์ที่ล้มเหลวซึ่งเป็นผลพวงจากลัทธิล่าอาณานิคมที่ถือว่าชุมชนชายขอบและชุมชนที่พึ่งพาผืนป่านั้นเป็นภัยคุกคามต่อสัตว์ป่าและพรรณพืช

เราจำเป็นละทิ้งแนวทางการอนุรักษ์ที่ล้าสมัยนี้ให้หมดสิ้น นี่ไม่ใช่แนวทางกอบกู้วิกฤตที่เราต้องเผชิญ เราต้องทำเรื่องนี้ให้ชัดเจนก่อนที่รัฐบาลทั้งหลายจะมองหา “แนวทางง่ายๆ” ในการบรรลุเป้าหมาย SDG BCG หาไม่แล้วจะมีความเสี่ยงอย่างมากที่เราจะเห็นการเติบโตอย่างรวดเร็วของการอนุรักษ์สไตล์อาณานิคมซึ่งผลักดันให้ผู้คนหลายล้านต้องออกจากผืนแผ่นดินที่ใช้ในการดำรงชีวิต

การเร่งรีบของโครงการชดเชย(คาร์บอน) หรือการฟอกเขียว (greenwashing) ที่เอื้อให้รัฐบาลในซีกโลกเหนือและบรรษัทยักษ์ใหญ่ผู้ก่อมลพิษยังคงแบบแผนธุรกิจที่ไม่ยั่งยืนของตนไว้ได้โดยการลงทุนในพื้นที่คุ้มครองธรรมชาติ ยิ่งจะทำให้ความไม่เป็นธรรมในสังคมทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น ละเมิดสิทธิและทำลายศักดิ์ศรี และการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนของชุมชนท้องถิ่นและชนพื้นเมืองที่เป็นผู้พิทักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ

เราจะใช้ชีวิตอยู่อย่าง“ กลมกลืนกับธรรมชาติ” ได้อย่างไร หากเรายังมุ่งขับไล่ผู้คนออกจากผืนดินที่อยู่อาศัยและกีดกั้นการเข้าถึงการใช้ที่ดินตามประเพณี เราไม่อาจเยียวยาผลพวงของการทำลายล้างที่เกิดจากการขูดรีดตักตวงผลประโยชน์จากทุนอุตสาหกรรมโดยทิ้งภาระให้กับกลุ่มคนผู้มีส่วนน้อยที่สุดได้เลย

รัฐบาล ผู้มีอำนาจตัดสินใจต้องรับฟัง สนับสนุน และเคารพชุมชนที่อาศัยอยู่อย่างใกล้ชิดและยาวนานกับระบบนิเวศที่หลากหลายมีลักษณะเฉพาะ รัฐบาลจะต้องรับรองสิทธิในที่ดินของชุมชนท้องถิ่น โดยราษฎรเป็นผู้นำในการวางแผนและจัดการพื้นที่ทำกิน/พื้นที่ป่า และจัดหากลไกทางกฎหมายที่มีประสิทธิภาพเพื่อปกป้องสิทธิเหล่านี้ รวมถึงนักปกป้องสิทธิชุมชนทุกผู้ทุกนาม