ไกด์ท้องถิ่นบอกเราว่า ราว 60% ของเศรษฐกิจที่ผู้คนกว่า 12 ล้านคนในแคชเมียร์พึ่งพาคือการท่องเที่ยว ในขณะที่การเดินทางเข้าและออกจากดินแดนแห่งความขัดแย้งอันยาวนานระหว่างอินเดียและปากีสถานนั้นมีความซับซ้อนพิเศษไม่เหมือนใครในโลก ยังไม่นับเรื่องของ extreme weather ที่เป็นเงื่อนไขยกเลิกการเดินทางทางอากาศเกือบทุกเที่ยวบิน

ทหารอินเดียหลายหมื่นนายถูกส่งเข้ามาในภูมิภาค(ซึ่งเราสามารถเห็นได้ทุกที่ทุกเวลา ทุกๆ แยกในเมือง ในตลาด ริมถนน ไปจนถึงบนยอดเขาที่มีหิมะปกคลุม) และการจำกัดเครือข่ายโทรศัพท์และอินเทอร์เน็ต เป็นผลมาจากรัฐบาลพรรคบีเจพี(พรรคชาตินิยมฮินดูภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี) สร้างความตกตะลึงให้แก่ทุกคนด้วยการเพิกถอนมาตรา 370 เกือบทั้งหมด(รัฐธรรมนูญมาตรานี้เป็นพื้นฐานของความสัมพันธ์อันซับซ้อนระหว่างอินเดียกับแคชเมียร์มานาน 70 ปี โดยอนุญาตให้รัฐจัมมูและแคชเมียร์มีรัฐธรรมนูญของตัวเอง มีธงแยกต่างหาก และอิสระในการดำเนินการเรื่องต่าง ๆ ยกเว้นกิจการต่างประเทศ กลาโหม และการสื่อสาร)
บทความของสำนักข่าวบีบีซี (จดหมายน้อยของเด็กอินเดีย-ปากีสถาน กับประวัติศาสตร์นอกห้องเรียน) เด้งขึ้นมาตอนที่เราค้นข้อมูลเพื่อความเข้าใจ เขียนไว้ตอนหนึ่งว่า “หากเราเคารพในวัฒนธรรมของกันและกัน การอยู่ร่วมกันอย่างสันติก็จะไม่เป็นประเด็น“ ทำให้นึกถึงช่วงเยาว์วัยที่อรัญประเทศยามที่พ่อพาเราเข้าไปเยี่ยมนักเรียนในเขตควบคุมของเขมรแดงที่ข้ามพรมแดนมาเรียนในโรงเรียนประถมที่พ่อเราทำหน้าที่เป็นครูไร้พรมแดน
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นแบบลงลึกจึงได้หนังสือ 1 เล่มติดมือมาจากร้านหนังสือที่สนามบิน Srinakar คนขายหนังสือแนะนำ “The Politics of State Autonomy in Jammu&Kashmir(1st edition 2015)” มีโปรยปกหลังว่า “แคชเมียร์ในปัจจุบันเป็นที่รู้จักจาก “ปัญหาแคชเมียร์” หรือ “ความขัดแย้งในแคชเมียร์” มากกว่าที่เคยเป็นที่รู้จักในฐานะดินแดนที่อุดมด้วยทรัพยากรธรรมชาติ หากจะพูดให้เฉพาะเจาะจงยิ่งขึ้น ปัจจุบันแคชเมียร์ถูกขนานนามว่า “สรวงสวรรค์ที่บอบช้ำ” ตลอดระยะเวลาราวสามทศวรรษที่ผ่านมา ปัญหาแคชเมียร์กลายเป็นประเด็นสำคัญในการอภิปรายระดับสูงอย่างต่อเนื่อง ความขัดแย้งในแคชเมียร์กลายเป็นหนึ่งในส่วนหนึ่งของภูมิทัศน์ระดับนานาชาติ และดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ตามกาลเวลา…”

การไปเยือนในช่วงเวลาสั้นๆ ของเรายังได้ slogan หลังรถตู้ ”life is too short to wait for happiness” ที่สะท้อนชีวิตและการใช้ชีวิตของผู้คนที่นั่น

การไปทำงานที่อินเดียก่อนหน้านี้ของเรา โดยเฉพาะ action training skillshare ระหว่างนักกิจกรรม/การประชุมกับผู้ว่าการธนาคาร ADB ที่ให้เงินกู้โครงการโรงไฟฟ้าถ่านหิน/ปฏิบัติการ international toxic clean up ที่เมืองโภปาลซึ่งเป็นจุดศูนย์กลางของหายนะภัยทางอุตสาหกรรมที่ร้ายแรงที่สุดในโลกซึ่งเป็น wake up call ของอุตสาหกรรมเคมีข้ามชาติ/toxic release inventory/ฯลฯ อินเดียก็ยังเป็น incredible อินเดียอยู่อย่างไม่เสื่อมคลาย
