
นี่คือเรียงความของเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่เคยใช้ชีวิตบนดอยสูงในจังหวัดเชียงรายเมื่อหลายสิบปีก่อน เรียงความนี้มิได้มีเจตนาหมิ่นประมาทผู้ใดผู้หนึ่งในคณะรัฐบาลที่มีคุณแพทองธาร ชินวัตรเป็นนายกรัฐมนตรี แม้ว่าบางตอนของเรียงความอาจจะดูแขวะอยู่บ้างก็อย่าถือสา ให้คิดว่าเป็นเสียงนกเสียงกาของราษฎรและพลเมืองคนหนึ่งที่ปรารถนา “ความเป็นธรรมทางสิ่งแวดล้อม” ในสังคมไทย แม้ว่าหนทางที่จะบรรลุถึงจะยังคงอีกยาวไกล
ถ้าฉันเป็นนายกรัฐมนตรี ประการแรก ฉันจะย้อนกลับไปดูคำแถลงนโยบายต่อรัฐสภาในวันที่ 12 กันยายน 2567 อย่างน้อยเพื่อทบทวนดูว่าคำแถลงนโยบายดังกล่าวสะท้อนกับสภาพความเป็นจริงและสถานการณ์สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันมากน้อยเพียงใด หรือเป็นเพียงแค่โวหารทางการเมือง ฉันคิดว่าคำแถลงนโยบายนี่แหละคือกระจกเงาสะท้อนการบริหารประเทศของรัฐบาล โดยเฉพาะตอนที่ต้องดีเฟนด์กับฝ่ายค้านในสภา
ฉันคิดว่า อาจจะมีการเพิ่มเติม (amendment) อะไรบางอย่างเข้าไปในคำแถลงนโยบาย ที่สะท้อนประเด็นวิกฤตมลพิษข้ามแดนจากเหมืองแร่เถื่อนในลุ่มน้ำกก/ลุ่มน้ำสายซึ่งสถานการณ์หนักมาก มีความละเอียดอ่อนและซับซ้อน ฉันอยากเข้าใจภูมิทัศน์ทางการเมืองของรัฐฉานตอนใต้เพิ่มเติมด้วย
อย่าลืมว่าฉันพลาดอ่านไอแพด น้ำปิงไหลลงแม่น้ำโขงไปครั้งนึงแล้ว ฉันจะไม่ยอมพลาดอีกครั้งแน่นอน
ประการที่สอง ฉันจะเรียกประชุม ครม. เอาเรื่องวิกฤตมลพิษข้ามแดนจากเหมืองแร่เถื่อนในลุ่มน้ำกก/ลุ่มน้ำสายเป็นวาระเร่งด่วน สั่งการให้สำนักนายกรัฐมนตรี เอาเฉพาะหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อนายกรัฐมนตรีก่อน จะเกี่ยวโดยตรงหรือโดยอ้อมก็ตาม รวมถึงรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะรัฐมนตรี ทส. และกรมอาเซียน กระทรวงต่างประเทศ มากางโต๊ะแล้วเอาเครื่องไม้เครื่องมือ (toolbox) ของฝ่ายบริหารทั้งหมดมาดูว่าจะใช้ประโยชน์อย่างไร ทั้งกฎหมาย งบประมาณ ความตกลงต่างๆ ที่ไทยได้ให้คำมั่นไว้ทั้งในระดับภูมิภาคและระดับสากล โดยที่เรียงลำดับความสำคัญภายใต้โจทย์การแก้วิกฤตมลพิษที่ต้นตอและปกป้องสุขภาพของชาวเชียงราย ข้อเสนอที่รองนายกฯ ของฉันไปพูดออกสื่อเรื่องสร้างเขื่อนดักตะกอน ไม่รู้ว่าเอาสมองส่วนไหนคิด
ฉันจะจัดตั้งทีมเฉพาะกิจที่รวมตัวแทนของภาคประชาชนในจังหวัดเชียงราย นักวิชาการ/ผู้เชี่ยวชาญมหาวิทยาลัยร่วมด้วย มาระดมยุทธศาสตร์การแก้วิกฤตครั้งนี้ เรียกว่าทีม avengers ก็แล้วกัน ทีมไม่ต้องใหญ่ แต่ต้องมีจิตสาธารณะสูงส่ง และจะไม่ทำงานแบบราชการแบบเช้าชามเย็นชาม แบบขอไปทีและรุงรังกับพิธีการแนวอีเวนท์หิวแสง
ประการที่สาม คิดว่าตัวฉันเองต้องมีที่ปรึกษาว่าด้วยเรื่อง environmental justice หรือ climate justice มาช่วย นายกฯ ไม่จำเป็นต้องเก่งไปหมด รู้ทุกเรื่องนิ่ง
ที่ฉันอยากรู้คือประเด็นว่าด้วยแนวปฏิบัติ จรรยาบรรณ และมาตรฐานอุตสาหกรรมซึ่งเป็นกรอบการทำงานของภาคธุรกิจ แต่ไอ้เหมืองทอง เหมือง rare earth ในรัฐฉานใต้มันโครตเถื่อน ไร้การควบคุม นอกจากไม่มีมาตรการโดยสมัครใจที่ใช้ควบคุมห่วงโซ่อุปทานของแร่แล้ว มาตรการคุ้มครองชุมชนในลุ่มน้ำกก/น้ำสาย/น้ำรวก/น้ำโขง และระบบนิเวศแม่น้ำนี่ไม่ต้องพูดถึง
ฉันคิดว่าจะขอให้ทีม avengers นี้ทำสืบสาวเรื่องห่วงโซ่อุปทานของเหมืองต่างๆ ในรัฐฉานตอนใต้ แน่นอนโฟกัสไปที่ลุ่มน้ำกกและลุ่มน้ำสาย พอได้ข้อมูลนี้มาแล้ว ฉันจะใช้เวทีแบบทั้งทวิภาคี ไทย/เมียนมา ไทย/จีน และพหุภาคีภายใต้กรอบอาเซียน อาเซียน+จีน และอาเซียน+3 ฉันคิดว่าอาเซียนต้องปรับหลักการเรื่องการไม่แทรกแซงเมื่อดูจากวิกฤตมลพิษข้ามแดนจากเหมืองแร่เถื่อนในลุ่มน้ำกก/ลุ่มน้ำสาย แล้วใช้แนวทางที่อาเซียนทำในเรื่องฉันทามติ 5 ข้อ/หลักการ D4Dในประเด็นความขัดแย้งเมียนมา (แม้ว่าเมียนมาจะหลีกเลี่ยงก็ตาม)
พอมี mapping เรื่องห่วงโซ่อุปทานของการทำเหมืองแร่ในลุ่มน้ำกก ลุ่มน้ำสายแล้ว คราวนี้ก็ออกมาตรการจำกัดการนำเข้ามายังประเทศไทย ถ้าส่งออกไปที่จีนก็เป็นประเด็นนึงที่เราหารือเมื่อคุยกับจีนเรื่องนี้
มาตรการห้ามนำเข้าก็ต้องมา เว้นแต่ผู้นำเข้าจะสามารถแสดงหลักฐานเพียงพอว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไม่มีความเชื่อมโยงกับการละเมิดสิทธิมนุษยชน ความขัดแย้ง และการทุจริต และผลิตขึ้นอย่างถูกกฎหมาย ตรงด่านแม่สายก็ต้องทำแบบนี้ด้วย
เวลาพูดถึงกฎหมายอาจจะใช้เวลา แต่จริงๆ ฉันก็ดันกฎหมายหลายฉบับแบบเร็วๆ ได้ ดังนั้น วิกฤตมลพิษข้ามแดนจากเหมืองแร่เถื่อนในลุ่มน้ำกก/ลุ่มน้ำสาย ฉันจะคนมาช่วยดูเรื่อง OECD’s Due Diligence Guidance for Responsible Supply Chains of Minerals from Conflict-Affected and High-Risk Areas ว่ามีแนวทางอะไรที่นำมาปรับใช้ได้บ้าง
ประการสุดท้าย ฉันจะใ้ช้เวทีประชุมสุดยอดอาเซียนที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ที่จะมีขึ้นเร็วๆ นี้เพื่อหาทางออกจากวิกฤตมลพิษข้ามแดนจากเหมืองแร่เถื่อนในลุ่มน้ำกก/ลุ่มน้ำสายให้ได้ ฉันจะไปปรากฏตัวบนเวทีอย่างสง่างามในฐานะหนึ่งในผู้นำประเทศที่ร่วมก่อตั้งอาเซียน (ในปี 2510) เพื่อผลักดันให้เกิดกรอบอาเซียนว่าด้วยสิทธิทางสิ่งแวดล้อมที่เป็นกลไกรูปธรรมแก้วิกฤตมลพิษข้ามแดนอย่างจริงจัง
-ฉันเอง-
