May be an illustration of map and text that says "กลุ่มของิกูตในปัจุบันอิาใดว่ polycrisis จาวัฐจักรป้อนกลับที่ขยายขึ้นเ (self (self-reinforcing ก็ดย่วตว่ระร่ารงกทงทงนาทก ป้อ ปัญญา ประศิษฐ์() ปัญญาประศิษฐ์เผม:การแตกสลายธอง การแตกสลา ความจรังและการกลับมายองความเ วามเจือ ความจิริง และการกลั่บมาของความ ความไม่สงบ/ความ ยืดหยุ่นทางสังคม ความหยิดหนุ่น ทางเศรษฐกิจ เงินเฟือ การสูญเสียความ ทฏหลายทาง ชิวภาพ ค่าครอง ซพ ความหยืดหยุ่น ทางจิตใจ เศรษฐกิจ ถดถอย เหคตุการณ์สภาพ อำกาศสุดบัว ความไม่แน่นอน การสูญ สยและ ความเสียหาย สงคราม การคา ความทุกข์ใจ โกรธ กาุรทั้งหลายของ ยของ หวงเขอุปทาน เอลนีโญ กลัว/วิตก วิกฤต สุขภาพจิต ทารย้ายตื้นขนาด ใหญ่แบบบังคับ รัฐล้มเหลว โรคระบาด ความไม่มั่นคงทาง อาหารและน้ำ สงคราม สงคราม ม อุดมคต ความขัดแย้งทาง ภูมรฐศาสตร์ ภูมรฐค"

ปี 2568 บอกเราว่าโลกไม่ได้เผชิญวิกฤตหลายเรื่องแบบเข้าแถวต่อคิว แต่เป็นภาวะวิกฤตซ้อนวิกฤต(polycrisis) ไม่ว่าจะเป็นผลที่ยังตกค้างจากโรคระบาดใหญ่ ค่าครองชีพ ภูมิรัฐศาสตร์/สงคราม ภัยพิบัติ/สภาพอากาศสุดขั้ว และแรงสั่นจากเทคโนโลยีทับซ้อนกันและเสริมแรงกันจนผลรวมของสิ่งต่างๆ เหล่านี้หนักกว่าผลกระทบแบบแยกส่วน

เรามักคิดว่าเมื่อวิกฤตหนึ่งรุนแรงขึ้น คนจะให้ความสำคัญกับมันมากขึ้นโดยอัตโนมัติ แต่ความกังวลไม่ได้มาแทนที่กัน มันสะสมทับกัน และเมื่อความกลัวหรือความเครียดสะสมโดยไม่มีเวลาฟื้นตัว สังคมจะเข้าสู่ความเหนื่อยล้า มีอารมณ์ลบ ความโกรธและความตึงเครียดเชื่อมโยงกับวิกฤตสุขภาพจิตระดับโลก

ในการสื่อสารสาธารณะ ถ้าเน้นแบบเปรียบเทียบ เช่น ระหว่างเศรษฐกิจกับสิ่งแวดล้อม ก็ยิ่งบีบให้ผู้คนรู้สึกเหมือนต้องเลือกเอารอดเพียงด้านเดียว ทั้งที่จริงเรากำลังจมอยู่ในหลายวิกฤตพร้อมกัน พอๆ กับคำสัญญาทางการเมืองลม ๆ แล้งๆ

เมื่อความเหนื่อยล้าสะสม กลไกเอาตัวรอดที่พบบ่อยคือการปฏิเสธ ไม่ใช่การปฏิเสธแบบมีแรงจูงใจทางการเมืองเสมอไป แต่เป็นการปิดรับเพื่อกันตัวเองจากความกลัว ความเศร้า ความรู้สึกผิด ทำให้ข้อมูลถูกกรองผ่านอคติยืนยันตัวเอง(confirmation bias) และยิ่งคุยกันยากขึ้น

ยิ่งโลกวุ่นวาย เรายิ่งเผลอเชื่อสิ่งที่อยากเชื่อและมองข้ามสิ่งที่ไม่เข้ากับความคิดเดิม นี่คือ confirmation bias ที่ทำให้ความจริงถูกคัดกรองด้วยความกลัวและความเครียด

ความไม่แน่นอนอันยาวนานยังได้บั่นทอนความไว้วางใจต่อสถาบันต่างๆ ในสังคม และผลิตความไร้อำนาจหลายชั้น “ความไร้อำนาจที่แท้จริง”(โครงสร้างระบบที่พรากอำนาจจากผู้คน) “ความไร้อำนาจที่เรียนรู้”(กรอบความคิดที่พัฒนาขึ้นจากประสบการณ์ที่ซ้ำซาก หรือการผสมผสานระหว่างประสบการณ์และบรรทัดฐานทางสังคม) “การทำให้ตนเองไร้อำนาจ” หรือ การปฏิเสธอำนาจตนเอง (การสันนิษฐานที่สะดวกว่าสิ่งใดก็ตามที่เราทำจะไม่เกิดผล)ซึ่งชนชั้นนำสามารถนำไปขยายเพื่อคุมเกมการเมืองได้ และเปิดประตูกว้างให้กับประชานิยมและกระแสต่อต้านสิ่งแวดล้อมเพราะความเหนื่อยล้าถูกเปลี่ยนเป็นความโกรธ และการลงมือด้านสภาพภูมิอากาศกลายเป็นศัตรูต่อปากท้อง

บทสรุปปี 2568 อาจมิใช่ 10 อันดับสถานการณ์โลกเดือด แต่คือการยอมรับว่าเราอยู่ในโลกที่เลื่อนไหล การรณรงค์ผลักดันนโยบายที่ตั้งอยู่บนสมมติฐานเดิมอาจไร้ผลหรือถูกตีกลับ เราจำเป็นต้องปรับการเล่าเรื่อง ปรับวิธีการฟัง และปรับยุทธศาสตร์ให้เท่าทันกรอบความคิดใหม่ของผู้คนในโลกที่ลื่นไหลนี้

การรับมือกับวิกฤตโลกเดือดจึงมิใช่แค่เรื่องราวแบบดีต่อใจดีต่อโลก แบบโรแมนติก แต่เป็นเรื่องความมั่นคงทางเศรษฐกิจ สุขภาพ อาหาร น้ำ ที่อยู่อาศัย และศักดิ์ศรีแห่งความเป็นมนุษย์ และที่สำคัญ ต้องเลิกคาดหวังว่าสร้างความตระหนักแล้วสังคมจะเปลี่ยนเร็ว สมมติฐานนั้นไม่จริงในภาวะ polycrisis