“นิวเคลียร์ไม่ใช่ยาแก้สิว” เป็นเพลงร้องเสียดสีแบบขำ ๆ ของศิลปินเพื่อชีวิต(หงา คาราวาน, มงคล อุทก ฯลฯ) บนเวทีต้านนิวเคลียร์ที่เครือข่ายชุมชนที่ตำบลมะขามเฒ่า ชัยนาทจัดขึ้นเมื่อกลางปี 2552 คราวนั้น กระทรวงพลังงานต้องทำจดหมายชี้แจงถึงผู้ว่าราชการจังหวัดชัยนาทว่า การลงสำรวจพื้นที่พบว่า “มีสภาพทางธรณีวิทยาไม่เหมาะสม” จดหมายออกมาก่อนเลย ทั้งๆ ที่กระบวนการศึกษาความเหมาะสมของพื้นที่ในการสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่งเริ่มต้นขึ้นโดยบริษัท Burn&Roe จากสหรัฐอเมริกา

ถ้า “สิว” เป็นเรื่องธรรมชาติ เรื่องของการปะทะสังสรรค์ของระบบในร่างกายมนุษย์ อยู่คู่กับมนุษย์มาตั้งแต่มนุษย์เป็นมนุษย์

ระบบพลังงานของประเทศ ก็คงมี “สิว” เช่นกัน ขออนุญาตเปรียบเทียบง่าย ๆ แบบนี้แล้วกัน

ผู้กำหนดนโยบายพลังงานพยายามป่าวประกาศว่า ระบบพลังงานไทยนั้นเพิ่งพาเชื้อเพลิงก๊าซธรรมชาติมากไป แล้วมันก็กำลังจะหมดไปจากอ่าวไทยเร็ว ๆ นี้ (แต่ไม่มีใครบอกได้เป๊ะๆ ว่าจริง ๆ แล้ว มันจะหมดเมื่อไร ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องระบบโครงสร้างการสำรวจ ขุดเจาะและอำนาจควบคุมเหนือแหล่งก๊าซธรรมชาติ)

ส่วนการผลิตไฟฟ้าจากถ่านหิน ผู้กำหนดนโยบายพลังงานก็บอกว่า “ไปสร้างที่ไหนคนก็ต้าน” ถึงแม้พยายามโฆษณาชวนเชื่อเรื่อง “ถ่านหินสะอาด” แล้วก็ตาม

การพูดมั่วๆ เช่นนี้ ถือเป็นการปัดสวะพ้นตัว คือไม่ดูว่าคนที่ดูแลนโยบายพลังงานตั้งแต่ที่ประเทศไทยเป็นประเทศขึ้นมาเนี่ยได้ทำอะไรไว้ที่เป็นเรื่องที่ผิดพลาดบ้าง เอะอะก็โทษชาวบ้าน กล่าวหาว่าขัดขวางความเจริญ ต่อต้านการพัฒนา ถอยหลังเข้าคลอง และอื่น ๆ

เอาเป็นว่า โรงไฟฟ้าถ่านหินก็ทำให้เกิดยาก ก๊าซธรรมชาติก็กำลังหมด ก็เลยต้องพึ่งพลังงานนิวเคลียร์ ไม่มีทางเลือกอื่น

ส่วน “พลังงานทดแทน” ซึ่งเป็นคำประดิษฐ์ที่ราชการและอุตสาหกรรมใช้ (คำว่าพลังงานหมุนเวียนนั้นยังเป็นภาษาที่อยู่ชายขอบ) เขาก็บอกว่า ยังไงมันก็ไม่พอ ชีวมวลก็เต็มแล้ว ลมก็ไม่ค่อยเยอะ พลังงานน้ำขนาดเล็กก็ทำเท่าที่ทำได้ ที่สำคัญ “พลังงานทดแทน” ไม่สามารถใช้เป็น เบสโหลด(baseload) คือเป็นโรงไฟฟ้าที่ต้องเดินเครื่องตลอดสำหรับไฟฐานซึ่งในแต่ละวันจะมีราว 7,00 เมกะวัตต์ ที่ต้องใช้ตลอดเวลา

สรุป ยังไงก็ต้องเป็นไฟฟ้าจากนิวเคลียร์ เพราะไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจก(เกาะกระแสโลกร้อน สวมรอยเอาโลกร้อนมาเป็นข้ออ้าง ทั้งๆ ที่แต่ก่อนปฏิเสธกันเป็นพัลวัน) และราคาถูก (แต่พักหลัง ๆ ผู้กำหนดนโยบายพลังงานเริ่มโง่น้อยลงนิดนึง คือ จะบอกว่าการลงทุนมันสูง ก็แพงนั่นแหละ ที่ราคาถูกคือค่าดำเนินการและเชื้อเพลิง ซึ่งจริงๆ แล้วมีประเด็นถกเถียงเยอะว่ามันไปไม่ได้ถูกเอาเสียเลย)

ส่วนเรื่องความปลอดภัย หรือ นิวเคลียร์เซฟตี้ ก็จะดูแลเป็นอย่างดี แล้วก็อ้างมาตรฐานการกำกับดูแลของทบวงปรมาณูระหว่างประเทศ หรือ IAEA  ว่ากว่าจะได้ใบอนุญาตมานั้นไม่ใช่เรื่องง่าย

ดังนั้น โดยสรุปของสรุป ประเทศไทยหนีไม่พ้นที่จะต้อง “GO NUCLEAR” เพราะมีทางนี้ทางเดียว เราจะได้เป็นอารยะเหมือนญี่ปุ่น เกาหลีใต้ จีน อินเดีย และเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศ (อันนี้เป็นวาทกรรมของสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย)

ติดอยู่เรื่องเดียวคือ การยอมรับของประชาชน ซึ่งได้มีการโหมใช้สื่อโฆษณาว่า นิวเคลียร์ดีอย่างโน้น ดีอย่างนี้ ช่วยกันเชื่อหน่อย!!!

วิธีแก้สิวมีมากมาย และเท่าที่ทราบ ก็ไม่มีวิธีใดวิธีหนึ่งหรือยาขนานใดขนานหนึ่งที่เป็นสูตรสำเร็จ วิธีที่ดีที่สุดก็คือ “การป้องกัน” มิให้มันเกิดและต้องเป็นการป้องกันโดยการดูแลตัวเราเองและสุขภาวะของเรา

ถ้าระบบพลังงานไทยเกิด “สิว” ขึ้น นิวเคลียร์ก็ไม่ใช่ยาแก้สิว

แพทย์แนะนำว่า วิธีการปฎิบัติตนเพื่อไม่ให้เกิดสิวขึ้นหรือการป้องกันสิวเกิด คือ พักผ่อนให้เพียงพอ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ ทำจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียดหรือวิตกกังวลเกินไป

เราควรจะแนะนำนักการเมืองและข้าราชการประจำที่ดูแลนโยบายพลังงานทำเช่นเดียวกัน คือตั้งใจฟังเสียงของประชาชน อย่าหลงเชื่อนักเจรจาหว่านล้อมที่ถูกจ้างโดยอุตสาหกรรมนิวเคลียร์

แพทย์แนะนำว่า “อย่าบีบ หรือแกะหัวสิวให้แตก เพราะจะทำให้อักเสบมากขึ้น หายช้าลง หรือทำให้เกิดแผลเป็นได้”

เราควรจะแนะนำนักการเมืองและข้าราชการประจำที่ดูแลนโยบายพลังงานทำเช่นเดียวกัน เป็นคำเตือนว่า อย่าบีบ “สิว” พลังงานให้ “แตก” สังคมไทยอักเสบด้วยนโยบายพลังงานที่รวมศูนย์และไม่ยืดหยุ่นมานานเท่าไรแล้ว เราไม่ควรจะทำให้ระบบพลังงานของเราเกิดบาดแผลมากไปกว่านี้อีกเลย

»»อ่านเพิ่มเติม
ยุติยุคนิวเคลียร์
จับตานิวเคลียร์
ประวัติและพัฒนาการมาเฟียพลังงาน(Energy Godfather)