เขียนโดย : อิกเราะ อะนูกราห์ (Iqra Anugrah)

กลยุทธ์ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม
ในส่วนต่อไปนี้ เราจะสำรวจแนวทางสร้างสรรค์ที่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมในสามภูมิภาคใช้ เพื่อขับเคลื่อนเป้าหมายของพวกเขาท่ามกลางโครงสร้างจักรวรรดินิยมยุคใหม่
กรณีศึกษา 1: พันธมิตรที่ไม่คาดคิดและเครือข่ายของขบวนการสมานฉันท์เพื่อปาเลสไตน์
เรามาเริ่มต้นด้วยตัวอย่างล่าสุดของ ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่ต่อต้านจักรวรรดินิยม นั่นคือ ขบวนการสมานฉันท์เพื่อปาเลสไตน์
เมื่อเกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในปาเลสไตน์ พันธมิตรระดับประชาชนที่สนับสนุนปาเลสไตน์และสันติภาพได้ถูกจัดตั้งขึ้นอย่างรวดเร็ว และขยายตัวจนกลายเป็นขบวนการที่เข้มแข็ง พันธมิตรนี้ประกอบไปด้วยกลุ่มที่มีความหลากหลายอย่างกว้างขวาง รวมถึง: องค์กรฝ่ายซ้ายทางการเมือง ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมแนวก้าวหน้า สหภาพแรงงานและแรงงานจากหลากหลายภาคส่วน รวมถึงนักศึกษา ชาวยิวต่อต้านลัทธิไซออนิสต์ กลุ่ม LGBTQ+ ชุมชนมุสลิม พลเมืองทั่วไป องค์กรปาเลสไตน์และชาวพลัดถิ่นปาเลสไตน์ ขบวนการนี้ได้พัฒนา ยุทธศาสตร์หลายด้าน (multi-pronged strategy) เพื่อต่อสู้เพื่อการหยุดยิงถาวรและการปลดปล่อยปาเลสไตน์
แนวทางของขบวนการครอบคลุมตั้งแต่การระดมมวลชนครั้งใหญ่ (mass mobilisation) การใช้ช่องทางการทูตเพื่อกดดันรัฐบาลต่าง ๆ (diplomatic efforts) การใช้สื่อเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนการต่อสู้ทางการเมือง (media operations) การรวมตัวของขบวนการในรูปแบบนี้แสดงให้เห็นว่า พันธมิตรที่หลากหลายสามารถร่วมกันสร้างแนวร่วมต่อต้านจักรวรรดินิยมและทุนนิยมอำนาจนิยมได้ แม้ว่าจะมาจากกลุ่มที่มีจุดยืนและอัตลักษณ์ที่แตกต่างกันก็ตาม
องค์ประกอบเหล่านี้ แม้จะเกิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการและไม่ได้ประสานงานกันโดยตรง แต่สามารถสนับสนุนและเสริมสร้างซึ่งกันและกัน นำไปสู่การก่อตัวของพันธมิตรที่ไม่คาดคิดระหว่างกลุ่ม องค์กร รัฐ และเครือข่ายต่าง ๆ ขบวนการสมานฉันท์เพื่อปาเลสไตน์ ใช้ทั้งการประท้วงบนท้องถนน ควบคู่ไปกับ การรณรงค์ในสถาบันที่มีความสำคัญเชิงสัญลักษณ์ ปัญญาชน และด้านเศรษฐกิจต่ออิสราเอลและชาติตะวันตกที่สนับสนุน นั่นคือ มหาวิทยาลัย
ผลกระทบของยุทธศาสตร์นี้ได้สร้างการเปลี่ยนแปลงในกระแสความคิดเห็นของสาธารณะ ทำลายความชอบธรรมของอิสราเอลในฐานะ “ป้อมปราการแห่งเสรีนิยมและเสรีภาพทางปัญญา” ตัดขาดความสัมพันธ์ในระดับสถาบัน การเงิน และการทหารที่สนับสนุนการยึดครองและอาชญากรรมสงครามของอิสราเอล เช่นเดียวกับการถอนทหารสหรัฐฯ ออกจากเวียดนาม และการคว่ำบาตรแอฟริกาใต้ในยุคแบ่งแยกสีผิว (Apartheid) การกดดันจากขบวนการประชาชนในระดับล่างได้ผลักดันให้ประเทศสำคัญ เช่น แอฟริกาใต้และโคลอมเบีย แสดงจุดยืนสนับสนุนปาเลสไตน์อย่างชัดเจน
กรณีของแอฟริกาใต้ เป็นตัวอย่างสำคัญ โดยรัฐบาลแอฟริกาใต้ ยื่นฟ้องอิสราเอลในข้อหาฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ต่อศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ) ซึ่งถือเป็นหมุดหมายทางประวัติศาสตร์ในการท้าทายอำนาจของอิสราเอลในระดับโลก นอกจากนี้ ขบวนการนี้ยังสามารถ สร้างแรงกดดันให้หลายประเทศในยุโรป เช่น สเปน นอร์เวย์ ไอร์แลนด์ และเบลเยียม ออกมาแสดงจุดยืนสนับสนุนสิทธิของชาวปาเลสไตน์ เป็นครั้งแรกในระดับที่ชัดเจนยิ่งขึ้น
อาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์นี้สะท้อนถึง การประท้วงต่อต้านองค์การการค้าโลก (WTO) ในอดีต ซึ่งขณะนั้น ขบวนการต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดินิยมแนวรุนแรง สามารถร่วมมือกับ รัฐในโลกใต้ (Global South) เป็นการชั่วคราว และประสบความสำเร็จในการ ยับยั้งการผลักดันนโยบายการค้าเสรีแบบเสรีนิยมใหม่
ในปัจจุบัน การประณามอิสราเอลในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ได้รับการสนับสนุนเกือบทั้งหมดจากประเทศใน โลกใต้ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มความเป็นเอกภาพของประเทศเหล่านี้ในการต่อต้านการรุกรานของอิสราเอล นอกจากนี้ จีนและกาตาร์ ก็มีบทบาทบางประการในเชิงการทูตต่อสถานการณ์ในปาเลสไตน์ จีนสนับสนุนแนวทางสองรัฐ (Two-State Solution) อย่างต่อเนื่อง เพิ่งเป็นตัวกลาง เจรจาข้อตกลงสมานฉันท์ระหว่างฮามาส (Hamas) ฟาตาห์ (Fatah) และอีก 12 กลุ่มชาวปาเลสไตน์ เพื่อสร้างเอกภาพระดับชาติและผลักดันให้ปาเลสไตน์ได้รับสถานะรัฐ กาตาร์ทำหน้าที่เป็น ตัวกลางในกระบวนการหยุดยิง มีบทบาทในการเจรจาแลกเปลี่ยนนักโทษระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ มีอิทธิพลต่อฮามาสในระดับหนึ่งเนื่องจากเป็นประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้นำบางส่วนของกลุ่ม
แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีบทบาททางการทูตในสถานการณ์ปาเลสไตน์ แต่ ควรตระหนักถึงขอบเขตของนโยบายเหล่านี้ จีนยังคงมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการทหารกับอิสราเอลที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ กาตาร์เป็นที่ตั้งของฐานทัพอัลอูเดด (Al-Udeid Air Base) ซึ่งเป็นฐานทัพหลักของสหรัฐฯ ในภูมิภาค สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้บางรัฐในโลกใต้จะมีบทบาทในการสนับสนุนปาเลสไตน์ในเชิงยุทธศาสตร์ แต่พวกเขาก็ยังคงดำเนินนโยบายต่างประเทศที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก
อาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์นี้สะท้อนถึง การประท้วงต่อต้านองค์การการค้าโลก (WTO) ในอดีต ซึ่งขณะนั้น ขบวนการต่อต้านทุนนิยมและจักรวรรดินิยมแนวรุนแรงสามารถร่วมมือกับรัฐในโลกใต้ (Global South) เป็นการชั่วคราว และประสบความสำเร็จในการยับยั้งการผลักดันนโยบายการค้าเสรีแบบเสรีนิยมใหม่ ในปัจจุบัน การประณามอิสราเอลในที่ประชุมสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UNGA) ได้รับการสนับสนุนเกือบทั้งหมดจากประเทศในโลกใต้ ซึ่งสะท้อนถึงแนวโน้มความเป็นเอกภาพของประเทศเหล่านี้ในการต่อต้านการรุกรานของอิสราเอล
นอกจากนี้ จีนและกาตาร์ ก็มีบทบาทบางประการในเชิงการทูตต่อสถานการณ์ในปาเลสไตน์ จีนสนับสนุนแนวทางสองรัฐ (Two-State Solution) อย่างต่อเนื่อง เพิ่งเป็นตัวกลางเจรจาข้อตกลงสมานฉันท์ระหว่างฮามาส (Hamas) ฟาตาห์ (Fatah) และอีก 12 กลุ่มชาวปาเลสไตน์ เพื่อสร้างเอกภาพระดับชาติและผลักดันให้ปาเลสไตน์ได้รับสถานะรัฐ กาตาร์ทำหน้าที่เป็นตัวกลางในกระบวนการหยุดยิง มีบทบาทในการ เจรจาแลกเปลี่ยนนักโทษระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ และมีอิทธิพลต่อฮามาสในระดับหนึ่ง เนื่องจากเป็นประเทศที่ให้ที่พักพิงแก่ผู้นำบางส่วนของกลุ่ม
แม้ว่าทั้งสองประเทศจะมีบทบาททางการทูตในสถานการณ์ปาเลสไตน์ แต่ ควรตระหนักถึงขอบเขตของนโยบายเหล่านี้ จีนยังคงมีความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจและการทหารกับอิสราเอลที่ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ กาตาร์เป็นที่ตั้งของฐานทัพอัลอูเดด (Al-Udeid Air Base) ซึ่งเป็นฐานทัพหลักของสหรัฐฯ ในภูมิภาค สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า แม้บางรัฐในโลกใต้จะมีบทบาทในการสนับสนุนปาเลสไตน์ในเชิงยุทธศาสตร์ แต่พวกเขาก็ยังคงดำเนินนโยบายต่างประเทศที่คำนึงถึงผลประโยชน์ของตนเองเป็นหลัก
ในทางปฏิบัติ บางครั้งผลประโยชน์ของขบวนการรากหญ้าสำหรับปาเลสไตน์และสันติภาพในตะวันออกกลางอาจสอดคล้องกับผลประโยชน์ของชนชั้นนำฝ่ายก้าวหน้าในบางประเทศในโลกใต้ รวมถึงบางรัฐในยุโรป จีน และกาตาร์ แม้ว่าจะไม่ได้มีวิสัยทัศน์ทางการเมืองเดียวกัน แต่ก็มีจุดร่วมในบางด้านนอกจากนี้ แรงสนับสนุนอย่างล้นหลามของประชาชนในตะวันออกกลางที่มีต่อปาเลสไตน์ รวมถึงปฏิบัติการกองโจรของกลุ่มติดอาวุธที่ต่อสู้กับกองกำลังอิสราเอลและสหรัฐฯ ได้ช่วยเสริมสร้างแนวร่วมกว้างขวางระหว่างขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและกลุ่มการเมืองระดับรัฐ แม้ว่าแนวร่วมนี้จะไม่ได้มีการประสานงานกันอย่างเป็นระบบก็ตาม
ปัจจัยสำคัญที่ช่วยสนับสนุนขบวนการนี้คือ การต่อต้านการครอบงำของสื่อจักรวรรดินิยมตะวันตกและโฆษณาชวนเชื่อของอิสราเอล (Hasbara Propaganda) แม้ว่าสื่อกระแสหลักของตะวันตกจะแสดงอคติสนับสนุนอิสราเอลอย่างชัดเจน และแคมเปญ Hasbara จะได้รับงบประมาณจำนวนมหาศาลเพื่อปกปิดและลดทอนความรุนแรงจากอาชญากรรมสงครามของอิสราเอล แต่อัลจาซีรา (Al-Jazeera) ได้ทำหน้าที่เป็นกลไกต้านกระแสที่สำคัญในสงครามข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในกาซา อัลจาซีราเป็น สื่อขนาดใหญ่เพียงไม่กี่แห่งที่สามารถแข่งขันด้านการรายงานข่าวและทรัพยากรกับสื่อกระแสหลักของตะวันตก ทำให้เกิดสมดุลในการเผยแพร่ข้อมูลและช่วยให้เสียงของผู้ถูกกดขี่ในปาเลสไตน์ได้รับการรับฟังในเวทีโลก
กรณีศึกษา 2: ขบวนการต่อต้านอำนาจนิยมในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
ในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเผชิญหน้ากับทุนนิยมอำนาจนิยมและการขยายตัวของมันในระดับข้ามชาติ ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คือ พันธมิตรชานม (Milk Tea Alliance – MTA) ซึ่งเป็นเครือข่ายหลวม ๆ ของขบวนการต่อต้านอำนาจนิยมและสนับสนุนประชาธิปไตยใน ฮ่องกง ไต้หวัน ไทย และเมียนมา โดยมีบทบาทสำคัญในช่วงปี 2020-2021
ขบวนการนี้ขับเคลื่อนโดยคนรุ่นใหม่ และใช้ทั้ง การระดมพลจำนวนมากในพื้นที่จริงและการเคลื่อนไหวทางออนไลน์ เพื่อเผชิญหน้ากับอำนาจนิยมในหลายรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นรัฐพรรคเดียวที่ควบคุมโดยพรรคคอมมิวนิสต์จีน ในฮ่องกงและไต้หวัน ระบอบนิยมเจ้าที่ได้รับการสนับสนุนจากกองทัพในไทย รัฐบาลทหารเผด็จการในเมียนมา ขบวนการนี้มีมิติข้ามชาติอย่างชัดเจนโดยมีการแลกเปลี่ยนแนวคิดและยุทธวิธีระหว่างกัน
ขบวนการต่อต้านอำนาจนิยมในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน โดยมีอิทธิพลต่อการเคลื่อนไหวทางสังคมในปัจจุบัน และมุ่งต่อต้านทั้ง ทุนนิยมอำนาจนิยม/แนวคิดพัฒนาแบบอำนาจนิยม และโครงสร้างจักรวรรดินิยมที่สนับสนุนระบบเหล่านี้ ตัวอย่างขบวนการสำคัญในอดีต ได้แก่ ขบวนการต่อต้านเผด็จการมาร์กอสในฟิลิปปินส์ ขบวนการต่อต้านระบอบซูฮาร์โตในอินโดนีเซีย การลุกฮือกวางจู (Gwangju Uprising) ในเกาหลีใต้ ขบวนการเรียกร้องความเป็นธรรมด้านที่ดิน การต่อต้านเขื่อน และการนัดหยุดงานของแรงงาน การเคลื่อนไหวเพื่อประชาธิปไตยและการปลุกกระแสศาสนาก้าวหน้าในภูมิภาค ขบวนการเหล่านี้เปิดโปง การสมรู้ร่วมคิดระหว่างทุนข้ามชาติ รัฐบาลตะวันตก และสถาบันการเงินระหว่างประเทศ ที่ค้ำจุนอำนาจนิยมและชนชั้นทุนท้องถิ่นในฟิลิปปินส์และอินโดนีเซีย แม้ว่าจะไม่ได้ประกาศอย่างชัดเจน แต่จิตวิญญาณของการต่อต้านจักรวรรดินิยมยังคงอยู่ในการเคลื่อนไหวเหล่านี้
ขบวนการต่อต้านอำนาจนิยมในยุคปัจจุบันใช้ยุทธศาสตร์ทางการเมืองที่หลากหลาย ตั้งแต่การระดมมวลชนในพื้นที่จริง การรณรงค์ทางออนไลน์ การใช้วัฒนธรรมป๊อปเป็นเครื่องมือขับเคลื่อนทางการเมือง นอกจากนี้ พวกเขายังคิดค้น ยุทธวิธีใหม่ ๆ เพื่อรับมือกับการปราบปรามของรัฐ ตัวอย่างเช่น ผู้ประท้วงในฮ่องกง ใช้ ร่มสีดำและโล่เพื่อป้องกันกระสุนยางและกระบองตำรวจ ใช้วิธีเคลื่อนที่ไปมาระหว่างจุดยุทธศาสตร์ แทนที่จะตั้งจุดชุมนุมถาวร พัฒนากลยุทธ์ต่อต้านการสอดแนมของตำรวจ และใช้รหัสลับในการสื่อสาร
พันธมิตรชานม (MTA)มีข้อเรียกร้องสำคัญเกี่ยวกับประชาธิปไตยที่ส่งผลกระทบต่อระบอบอำนาจนิยมในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้รวมถึงจีนซึ่งสร้างความท้าทายให้กับความร่วมมือที่เป็นปฏิปักษ์ระหว่างรัฐอำนาจนิยมในภูมิภาคและจักรวรรดินิยมตะวันตก อีกทั้งยังเปิดพื้นที่ให้การเมืองก้าวหน้าในรูปแบบอื่น ๆ ที่ก้าวไกลกว่าประชาธิปไตยแบบเลือกตั้ง เช่น การควบคุมทุนของประชาชน อย่างไรก็ตาม ขบวนการนี้ต้องเผชิญกับการปราบปรามรุนแรงจากรัฐบาลจีน แกนนำหลายคนถูกจับกุมหรือถูกบังคับให้ลี้ภัย แม้ว่าการเคลื่อนไหวของ MTA จะถูกบดขยี้ในบางพื้นที่ แต่ยุทธวิธีสร้างสรรค์ในการเผชิญหน้ากับความรุนแรงของตำรวจ อาจถูกนำไปใช้และปรับปรุงให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นในบริบทที่รัฐยังมีข้อจำกัดในการปราบปราม หนึ่งในข้อจำกัดสำคัญของขบวนการต่อต้านอำนาจนิยมในภูมิภาคนี้คือ การขาดความตระหนักถึงบทบาทของทุนข้ามชาติและพลวัตของจักรวรรดินิยมที่ช่วยสืบทอดอำนาจนิยมในภูมิภาค การละเลยมิติสำคัญนี้ทำให้ขบวนการบางส่วนถูกครอบงำโดยชนชั้นนำตะวันตกที่ฉวยโอกาสทางการเมืองและถูกทำให้กลายเป็นเครื่องมือสนับสนุน โครงการเสรีนิยม (neo-liberal project) ตัวอย่างหนึ่งที่เห็นได้ชัดคือ กลุ่มผู้ลี้ภัยชาวฮ่องกงบางกลุ่มที่ต่อต้านอำนาจนิยมของพรรคคอมมิวนิสต์จีน แต่มองโลกตะวันตกในแง่ดีเกินไปถึงขนาดสนับสนุนลัทธิฝ่ายขวาสุดโต่งแบบทรัมป์ (Trumpist reactionary project) การขาดมุมมองทางประวัติศาสตร์และการวิเคราะห์เชิงลึกนี้ ส่งผลให้ขบวนการต่อต้านอำนาจนิยมไม่สามารถท้าทายรากฐานของระบอบพัฒนาแบบอำนาจนิยมในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สี่ปีหลังจากที่ MTA ปรากฏตัวขึ้นบนเวทีการเมืองระดับภูมิภาค ข้อเรียกร้องหลักของขบวนการยังคงเน้นไปที่ประชาธิปไตยแบบเลือกตั้งและการคุ้มครองสิทธิมนุษยชน แม้ว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้จะมีความสำคัญ แต่แนวทางการเคลื่อนไหวกลับแยกตัวออกจากประเด็นแรงงาน ความยุติธรรมทางสังคม และการต่อสู้ทางชนชั้นเพื่อประชาธิปไตยในมิติที่กว้างกว่า
กรณีศึกษา 3: กลยุทธ์ของฝ่ายซ้ายลาตินอเมริกากับการมีส่วนร่วมเชิงยุทธศาสตร์กับจีน
ฝ่ายซ้ายในลาตินอเมริกาเป็นตัวอย่างของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมก้าวหน้าที่สามารถฉวยโอกาสจากการแข่งขันเชิงภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะการแข่งขันระหว่างสหรัฐฯ และจีน การหันไปพึ่งพาจีนเป็นแหล่งเงินลงทุนทางเลือกช่วยลดการพึ่งพาอำนาจทางการเมืองและเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ในภูมิภาค ลดการครอบงำของจักรวรรดินิยมสหรัฐฯ สร้างความเป็นอิสระให้กับประเทศในลาตินอเมริกาสามารถนำเงินทุนไปใช้ในโครงการเศรษฐกิจที่ได้รับแรงบันดาลใจจากแนวคิดสังคมนิยม
การลงทุนจากจีนช่วยปูทางให้กับขบวนการฝ่ายซ้ายในลาตินอเมริกาเข้าสู่อำนาจผ่านการเลือกตั้ง ซึ่งเป็นกระแสที่รู้จักกันในชื่อ “กระแสสีชมพู” (Pink Tide) ฝ่ายซ้ายลาตินอเมริกาได้นำประชานิยมฝ่ายซ้าย (Left-wing populism) มาผสมผสานกับนโยบายเศรษฐกิจแบบสังคมนิยมและสังคมประชาธิปไตยในระดับต่าง ๆ เพื่อต่อต้านลัทธิเสรีนิยมใหม่ (Neoliberalism) และจักรวรรดินิยม โครงการสำคัญที่ถูกผลักดัน ได้แก่ การขยายระบบสวัสดิการสังคม การพยายามทำให้รัฐเป็นเจ้าของกิจการเศรษฐกิจขนาดใหญ่ การจัดตั้งสถาบันการเงินทางเลือก เช่นธนาคารพันธมิตรโบลิวาเรียนเพื่อประชาชนแห่งอเมริกา (ALBA) ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ของกลุ่ม BRICS
แม้ว่าการดำเนินโครงการเหล่านี้จะเป็นกระบวนการที่ซับซ้อนและเต็มไปด้วยความท้าทาย แต่การลดการพึ่งพาสหรัฐฯ และพัฒนาโครงสร้างเศรษฐกิจให้มีความเข้มแข็งขึ้นเป็นสิ่งที่จำเป็นสำหรับฝ่ายซ้าย ที่ต้องการผลักดันแนวคิดสังคมนิยมและประชาธิปไตยในภูมิภาคที่เคยถูกครอบงำโดยวอชิงตัน และเคยมีประวัติศาสตร์ของเผด็จการที่ได้รับการสนับสนุนจากสหรัฐฯ อิโว กานเชฟ (Ivo Ganchev) ชี้ให้เห็นว่าข้อตกลงทางการค้าการลงทุนและเงินกู้ของจีน เป็นทางเลือกใหม่ที่ช่วยให้เอกวาดอร์และโบลิเวียสามารถลดการพึ่งพาสถาบันการเงินที่นำโดยสหรัฐฯ นี่ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ช่วยลดอำนาจของจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจที่วอชิงตันครอบงำมานาน นอกจากนี้ ยังช่วยฟื้นฟูจิตวิญญาณของความร่วมมือแบบ “ใต้-ใต้” (South-South cooperation) ซึ่งเคยเป็นแนวโน้มสำคัญในช่วงยุคปลดปล่อยอาณานิคม
แน่นอนว่า ไม่ใช่ทุกการลงทุนของจีนที่เป็นไปในเชิงบวก บรรษัทจีนหลายแห่งมีประวัติด้านการละเมิดสิทธิแรงงานและสิ่งแวดล้อม ทุนจากจีนไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะนำไปสู่ประชาธิปไตยทางเศรษฐกิจ โดยเฉพาะการให้แรงงานมีอำนาจควบคุมปัจจัยการผลิต ดังนั้น ความสัมพันธ์ทางเศรษฐกิจกับจีนจำเป็นต้องได้รับการตรวจสอบอย่างเข้มงวด โดยต้องให้แน่ใจว่าความร่วมมือนี้เป็นประโยชน์ต่อชนชั้นแรงงาน ขณะเดียวกันก็ต้องตระหนักว่า การสร้างทางเลือกนอกระบบทุนนิยมแบบดั้งเดิมเป็นภารกิจที่ยากลำบาก
แม้ว่ากระแสสีชมพูระลอกแรกจะช่วยให้ฝ่ายซ้ายเข้าสู่อำนาจได้ แต่ก็มีอุปสรรคและความล้มเหลว เช่นชัยชนะของฝ่ายขวาปฏิกิริยาในอาร์เจนตินาและเอกวาดอร์ วิกฤตในเวเนซุเอลา ซึ่งทำให้ประชาชนต้องติดอยู่ระหว่างเผด็จการของนิโกลัส มาดูโร และแผนการรัฐประหารของสหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม กระแสสีชมพูระลอกที่สองกำลังเกิดขึ้นในบราซิลและเม็กซิโก ซึ่งยังคงมีโอกาสเรียนรู้จากอดีตและผลักดันแนวทางเศรษฐกิจที่เป็นธรรมมากขึ้น
ข้อสรุป: โอกาสและความท้าทายของขบวนการต่อต้านจักรวรรดินิยม
เรื่องราวของภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบันยังคงเป็นเรื่องของระเบียบระหว่างประเทศที่นำโดยสหรัฐฯ และตะวันตก อย่างไรก็ตาม ระเบียบนี้กำลังเผชิญกับความท้าทายที่เพิ่มขึ้นจากรัฐมหาอำนาจคู่แข่งและขบวนการประชาชน การเปลี่ยนแปลงล่าสุดในการเมืองโลก เศรษฐกิจ และอำนาจทางทหาร—โดยเฉพาะ กระแสคัดค้านอย่างกว้างขวางต่อสงครามของอิสราเอลในกาซาที่ได้รับการสนับสนุนจากชาติตะวันตก—ดูเหมือนจะเป็นข้อพิสูจน์ถึงแนวโน้มนี้
การปรากฏตัวของรัฐที่ท้าทายอำนาจของสหรัฐฯ ไม่ได้หมายความว่ากำลังจะเกิดยุคใหม่ที่ก้าวหน้าเสมอไป แต่ในขณะเดียวกัน มันเปิดโอกาสให้ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมสามารถท้าทายจักรวรรดินิยมตะวันตก ขบวนการสมานฉันท์เพื่อปาเลสไตน์ ขบวนการต่อต้านอำนาจนิยมในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และฝ่ายซ้ายในลาตินอเมริกา ต่างต่อสู้กับทุนนิยมอำนาจนิยมและ/หรือจักรวรรดินิยม แม้ว่า ยุทธศาสตร์และยุทธวิธีของพวกเขายังอยู่ในช่วงเริ่มต้นและเต็มไปด้วยความขัดแย้ง แต่ขบวนการเหล่านี้ได้กลายเป็น จุดอ้างอิงสำหรับการดำเนินการและนโยบายในอนาคต ที่สำคัญไม่แพ้กัน ขบวนการเหล่านี้ได้แสดงให้เห็น ความเชื่อมโยงระหว่างอำนาจเผด็จการภายในประเทศกับจักรวรรดินิยม หรือการครอบงำของทุนข้ามชาติ แม้จะมีความแตกต่างกันในระดับของความชัดเจนและความสำเร็จก็ตาม
พลวัตของภูมิรัฐศาสตร์โลกในปัจจุบัน อาจเปิดโอกาสให้เกิดความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในระดับข้ามชาติที่กว้างขึ้น ตัวอย่างเช่น แถลงการณ์สนับสนุนชาวปาเลสไตน์จากนักเคลื่อนไหวชาวยูเครนที่ต่อต้านปูติน ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงการสร้างแนวร่วมระหว่างขบวนการต่อต้านอำนาจนิยมและต่อต้านจักรวรรดินิยมทั่วโลก อย่างไรก็ตาม ความท้าทายที่ใหญ่ที่สุดที่ยังคงอยู่ คือการทำลายโครงสร้างจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจ ขบวนการทั้งสามที่กล่าวถึงข้างต้น มุ่งเน้นไปที่การต่อต้านอำนาจทางการเมืองของจักรวรรดินิยมและทุนนิยมอำนาจนิยม แต่สิ่งที่ยากยิ่งกว่าคือ การท้าทายและสร้างทางเลือกให้กับอำนาจทางเศรษฐกิจของจักรวรรดินิยม โดยเฉพาะในด้านการเพิ่มขีดความสามารถในการผลิตของเศรษฐกิจโลกใต้ การจัดตั้งกลไกทางเลือกสำหรับการเงินเพื่อการพัฒนาระดับนานาชาติ การทำให้สถานที่ทำงานในองค์กรขนาดใหญ่เป็นประชาธิปไตย ภารกิจเหล่านี้ควรเป็นแนวทางในอนาคตสำหรับขบวนการก้าวหน้าที่มีจุดยืนต่อต้านจักรวรรดินิยม เพื่อสร้างระบบเศรษฐกิจที่เป็นธรรมและปลอดจากการครอบงำของทุนข้ามชาติ
บทความ "แสวงหาทางเลือก : กลยุทธ์ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อต่อต้านจักรวรรดินิยมและอำนาจนิยม" เขียนโดย อิกเราะ อะนูกราห์ (Iqra Anugrah) เป็นนักวิจัยประจำที่สถาบันนานาชาติเพื่อการศึกษาภูมิภาคเอเชีย (International Institute for Asian Studies - IIAS) มหาวิทยาลัยไลเดน นอกจากนี้ เขายังเป็นนักวิจัยสมทบที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคม การศึกษาและสารสนเทศ (LP3ES) ในกรุงจาการ์ตา เขามีผลงานวิชาการที่ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในหัวข้อการเมืองว่าด้วยการพัฒนาและขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ปัจจุบันเขากำลังศึกษาทฤษฎีการเมืองว่าด้วย แนวคิดอนุรักษนิยมในอินโดนีเซียยุคใหม่และประวัติศาสตร์ของชุมชนคอมมูนในเอเชีย นอกจากงานวิชาการแล้ว เขายังมีบทบาทสำคัญในองค์กรประชาชนและเครือข่ายเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย เช่น เครือข่ายนักคิดศาสนาแนวก้าวหน้า ขบวนการเคลื่อนไหวด้านปฏิรูปที่ดินและนักเคลื่อนไหวด้านแรงงาน
