คลังเครื่องมือทางการเมืองที่ผอมแห้งแรงน้อย (The Emaciated Repertoire of Political Action)

แปลเรียบเรียงจาก The Millennium Curse: Why Activism is Failing https://www.amazon.com/stores/Tony-Saghbiny/author/B00D1RCX68?ref=ap_rdr&isDramIntegrated=true&shoppingPortalEnabled=true

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา รูปแบบของการเคลื่อนไหวทางการเมืองหลายประเภทกลายเป็นเสมือน “หลักคำสอน” ที่ยึดถือกันโดยอัตโนมัติ และกลายเป็นเป้าหมายในตัวมันเอง โดยเฉพาะ 3 รูปแบบที่โดดเด่น ได้แก่ “การประท้วง” “การทำลายทรัพย์สิน” และ “แฮ็กทิวิสม์” (hacktivism)

รูปแบบเหล่านี้สะท้อนคลังเครื่องมือหลักของนักเคลื่อนไหวใน 3 แบบ — หนึ่งในนั้นคือรูปแบบที่ไม่ใช้ความรุนแรง (โดยส่วนใหญ่), อีกรูปแบบอยู่บนโลกออนไลน์โดยเฉพาะ และแบบสุดท้ายถูกจัดว่า “รุนแรง” (แม้ว่าการทำลายทรัพย์สินจะมุ่งเป้าไปที่ทรัพย์สิน ไม่ใช่คนก็ตาม)

การลดทอนเครื่องมือทางการเมืองให้เหลือเพียง 3 รูปแบบนี้ ไม่เพียงแต่จะทำให้ประสิทธิภาพของการเคลื่อนไหวลดลงเท่านั้น แต่ยังชี้ให้เห็นถึงปัญหาเชิงโครงสร้างในวิธีคิดของขบวนการเคลื่อนไหวรุ่นมิลเลนเนียลอีกด้วย ดังที่เรากำลังจะเห็นต่อไป

การประท้วง: ตัวพ่อที่ไร้อำนาจของการเคลื่อนไหวทางการเมือง

ในบรรดาองค์กรนับไม่ถ้วนทั่วโลก “การประท้วง” — ไม่ว่าจะในรูปแบบใด ตั้งแต่การชุมนุมแบบดั้งเดิม ไปจนถึงแฟลชม็อบแนวสมัยใหม่ — ได้กลายมาเป็น “ตัวพ่อ” แห่งปฏิบัติการทางการเมือง

หากลองพิจารณาขบวนการเคลื่อนไหวแทบทุกแห่งในปัจจุบัน คุณจะพบว่าจุดเด่นที่สุดของพวกเขาคือ “การประท้วง”

อาหรับสปริง และการลุกฮือทั่วโลกในปี 2011 ยิ่งตอกย้ำภาพนี้ — ตอนนี้แทบทุกคนเชื่อว่าการประท้วงคือเครื่องมือที่ดีที่สุดของการเคลื่อนไหว

การประท้วงกลายเป็นยุทธวิธีหลักที่ใช้โดยขบวนการ Occupy Wall Street (ควบคู่กับการนั่งประท้วง) และโดยแคมเปญภูมิอากาศโลกในปี 2009 (ในรูปแบบแฟลชม็อบ)

ขบวนการเคลื่อนไหวมากมายในยุโรปและเมดิเตอร์เรเนียน รวมถึงกลุ่มอนาธิปไตยและฝ่ายซ้ายจำนวนมาก ต่างก็ยึด “การประท้วง” เป็นเครื่องมือหลัก อย่างไรก็ตาม การประท้วงเองไม่ใช่สิ่งที่ดีหรือเลวโดยเนื้อแท้ — ความสำเร็จขึ้นอยู่กับบริบทที่ใช้ บริบทนั้นประกอบด้วยองค์ประกอบพลวัตหลายอย่าง เช่น ลักษณะของประเด็นที่เคลื่อนไหว เป้าหมายขององค์กรที่อยู่เบื้องหลังการประท้วง จำนวนคนที่สามารถระดมเข้าร่วมได้ กลุ่มฝ่ายตรงข้ามที่มีบทบาทอยู่ งานที่ได้ทำร่วมกับประชาชนและเจ้าหน้าที่ก่อนหน้าการประท้วง นโยบายตอบโต้ที่ฝ่ายตรงข้ามอาจใช้ (เช่น รัฐบาลมีประวัติในการปราบปราม หรือเพิกเฉยต่อการประท้วงหรือไม่)

ปัจจัยสำคัญที่สุด คือความสามารถของผู้จัดในการ “ตามต่อ” การประท้วงของตน และสามารถยกระดับการต่อสู้หากจำเป็น — ไม่ว่าจะเป็นการแปรประเด็นให้กลายเป็นข้อเสนอเชิงนโยบาย หรือการเคลื่อนไหวที่เข้มข้นขึ้น ในทั้งสองกรณี สิ่งที่ขาดไม่ได้คือการมี องค์กรรากหญ้า หรือ ขบวนการทางสังคม ที่เข้มแข็ง คอยสนับสนุนการเคลื่อนไหวให้ดำเนินต่อไปหลังการประท้วง

หากไม่มีโครงสร้างที่สามารถรองรับการเคลื่อนไหวระยะยาวได้ การประท้วงก็จะกลายเป็นแค่ “เสียงดัง” ที่ไม่ก่อให้เกิดผลทางการเมืองอย่างแท้จริง

นักเขียน John Michael Greer ได้อธิบายปรากฏการณ์นี้ในบริบทการเมืองอเมริกันว่า:

“แนวทางยอดนิยมในการสร้างแรงกดดันต่อระบบการเมืองของอเมริกา มักจะตั้งสมมุติฐานว่า นักการเมืองจะใส่ใจเมื่อประชาชนส่งเสียงดังพอ หรือเมื่อกลุ่มนักเคลื่อนไหวพูดในนามของประชาชน แต่ปัญหาก็คือ นักการเมืองไม่จำเป็นต้องใส่ใจ เพราะเสียงเหล่านั้นเป็นเพียงเสียงรบกวน และนักการเมืองก็เริ่มมั่นใจมากขึ้นว่า ‘เสียงรบกวน’ แบบนี้สามารถเมินเฉยได้โดยไม่ต้องกลัวผลลัพธ์อะไรเลย”

Greer สรุปว่า:

“รูปแบบการเคลื่อนไหวแบบเดิม เช่น การเดินขบวน การยื่นจดหมาย การล่ารายชื่อ จะใช้ได้ผลก็ต่อเมื่อเจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจรู้สึกว่า นักเคลื่อนไหวสามารถ ‘ทำอะไรที่หนักแน่นกว่านี้’ ได้ หากถูกเมินเฉย — เช่น การเป็นภัยคุกคามในเชิงเลือกตั้งครั้งถัดไป”

การประท้วงอาจสามารถทำให้ประเด็นสำคัญต่างๆ กลายเป็นที่รับรู้ของสาธารณะได้ แต่หากขาดความสามารถในการ “ติดตามต่อ” หรือโต้กลับ ก็ไม่อาจสร้างผลกระทบทางการเมืองได้ นักวิจัยนโยบายอินเดีย Ajay Shah กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า:

“นักประท้วงกำลังพูดว่า ‘ฉันโกรธเพราะรถมันไม่วิ่ง’ แต่การจะเข้าใจว่าทำไมรถถึงไม่วิ่งนั้น ต้องเป็นวิศวกรที่มีทักษะต่างหาก”

Shah ยังยกตัวอย่างหลายกรณีจากฉากเคลื่อนไหวของอินเดีย ที่ล้มเหลวเพราะขาดการติดตามผลอย่างเป็นระบบ เช่น การเคลื่อนไหวของ ดร.คีซาน ฮาซาเร (Dr. Kisan Hazare) ที่ตั้งเป้าจะปราบคอร์รัปชันแต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ

“มีการใช้พลังงานอย่างมาก มีการถ่ายทอดสดผ่านโทรทัศน์ทั่วประเทศ แต่สุดท้ายก็ไม่เกิดผลอะไร” — Shah กล่าว

อีกกรณีคือในช่วงปลายปี 2012 เมื่อมีการประท้วงเกี่ยวกับยาฆ่าแมลงในเครื่องดื่มและคุณภาพของน้ำดื่มในอินเดีย แม้จะมีการเคลื่อนไหวจำนวนมาก โอกาสก็ถูกพลาดอีกครั้ง

Shah อธิบายว่า:

“เราขาดนักคิดทางนโยบายและนักการเมืองที่สามารถวางแนวทางปฏิรูประบบน้ำดื่มและสุขาภิบาล และเปลี่ยนให้เกิดโครงการที่มีผลจริงได้ สุดท้ายเรื่องนี้ก็จบลงโดยที่ยาฆ่าแมลงในน้ำดื่มอินเดียยังคงอยู่เหมือนเดิม”

กรณีแบบนี้มีอีกมากจากหลายประเทศ — บางครั้งเพียงแค่กระแสในอินเทอร์เน็ตก็สามารถกระตุ้นการประท้วงหลายพันครั้งได้ในประเด็นนับร้อยที่แทบไม่มีความคืบหน้าใดๆ

น่าเสียดายที่ขบวนการรุ่นมิลเลนเนียลจำนวนมากกลับเลือกมองเฉพาะการประท้วงไม่กี่ครั้งที่ “ดูเหมือนจะได้ผล” และใช้สิ่งเหล่านี้เป็นข้ออ้างว่า “การประท้วง” คือกลยุทธ์ที่ชนะได้ทุกสถานการณ์ แทนที่จะศึกษาอย่างจริงจังว่า ทำไมการประท้วงส่วนใหญ่ถึงล้มเหลว และอะไรคือปัจจัยที่ทำให้การเคลื่อนไหวบางอย่างประสบความสำเร็จ

ผลก็คือ เกิดปัญหาใหญ่ในหมู่ขบวนการไม่ใช้ความรุนแรง — นั่นคือ การทำให้คลังเครื่องมือทางการเมืองเหลือเพียงเครื่องมือเดียวคือ “การประท้วง” และเลือกใช้มันซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยไม่สนใจความเหมาะสมของบริบทหรือประสิทธิภาพที่แท้จริง

ดังที่กล่าวไว้ ผู้ที่สนับสนุนการประท้วงมักอ้างตัวอย่างที่ประสบความสำเร็จในอดีต (เช่น ตูนิเซีย หรืออียิปต์) เพื่อชี้ว่าการประท้วงคือเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพที่สุด แต่เมื่อการประท้วงล้มเหลว พวกเขากลับคิดว่า วิธีแก้ไขคือ “ประท้วงให้มากขึ้น” — ไม่ใช่ถามว่า ประเภทของการกระทำแบบใดจึงจะเหมาะสมหรือบริบทเป็นอย่างไร คำถามที่ควรถามไม่ใช่แค่ว่าควรทำอะไร แต่ต้องถามว่า เราควรทำมากน้อยแค่ไหนและเมื่อไหร่

การที่บางคนได้รับการยอมรับว่า “อยู่ในขบวนการ” มักทำให้พวกเขาไม่ถูกตั้งคำถามเรื่องประสิทธิภาพของสิ่งที่ทำ เช่น การประท้วงกลายเป็นสิ่งที่แตะต้องไม่ได้ เสมือนเป็น “พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์” ของการเมืองภาคประชาชน

ลองดูขบวนการเคลื่อนไหวเรื่องโลกร้อน ในช่วงต้นทศวรรษ 1990 มีการสร้างวิดีโอ ให้คนมีชื่อเสียงพูดสนับสนุน ดึงนักวิทยาศาสตร์ ล็อบบี้นักการเมืองและทำงานร่วมกับบริษัทต่างๆ พร้อมกับการจัดการประท้วงซ้ำแล้วซ้ำเล่า แต่แม้เมื่อมีข้อตกลง Kyoto Protocol ในปี 1997 ขบวนการโลกร้อนก็ยังเป็นเพียง “เด็กหัดเดิน”

แม้จะเคลื่อนไหวอย่างแข็งขันมาตลอดตั้งแต่ปี 1997 แต่การเจรจาเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศก็ยังไม่เคยไปถึงระดับเดียวกับ Kyoto ได้เลย ตั้งแต่ปี 2007 ขบวนการโลกร้อนเริ่มสร้างพันธมิตรขนาดใหญ่กับกลุ่มสิ่งแวดล้อมนับร้อยที่รวมพลังกัน แล้วเลือกกลยุทธ์หลักคืออะไร?

ใช่แล้ว — การประท้วง (โดยเฉพาะรูปแบบแฟลชม็อบ) ในการประชุมเจรจาที่โคเปนเฮเกนปี 2009 ขบวนการนี้จัดกิจกรรมพร้อมกัน 5,200 จุดใน 181 ประเทศ — ถูกเรียกว่า “วันแห่งการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่แพร่หลายที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก” เหตุการณ์คล้ายกันเกิดขึ้นอีกในปี 2010 (มากกว่า 7,000 จุด) แล้วในปี 2011 และ 2012

จนถึงตอนที่เขียนบทความนี้ องค์กร 350.org ยังประกาศว่าจะจัดกิจกรรมในรูปแบบเดียวกันอีกในปี 2013–14 ภายใต้ชื่อ “Global Power Shift” กิจกรรมเหล่านี้รวมถึงวาดข้อความขนาดใหญ่ให้เห็นจากอากาศ ชูป้ายใกล้สถานที่สำคัญ ร้องเพลง เปิดแบนเนอร์ ประณามผู้แทนในการประชุมด้านโลกร้อน พบปะกับเจ้าหน้าที่ ยื่นสารถึงผู้นำและรัฐบาล แล้วสิ่งเหล่านี้ — ที่จัดโดยเจ้าหน้าที่ที่ได้รับค่าตอบแทนสูง และใช้งบประมาณหลายล้านดอลลาร์ต่อปีได้บรรลุอะไรบ้าง?

ไม่มีอะไรเลย

การยึดการประท้วงเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวทางการเมือง นำไปสู่ผลเสียระยะยาวมากมาย องค์กรที่มุ่งเน้นแต่การประท้วง มักดูแคลนหรือหลงลืมงานระยะยาวที่หนักหน่วงกับประชาชน — ไม่ว่าจะเป็นการสร้างขบวนการ การจัดตั้ง การสนับสนุน และการวางรากฐานสำหรับการเผชิญหน้ากับอำนาจรัฐ

บล็อกเกอร์สายอนาธิปไตย Colin O. ได้พูดถึงปรากฏการณ์นี้ ซึ่งสิ่งที่เขาพูดสามารถใช้ได้กับขบวนการเคลื่อนไหวทั่วโลก ไม่ใช่แค่ในสหรัฐฯ เท่านั้น เขากล่าวว่า:

“นักเคลื่อนไหวในสหรัฐฯ เห็นการประท้วงในอียิปต์ การนัดหยุดเรียนในควิเบก การยึดโรงงานในอาร์เจนตินา แล้วก็รีบพูดว่า เราก็ต้องทำแบบนั้น (…) ดังนั้นเราจึงรีบจัดยึดพื้นที่ เพราะมันดูน่าตื่นเต้นและเป็นเป้าหมาย แต่หากเราถอยออกมามองอย่างจริงจัง จะพบว่า ขบวนการที่ทำสิ่งเหล่านี้ได้ ล้วนผ่านการสร้างองค์กรและการสร้างการตระหนักรู้อย่างต่อเนื่องมาหลายปีแล้ว”

สิ่งที่ Colin กล่าวไว้ คือหัวใจของการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองทุกรูปแบบ แต่ขบวนการรุ่นมิลเลนเนียลกลับมักแทนที่มันด้วยการประท้วงระยะสั้นที่ปลุกเร้าอะดรีนาลีน ทำให้เรารู้สึกดี แต่ไม่ได้นำไปสู่จุดหมายใด

ปัญหาของแนวคิด “การประท้วงคือคำตอบ” คือ พวกเขามักลืมว่า การประท้วงเป็นเพียง “ปลายทาง” ของกระบวนการทำงานอย่างหนักและยาวนานของขบวนการรากหญ้าที่มีการจัดตั้งจริง — ที่สั่งสมกันมาเป็นเดือนหรือเป็นปี การประท้วงที่ประสบความสำเร็จแทบไม่เคยเกิดขึ้นจากการเชิญผ่าน Facebook หรือการขึ้นเทรนด์ใน Twitter

ยกตัวอย่าง ขบวนการสิทธิพลเมืองในสหรัฐฯ ทศวรรษ 1960 การประท้วงเป็นเพียงกลยุทธ์หนึ่งในการเปลี่ยนสถานะของสังคม — แต่งานจริงคือกระบวนการยาวนานของการจัดตั้ง การสร้างวัฒนธรรม การเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และการทำงานทางการเมืองในชีวิตประจำวัน

พวกเขาเผชิญหน้ากับรัฐที่กำลังอ่อนแอและเต็มไปด้วยแรงกดดันจากภายในประเทศ อีกทั้งยังอยู่ในยุคที่วัฒนธรรมหลักเริ่มปฏิเสธการเหยียดเชื้อชาติอย่างชัดเจน และหากรัฐเมินเฉย ก็มีโอกาสที่ปีกหัวรุนแรงของขบวนการ เช่น Malcolm X จะลุกขึ้นต่อสู้ ซึ่งอาจนำไปสู่การแตกหักของประเทศ ความสำเร็จของขบวนการสิทธิพลเมือง ไม่ได้เรียบง่ายแค่ “พวกเขาเดินขบวนแล้วได้สิทธิในวันถัดมา”

กรณีเดียวกันนี้เกิดขึ้นกับการลุกฮือในตูนิเซียและอียิปต์ ปี 2011 ทั้งสองการปฏิวัติเป็นผลจากความกล้าหาญและการต่อสู้ทางการเมืองที่กินเวลานานนับสิบปี ขบวนการเหล่านี้ใช้คลังเครื่องมือที่หลากหลาย ตั้งแต่การนัดหยุดงาน การปะทะกับรัฐ การขว้างปาก้อนหิน การเผาสำนักงานรัฐ และการยึดพื้นที่ การกระทำเหล่านี้ล้วนแตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการประท้วงอย่างสงบที่ขบวนการรุ่นใหม่ยกย่อง ทั้งสองประเทศต้องพบกับการสังหารประชาชน และการทรมานผู้คนจำนวนนับหมื่นก่อนจะไปถึงจุดสำเร็จ

สิ่งที่ควรเข้าใจอีกอย่างคือ การประท้วงต่อต้านระบอบเผด็จการในอียิปต์นั้น “ไม่ใช่เรื่องใหม่” แต่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่องกว่าสิบปีแล้ว ขบวนการต่างๆ เช่น 6 เมษายน, เคฟายา, สหภาพแรงงาน, สมาคมนักศึกษา และกลุ่มเคลื่อนไหวอื่นๆ ได้ต่อสู้อย่างสม่ำเสมอ เผชิญหน้ากับรัฐ สร้างการตระหนักรู้และเสี่ยงชีวิตเพื่ออิสรภาพของตนเอง

การประท้วงเพียงอย่างเดียวไม่ได้รับประกันความสำเร็จ แต่ความสำเร็จเกิดขึ้นได้เมื่อบริบททางการเมือง เศรษฐกิจ และวัฒนธรรม “พร้อม” และขบวนการสามารถยกระดับตามจังหวะที่เหมาะสม สิ่งที่เราควรจับตามองคือ เมื่อเผด็จการประเทศอื่นในโลกอาหรับเผชิญกับสถานการณ์เดียวกัน พวกเขามักเลือก “ตอบโต้การประท้วงด้วยความรุนแรง” โดยไม่ลังเล แม้ในกรณีที่การประท้วงถูกยกย่องว่าเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพสูงสุด

แต่ผลที่เกิดขึ้นกลับเป็นความล้มเหลวในหลายประเทศ เช่น ลิเบีย เยเมน ซีเรีย เลบานอน บาห์เรน แอลจีเรีย และซาอุดีอาระเบีย ในเกือบทุกกรณี การประท้วงจบลงด้วยการปราบปรามอย่างรุนแรงโดยรัฐ (บาห์เรน, ซาอุฯ) การใช้กำลังทหารขั้นเด็ดขาด (ลิเบีย) การจางหายไปอย่างช้าๆ (เลบานอน, แอลจีเรีย) สงครามกลางเมือง (ซีเรีย) ขบวนการประท้วงยังล้มเหลวในการสร้างผลลัพธ์ในสหรัฐฯ และยุโรป เช่นเดียวกันกับ Occupy Movement

ในระยะยาว การประท้วงมักสลายพลังของขบวนการโดยไม่ได้นำสิ่งใดกลับคืนมา การยึดติดกับ “การประท้วง” ในฐานะเครื่องมือทางการเมืองหลัก ยังทำให้มันกลายเป็น กิจกรรมของอภิสิทธิ์ชนทางการเมือง — ที่ถูกทำซ้ำโดยไม่มีประสิทธิภาพ

ในการเคลื่อนไหวส่วนใหญ่ การประท้วงจะจำกัดอยู่ในหมู่นักเคลื่อนไหวมืออาชีพที่อาศัยอยู่ใกล้เมืองหลวงหรือศูนย์กลาง และมักมีเวลาว่างและทรัพยากรในมือจำนวนมาก การได้เห็น “หน้าเดิมๆ” ในการประท้วงครั้งแล้วครั้งเล่า เป็นประสบการณ์ที่นักเคลื่อนไหวหลายคนคุ้นเคยในหลายเมืองทั่วโลก

การเดินขบวนพร้อมถือป้ายตลกๆ หรือป้ายเรียกร้องเรื่องโลกร้อนในที่ประชุม OPEC อาจเป็นการเรียกร้องความสนใจที่ดีต่อสื่อ แต่ไม่ใช่การกระทำที่มีประสิทธิภาพจริง เราไม่สามารถเปลี่ยนนโยบายพลังงานได้ด้วยการทำให้นักการเมืองบางคน “อับอาย” เป็นเวลา 5 นาทีในที่ประชุม — การตัดสินใจทางการเมืองไม่เกิดขึ้นด้วยวิธีนี้ และฝ่ายตรงข้ามของเราไม่สามารถ “รู้สึกละอาย” กับนโยบายที่ทำลายล้างของพวกเขาได้

การเชิดชูการประท้วงเช่นนี้ สะท้อนว่าการวางแผนเชิงยุทธศาสตร์ภายใต้ “คำสาปแห่งสหัสวรรษ” (Millennium Curse) ยังมีมุมมองทางการเมืองที่ไม่ลึกพอ ผู้มีอำนาจไม่แคร์ป้ายหรือคำขวัญของเรา พวกเขาเข้าใจเพียง “ภาษาแห่งอำนาจ” เท่านั้นและเมื่อเราพูดถึง “อำนาจ” ไม่จำเป็นต้องหมายถึงความรุนแรง — เพราะอำนาจสามารถอยู่ในหลายรูปแบบ และสามารถเผชิญหน้าได้หลากหลายวิธี

แต่แม้แต่กลุ่มที่เข้าใจความสัมพันธ์ระหว่างอำนาจกับรัฐ และพยายามใช้ยุทธศาสตร์ที่ไม่ใช่แนวสันติวิธี ก็ยังติดกับอยู่ในภาวะไร้กลยุทธ์เหมือนเดิม ตัวอย่างของภาวะนี้ก็คือ “การทำลายทรัพย์สิน” (Vandalism)

การทำลายทรัพย์สิน : ถ้อยแถลงเชิงวัฒนธรรมหรือการก่อกวนเชิงยุทธศาสตร์?

การทำลายทรัพย์สินเป็นรูปแบบการกระทำหลักของกลุ่มอนาธิปไตยและกลุ่มแนว Deep Green ซึ่งเชื่อว่าการประท้วงแบบไม่ใช้ความรุนแรงนั้น “อ่อนแอเกินไป”

การทำลายทรัพย์สินหมายถึงการทำลายสิ่งของของรัฐหรือบรรษัท เพื่อแสดงจุดยืนทางการเมือง หรือใช้เป็นยุทธวิธีในการสื่อสาร แม้เป้าหมายมักเป็นทรัพย์สินของรัฐบาลหรือบริษัท แต่หลายครั้งก็ไม่มีความเชื่อมโยงทางยุทธศาสตร์โดยตรง — เป็นการทำลายแบบสุ่มหรือด้นสด

กลุ่มถอนรากถอนโคนหลายกลุ่มมองว่าการทำลายทรัพย์สินคือ “พิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์” ของการเคลื่อนไหวโดยเฉพาะเพราะมันมีความเสี่ยงสูง แต่ความเสี่ยงสูงนี้เองที่ทำให้ขาดประสิทธิภาพและไม่ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้างอย่างแท้จริง

การทุบร้านกาแฟ เครือข่ายร้านอาหาร หรือร้านค้าปลีก อาจดูเหมือนการส่งสารทางการเมืองแต่ภายใต้บริบทที่ไม่เฉพาะเจาะจง และเป้าหมายที่ไม่มีความสำคัญทางยุทธศาสตร์ ก็ไม่อาจนำไปสู่ความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

เช่นเดียวกับการประท้วง — การทำลายทรัพย์สินกลายเป็น “จุดสิ้นสุดในตัวมันเอง” แทนที่จะเป็นเครื่องมือในการเคลื่อนไหวและบ่อยครั้ง กลับยิ่งทำให้ขบวนการเลิกให้ความสำคัญกับงานภาคสนามที่สำคัญ และยิ่งบ่มเพาะความไร้กลยุทธ์ในหมู่นักเคลื่อนไหวรุ่นมิลเลนเนียล

ในการวิจารณ์ “Black Bloc” (กลุ่มที่ใช้ยุทธวิธีเผชิญหน้าและทำลายทรัพย์สินแบบไม่เป็นระบบ) Derrick Jensen นักเขียน กล่าวว่า: “การทำลายโดยไม่มีแผน ไม่ใช่แค่ไร้กลยุทธ์ แต่ตรงกันข้ามกับยุทธศาสตร์โดยสิ้นเชิง พวกเขาไม่ยอมตั้งคำถามอย่างมีวิจารณญาณว่า สิ่งที่ทำอยู่นั้นเหมาะสมหรือไม่ในบริบทนั้น ผมไม่ติดขัดกับการละเมิดกฎหมาย ถ้าสิ่งนั้นฉลาดและเหมาะสม แต่ผมติดที่การละเมิดแบบขาดวิจารณญาณ — มันง่ายกว่าที่จะหยิบก้อนหินปาใส่หน้าต่าง มากกว่าการวางแผนว่าจะปาใส่บานไหน และปาทำไม สิ่งที่เรากำลังเห็นคือ ‘ความขี้เกียจ’ มากกว่าการเคลื่อนไหว”

Theodore Kaczynski หรือที่รู้จักกันในชื่อ “Unabomber” ก็กล่าวถึงประเด็นนี้ว่า “การบุก McDonald’s หรือ Starbucks ไม่มีประโยชน์อะไร — ไม่ว่าคุณจะเกลียดหรือไม่ก็ตาม นั่นไม่ใช่การปฏิวัติ แม้ร้านฟาสต์ฟู้ดทั้งหมดจะหายไป โลกก็ยังเดินต่อไปได้ เพราะระบบเทคโนอุตสาหกรรมแทบไม่สะเทือนเลย”

Kaczynski กล่าวต่อว่า “หากต้องการโค่นระบบเทคโน-อุตสาหกรรม เราต้องโจมตี ‘อวัยวะสำคัญ’ ที่มันไม่สามารถสูญเสียได้ ซึ่งได้แก่ อุตสาหกรรมไฟฟ้า อุตสาหกรรมสื่อสาร อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ สื่อโฆษณา/การศึกษา และอุตสาหกรรมเทคโนชีวภาพ” เป้าหมายเหล่านี้ต่างหากที่สามารถ “เปลี่ยนผลลัพธ์ของการต่อสู้กับระบบได้จริง”

แฮ็กทิวิสม์ (Hacktivism): โลกออนไลน์เปลี่ยนโลกออฟไลน์ได้หรือไม่?

ปัญหาเดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นกับรูปแบบการเคลื่อนไหวทางการเมืองที่ไม่เป็นทางการอื่น ๆ เช่น “แฮ็กทิวิสม์” ซึ่งเป็นการแฮ็กในฐานะปฏิบัติการทางการเมือง และถูกมองว่าเป็นรูปแบบหนึ่งของการเคลื่อนไหวบนอินเทอร์เน็ตที่รุนแรงที่สุด

การเกิดขึ้นของกลุ่มแฮ็กเกอร์อย่าง Anonymous ได้เปลี่ยนฉากของการเคลื่อนไหวออนไลน์อย่างชัดเจน Anonymous มีส่วนร่วมในแคมเปญบนโลกออนไลน์มากมาย ตั้งแต่การโจมตีแก๊งค้ายาเสพติดในเม็กซิโก และเว็บไซต์ลามกอนาจารเด็ก ไปจนถึงการล่มเว็บไซต์ของบรรษัทการเงินระหว่างประเทศ รัฐบาล และหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายของสหรัฐฯ

ในปี 2012 นิตยสาร Time ของสหรัฐฯ ยกให้ Anonymous เป็นหนึ่งในกลุ่มที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก โดยรายงานของ NATO ระบุว่า Anonymous กลายเป็น “ผู้เล่นใหม่บนเวทีระหว่างประเทศ” ที่อาจมีศักยภาพในการเจาะระบบเครือข่ายของรัฐบาล และขโมยข้อมูลสำคัญ

อีกแหล่งข้อมูลระบุว่า แคมเปญ “Operation Payback” ของ Anonymous ในช่วงที่ Wikileaks เผชิญกับแรงกดดันจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในเดือนธันวาคม 2010 เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงด้านความมั่นคงทางไซเบอร์ในปี 2011

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ตามมาหลังจากนั้นคือ เว็บไซต์ของรัฐบาลและบรรษัทการเงินต่าง ๆ กลับมีความแข็งแกร่งขึ้น และต้านทานการโจมตีทางไซเบอร์ได้มากกว่าเดิม การโจมตีของ Anonymous ในเวลานั้นไม่สามารถทำให้เกิด “การเปลี่ยนแปลงนอกโลกออนไลน์” ที่เป็นรูปธรรมได้เช่นในกรณีของ Wikileaks เมื่อ PayPal, Mastercard และ Visa หยุดให้บริการเว็บไซต์ Wikileaks ทาง Anonymous ก็ประกาศจะตอบโต้ แต่ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ พวกเขาสามารถล่มแค่ “หน้าเว็บสาธารณะ” ของบริษัทเท่านั้น — โดยไม่สามารถแตะต้องระบบการเงินภายในได้เลย

สิ่งที่น่าสนใจก็คือ ฉากของแฮ็กทิวิสม์ และฉากของการเคลื่อนไหวทางการเมืองจริงๆ ดูเหมือนจะ “ตัดขาดจากกัน” โดยสิ้นเชิง ทำให้แฮ็กทิวิสม์ขาดพันธมิตรทางยุทธศาสตร์ในการใช้พลังของตนให้เกิดผล และขบวนการเคลื่อนไหวเองก็ขาดเครื่องมือทรงพลังที่สามารถสั่นคลอนอำนาจรัฐหรือบรรษัทได้ ผลที่ตามมาคือ แฮ็กทิวิสม์กลายเป็นฉากที่มีเสียงดังแต่ไม่เปลี่ยนโครงสร้าง

แม้กลุ่มแฮ็กเกอร์หลายกลุ่มจะสามารถทำให้รัฐบาลหรือบรรษัท “อับอาย” ได้บ้าง แต่พวกเขาก็ไม่สามารถ “เปลี่ยนเกม” ได้ เพราะกติกานั้นไม่สามารถถูกเปลี่ยนแปลงได้ด้วยโลกออนไลน์เพียงลำพัง

คำถามสำคัญคือเมื่อเว็บกลับมาออนไลน์ใน 2 วัน แล้วผลที่เกิดบนโลกจริงคืออะไร? หากไม่มีผลในโลกออฟไลน์ การโจมตีทางไซเบอร์นั้นมีคุณค่าอะไร? คำวิจารณ์ทั้งหมดเกี่ยวกับประสิทธิภาพของรูปแบบการเคลื่อนไหวต่างๆ — ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การทำลายทรัพย์สิน หรือแฮ็กทิวิสม์ — รวมถึงคำของ Greer, Shah, Jensen และ Kaczynski ล้วนสะท้อนแนวคิดว่า การกระทำเหล่านี้มักไม่มีจุดมุ่งหมายทางยุทธศาสตร์ที่ชัดเจน ปัญหาแท้จริงก็คือ การยึดติดกับรูปแบบการเคลื่อนไหวเพียง 3 ประเภทนี้ ไม่ได้มีรากฐานอยู่ที่ “เป้าหมายทางยุทธศาสตร์” แต่เป็นการแสดงออกของวัฒนธรรมการเมืองรุ่นมิลเลนเนียล ที่ผูกติดกับรูปแบบมากกว่าผลลัพธ์

เราต้องการ “ส่งเสียง” หรือ “ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงจริง”?

เมื่อ Occupy Wall Street ค่อยๆ จางหาย นักเคลื่อนไหว องค์กรและนักวิจารณ์รุ่นมิลเลนเนียลจำนวนมากก็ประกาศว่า ขบวนการนี้ได้บรรลุ “บางสิ่งที่สำคัญมาก” นั่นคือ การผลักดันประเด็นความเหลื่อมล้ำและความยุติธรรมทางสังคมให้เข้าสู่ศูนย์กลางของการถกเถียงสาธารณะ แนวโน้มนี้ การกล่าวว่า “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ของขบวนการประท้วง คือการทำให้ประเด็นหนึ่งกลายเป็นที่พูดถึงถูกใช้เพื่ออธิบายความล้มเหลวของการประท้วงบ่อยครั้ง

แต่ปัญหาที่แท้จริงคือนักเคลื่อนไหวและองค์กรรุ่นมิลเลนเนียลจำนวนมากไม่เพียงแค่ “เชื่อว่าเป้าหมายเล็กๆ แบบนี้คือความสำเร็จอันยิ่งใหญ่” แต่พวกเขายังมองว่า “การประท้วง” เอง คือการแสดงความห่วงใย ไม่ใช่เครื่องมือเพื่อสร้างผลลัพธ์ทางการเมืองที่แท้จริง

นักข่าวอังกฤษ Aditya Chakrabortty ได้ยกตัวอย่างชัดเจนเกี่ยวกับวิธีคิดเช่นนี้ และไปไกลกว่านั้นด้วยการพิจารณาว่า “แค่การมีอยู่ของขบวนการ Occupy เอง” ก็นับว่าเป็นความสำเร็จแล้ว

ในบทความเนื่องในวาระครบรอบหนึ่งปีของขบวนการ เขาแสดงความประหลาดใจที่ขบวนการซึ่งกำลังโรยแรงนี้สามารถถูกเปรียบเทียบกับขบวนการ Tea Party ได้ โดยเขาเขียนว่า “ด้านหนึ่งคือกลุ่มขวาจัดผู้มองโลกในแง่ร้ายที่ได้รับการสนับสนุนจากมหาเศรษฐี Koch Brothers และมีช่องทีวีของตัวเองอย่าง Fox แต่อีกด้านคือกลุ่มคนไร้ระเบียบ มีนักศึกษา คนว่างงาน และไม่กี่คนที่มีบัญชี Tumblr”

Chakrabortty ระบุว่า เมื่อดูจาก “น้ำหนักมวย” ที่ต่างกันมาก การที่ Occupy สามารถไปได้ไกลขนาดนี้ก็นับว่าน่าทึ่งแล้ว โดยเฉพาะการทำให้คำขวัญ “We are the 99%” กลายเป็นหนึ่งในสโลแกนที่ก้องที่สุดในประวัติศาสตร์การรณรงค์

แม้เขาจะไม่ได้อธิบายว่าทำไม “We are the 99%” ถึงก้องที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่ก็ยังพูดถึง “ความสำเร็จ” อื่น ๆ ของ Occupy เช่น การเปิดพื้นที่ในสวน Zuccotti ให้คนแปลกหน้าหลายร้อยคนได้แลกเปลี่ยนความคิดเห็นและถกเถียงประเด็นการเมือง ดังนั้น “ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ที่สุด” ของขบวนการที่เคยประกาศว่าจะเปลี่ยนอเมริกา จึงกลายเป็นแค่… “ทำให้คนไม่กี่ร้อยคนได้พูดคุยกันเรื่องการเมือง”?

Marina Sitrin ผู้เขียน Horizontalism: Voices of Popular Power in Argentina กล่าวชื่นชม Occupy ในลักษณะเดียวกัน เธอบอกว่า นักเคลื่อนไหวและผู้เข้าร่วมใน Occupy ทั้งในกรีซและสเปน เชื่อว่าพวกเขาประสบความสำเร็จแล้วในหลายด้าน เช่น เปลี่ยนแปลงวาทกรรมการเมืองทั้งระดับชาติและโลก เปลี่ยนแปลงชีวิตส่วนบุคคล ฟื้นพลังให้ขบวนการสังคมรากหญ้า และที่สำคัญที่สุด — ทำให้ผู้คน “รู้สึกได้” ว่าสังคมสามารถเปลี่ยนแปลงได้ และพวกเขาก็สามารถเป็นส่วนหนึ่งของการเปลี่ยนแปลงนั้น

ในมุมของ Sitrin “ความสำเร็จ” เหล่านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนนโยบาย หรือเปลี่ยนโครงสร้างของรัฐ เธอยังระบุด้วยว่า เป้าหมายของ Occupy ไม่ใช่ การสร้างพรรคหรือข้อเสนอทางการเมืองให้คนอื่นทำตาม แต่คือ “การสร้างพื้นที่สำหรับบทสนทนาที่ทุกคนสามารถมีส่วนร่วมได้ และสามารถกำหนดร่วมกันว่าอนาคตควรมีหน้าตาแบบใด” แม้จะมีการตั้ง “เวที” มากมายทั่วสหรัฐฯ กรีซ และสเปน สิ่งที่มุ่งหวังที่สุด คือการเปิดพื้นที่ให้ผู้คนได้พูดถึงข้อกังวลและความต้องการของตน

ความสับสนของขบวนการอย่าง Occupy ไม่หยุดแค่เรื่องเป้าหมาย Sitrin อธิบายว่า Occupy ไม่ต้องการอำนาจรัฐ และไม่ต้องการตั้งพรรค — พวกเขาเน้นการควบคุมชีวิตตนเอง และขยายพื้นที่ประชาธิปไตยในการดำรงชีวิต แต่ในย่อหน้าถัดมา เธอกลับพูดว่าขบวนการมี “ข้อเรียกร้อง” เช่น “อำนาจของบรรษัทต้องถูกจำกัด ต้องเข้าถึงการศึกษาได้มากขึ้น ยุติแผนรัดเข็มขัดทางเศรษฐกิจ และยุติสงคราม”

คำถามคือ “ถ้าขบวนการปฏิเสธการเมืองเชิงตัวแทน แล้วข้อเรียกร้องที่มุ่งสู่รัฐจะเป็นจริงได้อย่างไร?” คำตอบของคำถามนี้ มักไม่มีความชัดเจน สองกรณีตัวอย่างนี้ไม่ได้เป็นข้อยกเว้น แต่สะท้อนแนวโน้มในหมู่ขบวนการฝ่ายซ้าย เสรีนิยม และรุ่นมิลเลนเนียลทั่วโลก พวกเขามองว่า “การเปิดการสนทนา” คือความสำเร็จสูงสุดของขบวนการ — แม้ว่า “การสนทนา” ลักษณะนี้กำลังเกิดขึ้นอยู่แล้วในชุมชน โรงเรียน และโซเชียลมีเดียทั่วโลก

บรรดาผู้สนับสนุน “การทำลายทรัพย์สินแบบไม่มียุทธศาสตร์” (non-strategic vandalism) ก็มีแนวคิดแบบเดียวกันคือเป้าหมายไม่ใช่ผลลัพธ์ที่แท้จริง แต่เพื่อให้เกิดบทสนทนา

สำหรับองค์กรที่ไม่เชื่อว่าการทำลายทรัพย์สินควรเป็นยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลง สิ่งนี้ไม่ใช่ยุทธวิธีเพื่อ “เปลี่ยนระบบ” แต่เป็น “การแสดงออกทางวัฒนธรรม” — คล้ายกับพิธีกรรมของการต่อต้าน ACME Collective ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการประท้วงในซีแอตเทิลปี 1999 เคยอธิบาย “การทำลายทรัพย์สิน” ว่ามันเป็นการแสดงออกทางวัฒนธรรม มากกว่าจะเป็นกลยุทธ์การต่อสู้ที่แท้จริง

กลุ่ม ACME อธิบายว่า “เมื่อเราทุบกระจกหน้าต่าง เราต้องการทำลายเปลือกบาง ๆ แห่งความชอบธรรมที่ล้อมรอบทรัพย์สินส่วนบุคคล…กระจกที่แตกสามารถเปลี่ยนใหม่ได้ แต่การทำลายสมมติฐานทางสังคมอาจคงอยู่ไปอีกนาน”

อีกตัวอย่างหนึ่งคือเหตุการณ์ประชุม G20 ที่โตรอนโตในปี 2010 ซึ่งเกิดการทำลายทรัพย์สินครั้งใหญ่และมีผู้ถูกจับกุมหลายร้อยราย

หนึ่งเดือนก่อนหน้านั้น กลุ่มอนาธิปไตยชื่อ Southern Ontario Anarchist Resistance (SOAR) ได้ประกาศแผนการจัด “การประท้วงอย่างแข็งกร้าว” พร้อมแถลงว่า “การกระทำของเราจะต้องแข็งกร้าวและเผชิญหน้าโดยตรง” เป้าหมายที่ SOAR ระบุไว้ไม่ใช่ชัยชนะทางยุทธศาสตร์ แต่คือ “ชัยชนะทางวัฒนธรรมและจิตวิทยา” เพื่อ “ทำให้ชนชั้นนำของโตรอนโตอับอายและไม่กล้าให้ G20 เข้ามาอีก”

Alex Hundert หนึ่งในผู้จัดงาน อธิบายเพิ่มเติมว่า การกระทำเหล่านี้คือ “ลูกตุ้มเหล็ก” ที่ช่วยเปิดทางให้กลุ่มเคลื่อนไหวอื่น ๆ เข้ามาแสดงจุดยืนของตน ตัวอย่างเช่น การทุบกระจกของห้าง Hudson’s Bay “เปิดพื้นที่ให้ชาวแคนาดาได้พูดถึงประวัติศาสตร์การล่าอาณานิคมของ HBC”

“ช็อกทางวัฒนธรรม” และ “การทำลายสมมติฐานเดิม ๆ” ก็คือเป้าหมายหลักของการทำลายทรัพย์สินในมุมมองของ John Zerzan นักปรัชญาผู้มีบทบาทสำคัญต่อขบวนการอนาโคร-พรีมิทิวิสต์ และเป็นหนึ่งในผู้มีอิทธิพลต่อการประท้วง WTO ที่ซีแอตเทิลในปี 1999

Zerzan กล่าวว่า กระจกที่แตก “คือสัญญาณไฟไหม้” ที่เตือนให้สังคมหันมาใส่ใจสิ่งที่นักเคลื่อนไหวเห็นว่าเป็นวิกฤตทางเศรษฐกิจ สังคม และระบบนิเวศ “จากนั้นคุณจะมีโอกาสได้อธิบายว่าเกิดอะไรขึ้น และสื่อก็จะต้องหันมาให้ความสนใจมากขึ้น เพราะคนอยากรู้”

การเปิดบทสนทนาเป็นเรื่องสำคัญ — ดีกว่าสโลแกนบางอย่างของกลุ่ม Anonymous รุ่นลูกอย่าง “LulzSec” ที่พูดว่า “เราทำไปเพื่อความขำ (‘for the lulz’)” แต่ปัญหาคือ “ทำไปเพื่อขำ” ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรทางระบบนิเวศ เศรษฐกิจ สังคม หรือการเมืองได้เลย

ไม่ว่าจะเป็นการแฮ็ก หรือการทำลายทรัพย์สิน — ถ้าไม่มีเป้าหมายทางยุทธศาสตร์ ก็ไม่ได้ต่างจากการจุดประเด็นสนทนาเล็ก ๆ ซึ่งหลายสังคมก็กำลังพูดกันอยู่แล้ว คำถามสำคัญคือ ทำไมคลังเครื่องมือทางการเมืองของเรา ถึงถูกลดทอนให้เหลือแค่ “เปล่งเสียง” หรือ “เปิดบทสนทนา”? อะไรเกิดขึ้นกับขบวนการที่เคยต้องการสร้างการเปลี่ยนแปลงแท้จริง? ทำไมมาตรฐานของเราถึงตกต่ำลงขนาดนี้?

เราอาจไม่มีคำตอบที่น่าพอใจนัก แต่เราสามารถลองวิเคราะห์ได้ เมื่อการเคลื่อนไหวจำกัดตัวเองอยู่แค่การ “เปล่งเสียง” — นั่นแปลว่าพวกเขาคาดหวังให้ “ใครบางคนที่มีอำนาจ” ได้ยินและเปลี่ยนแปลงแทนพวกเขา นั่นคือพวกเขาไม่ได้เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงมาจากตัวเอง แต่หวังให้ผู้นำหรือรัฐเป็นผู้เปลี่ยน

แนวทางการต่อสู้ในปัจจุบัน — ไม่ว่าจะเป็นการประท้วง การทำลายทรัพย์สิน หรือการแฮ็ก — ล้วนตั้งอยู่บน “การเรียกร้อง” จากอำนาจเบื้องบน โดยไม่ได้ลงมือเปลี่ยนแปลงด้วยตนเอง ในแก่นของขบวนการเคลื่อนไหวมิลเลนเนียล คือการเมืองแบบผู้ใต้บังคับบัญชา (subject-politics) ที่ตั้งอยู่บนการวิงวอนต่อพรรค หรือรัฐที่ไม่อาจฟังได้ นี่คือแนวคิดที่ไม่อาจเปลี่ยนแปลงอะไรได้จริง เพราะมันไม่เคยหลุดพ้นจาก “จิตสำนึกแบบทาส”

ตัวอย่างเช่น ขบวนการต่อสู้โลกร้อนอ้างว่า “หากเราสามารถทำให้ขบวนการรากหญ้าเรียกร้องให้ผู้นำของเรารับผิดชอบต่อความยุติธรรมด้านวิทยาศาสตร์และจริยธรรม เราก็จะสามารถหาทางแก้ไขเพื่ออนาคตที่ยั่งยืนของทุกคนได้!”

จริงหรือ?

ในบทสรรเสริญต่อขบวนการ “Idle No More” ในแคนาดา นักเขียนและนักเคลื่อนไหว Jacob Devaney ซึ่งเป็นผู้ก่อตั้ง Culture Collective กล่าวว่า เขาเชื่อว่าจะเกิด “ขบวนการซูเปอร์โกลบอล” ที่อิงกับแนวคิดทางจิตวิญญาณ ซึ่งจะทำให้ผู้นำการเมืองปัจจุบันต้อง “มองเห็นความจริง” ไม่ว่าจะเป็นการแฉคอร์รัปชันของ Anonymous, การเต้นรำของชาวพื้นเมือง, หรือการพูดปราศรัยในห้าง เขากล่าวว่า: “ผู้คนกำลังตื่นขึ้น พูดออกมา และลงมือทำเพื่อการเปลี่ยนแปลง ถึงเวลาแล้วที่นักการเมืองและผู้นำศาสนาจะต้องฟังเสียงเหล่านี้เสียที”

ในช่วงเวลานี้ของระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม รูปแบบการปกครองทางการเมืองส่วนใหญ่ของโลกได้กลายเป็นสิ่งล้าสมัย ไร้ประสิทธิภาพ และในบางครั้งก็เป็นเพียงของตกแต่งเพื่อความสวยงามของประเทศเท่านั้น ขนาดของวิกฤตการณ์และระดับขั้นของความล่มสลายที่ก้าวหน้าขึ้นในอารยธรรมของเรา หมายความว่า แม้ข้อเรียกร้องทางการเมืองจะประสบความสำเร็จในการผลักดันนโยบายใหม่ๆ ก็ยังไม่เพียงพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ที่เป็นอยู่

หนทางเดียวที่จะก้าวต่อไปข้างหน้าได้ คือการสร้างชุมชนที่ยืดหยุ่นและอยู่ร่วมกับโลกอย่างกลมกลืน โดยไม่ผลาญพลังของเราไปกับเครื่องจักรของรัฐที่ตายไปแล้ว เว้นแต่ว่ารัฐนั้นจะขวางทางเราโดยตรง

ลักษณะทั่วไปอีกประการหนึ่งของ “คลังเครื่องมือทางการเมืองที่ผอมแห้งแรงน้อย” คือ มันสะท้อนถึงวัฒนธรรมของเราที่เสพติดการแก้ปัญหาแบบฉับไว เราคิดว่า การเปลี่ยนแปลงสถานการณ์เกิดขึ้นได้เพียงจากการประท้วงไม่กี่สัปดาห์ (เช่น Occupy Wall Street), การทุบทำลาย, หรือคลื่นของการแฮ็กเว็บไซต์บริษัท แต่ความจริงก็คือ ไม่มีทางลัดใดที่จะแก้ปัญหาของเราได้อย่างรวดเร็ว ไม่ว่าจะตอนนี้หรือเมื่อไรก็แล้วแต่

ไม่มีการกระทำใดที่สามารถแก้ทุกอย่างได้ในพริบตา — มีแต่การแก้ปัญหาที่ยากลำบากและในบางกรณีก็อาจไม่มีทางแก้เลยด้วยซ้ำ เราไม่สามารถเดินผ่านช่วงเวลาการเปลี่ยนแปลงที่เจ็บปวดของหลายปีข้างหน้า ด้วย “คลังเครื่องมือทางการเมืองที่ผอมแห้งแรงน้อย” ซึ่งมีเป้าหมายแค่เพียงการส่งเสียงดัง เราต้องการ “ส่งเสียง” น้อยลง และ “การลงมือทำจริง” ให้มากขึ้น