ลัทธิบูชาอินเทอร์เน็ต (The Internet Centrism)

แปลเรียบเรียงจาก The Millennium Curse: Why Activism is Failing https://www.amazon.com/stores/Tony-Saghbiny/author/B00D1RCX68?ref=ap_rdr&isDramIntegrated=true&shoppingPortalEnabled=true

ปัจจุบันอินเทอร์เน็ตได้กลายเป็นส่วนสำคัญของการเคลื่อนไหวทางสังคม สำหรับคนรุ่นดิจิทัล มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่จะจินตนาการว่า “แอคทิวิสม์” จะหน้าตาเป็นอย่างไรถ้าหากไม่มีอินเทอร์เน็ต อินเทอร์เน็ตทำให้บุคคลและเครือข่ายต่างๆ สามารถสื่อสาร แลกเปลี่ยนความคิด รวบรวมความรู้ และสร้างเครือข่ายเคลื่อนไหวได้เกือบไม่มีต้นทุนเลย — สิ่งที่ในอดีตอาจต้องใช้เวทมนตร์จึงจะเกิดขึ้นได้ในขบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคม

รัฐบาลทั่วโลกต่างพยายามควบคุมมัน หนังสือมากมายได้เขียนถึงวิธีที่อินเทอร์เน็ตให้อำนาจกับพลเมืองธรรมดา แม้แต่หน่วยข่าวกรองยังยอมรับผลกระทบที่มหาศาลต่อขบวนการเคลื่อนไหว เช่น หน่วยข่าวกรองของแคนาดาระบุว่าอินเทอร์เน็ต “ช่วยให้สามารถสื่อสารและประสานงานโดยไม่ต้องพึ่งศูนย์บัญชาการกลาง และอำนวยการเคลื่อนไหวอย่างเป็นระบบได้โดยใช้ทรัพยากรและระบบราชการน้อยมาก”

ตามที่นักสังคมวิทยาชาวสเปน มานูเอล กัสเตลส์ (Manuel Castells) ระบุ อินเทอร์เน็ตคือหัวใจของนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ เพราะมันเป็นทั้งเวทีถกเถียง เครื่องมือโน้มน้าวจิตใจของผู้คน และกลายเป็น “อาวุธทางการเมือง” ที่ทรงพลังที่สุด

จากงานวิจัยของ Michelle O’Brien เกี่ยวกับขบวนการ Occupy Wall Street เธอระบุว่า “OWS ใช้อินเทอร์เน็ตเป็นเครื่องมือเข้าถึงและระดมพลังในหลากหลายรูปแบบ เช่น การเผยแพร่แถลงการณ์ หลักการ และกรอบการเคลื่อนไหว การสร้างเครือข่ายผ่านกลุ่มออนไลน์หลากหลาย เช่น Think-tank, กลุ่มกฎหมาย, กลุ่มสื่ออาสา การเผยแพร่คู่มือและเครื่องมือออนไลน์และการประสานการเคลื่อนไหวในโลกจริง เช่น การยืน การเดินขบวน และกิจกรรมรณรงค์ต่างๆ”

O’Brien สรุปว่าอินเทอร์เน็ตได้สร้างยุคใหม่ของแอคทิวิสม์ขึ้นมาอย่างแท้จริง “ผ่านการสังเกตการเติบโตของขบวนการเช่น OWS เราอาจกล่าวได้ว่าเรากำลังเข้าสู่ยุคใหม่ของการเคลื่อนไหวที่เกิดจากโครงสร้างเครือข่าย” O’Brien ชี้ถูกต้องว่า อินเทอร์เน็ตเปิดประตูสู่รูปแบบใหม่ของแอคทิวิสม์ แต่คำถามคือ แอคทิวิสม์แบบใหม่นี้ “ดีกว่า” หรือ “แย่กว่า” กันแน่?

สำหรับองค์กรและนักเคลื่อนไหวมิลเลนเนียลจำนวนมาก พวกเขายอมรับสิ่งนี้โดยไม่วิจารณ์ แม้พวกเขาจะเข้าถึงเทคโนโลยีที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ พวกเขากลับล้มเหลวในการบรรลุเป้าหมาย ในทางตรงกันข้าม ขบวนการเคลื่อนไหวทางการเมือง สังคม และการต่อต้านจำนวนมากในอดีตที่เกิดขึ้นก่อนยุคอินเทอร์เน็ตกลับประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม

หลายความสำเร็จที่มักถูกชื่นชมในยุคอินเทอร์เน็ต ความจริงแล้ว เกิดขึ้นก่อนที่จะมีอินเทอร์เน็ตเสียอีก ลัทธิบูชาอินเทอร์เน็ต (Internet-centrism) ได้เปลี่ยนแอคทิวิสม์ให้กลายเป็นการแข่งขันเรื่องการมองเห็นบนโลกออนไลน์ ผลคือ ผลกระทบในโลกจริงลดลงอย่างมาก

การที่อินเทอร์เน็ตกลายเป็นศูนย์กลางของการเคลื่อนไหวทางสังคมในหมู่นักเคลื่อนไหวมิลเลนเนียล — คือลักษณะสำคัญของ “คำสาปแห่งสหัสวรรษ” (Millennial Curse)

ในหนังสือ The Net Delusion (2011) โดย Evgeny Morozov เขาได้อธิบายว่า Internet Centrism คืออุดมการณ์หนึ่ง ที่กำหนดวิธีคิดเกี่ยวกับนโยบายและยุทธศาสตร์ของตะวันตก โดยเฉพาะในเรื่องการส่งเสริมประชาธิปไตยในโลกที่สาม แนวคิดนี้เสริมแรงด้วย “ยูโทเปียอินเทอร์เน็ต” (Cyber-Utopianism) — ความเชื่อสุดโต่งว่าอินเทอร์เน็ตคือเครื่องมือที่ปลดปล่อยเสรีภาพและประชาธิปไตย แต่ Morozov ชี้ว่า ลัทธิ Internet Centrism นั้นกำลังระบาดในแวดวงนโยบายตะวันตก โดยเฉพาะในยุโรปตะวันตกและเมดิเตอร์เรเนียนและไม่ต่างอะไรกับแนวคิดหลักของนักเคลื่อนไหวรุ่นใหม่ทั่วโลกในปัจจุบัน

ในถ้อยคำของ Morozov “Internet-centrism เปรียบเหมือนยาเสพติดที่ทำให้สับสน — มันทำให้นักกำหนดนโยบายเข้าใจผิดว่าอินเทอร์เน็ตมีอำนาจและประโยชน์ในตัวมันเอง เมื่อนำไปสุดขั้ว มันก่อให้เกิดความหลงตัวเอง ความหยิ่งยโส และความมั่นใจจอมปลอม โดยทั้งหมดนี้ถูกหนุนเสริมด้วยภาพลวงของ ‘เสรีภาพที่มาพร้อมอินเทอร์เน็ตมา

หากเราขยายคำจำกัดความนี้ออกไป ก็สามารถใช้คำว่า “ลัทธิบูชาอินเทอร์เน็ต” (Internet-centrism) เพื่ออธิบายลักษณะของแวดวงนักเคลื่อนไหวรุ่นมิลเลนเนียลจำนวนมากได้อย่างชัดเจน Internet-centrism คือการคิด วางแผน และลงมือทำ โดยอยู่ในบริบทของอินเทอร์เน็ตแทนที่จะเป็นความเป็นจริงของโลกภายนอก

ภายใต้อิทธิพลของลัทธิบูชาอินเทอร์เน็ต กลยุทธ์และการกระทำต่าง ๆ ถูกกำหนดโดยอินเทอร์เน็ตมากเสียจน “งานเคลื่อนไหวทางการเมืองระยะยาวที่ไม่สามารถเป็นวิดีโอบน YouTube หรือโพสต์บน Facebook ได้มักถูกตัดออกจากแผนงานของนักเคลื่อนไหวและองค์กรไปโดยสิ้นเชิง” สิ่งที่ถูกให้ความสำคัญคืออินเทอร์เน็ตและ “ยอดวิว” หรือ “ภาพลักษณ์” ที่มันมอบให้ มากกว่าสภาพแวดล้อมหรือประสิทธิภาพที่แท้จริงของการกระทำนั้น

แม้ว่า “อินเทอร์เน็ตไม่ได้ให้ความแน่นอนใด ๆ” และ “ให้อำนาจกับผู้แข็งแกร่ง แต่ทำให้ผู้เปราะบางอ่อนแรง” แต่องค์กรนักเคลื่อนไหวหลายแห่งกลับใช้มันราวกับเป็น “บัตรผ่านอัตโนมัติ” สู่การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง โดยไม่ตั้งคำถามว่ามันส่งผลลบหรือไม่

แนวโน้มนี้นำไปสู่การใช้เครื่องมืออินเทอร์เน็ตแบบไร้การวิจารณ์ และสร้างผลกระทบทางลบต่อประสิทธิภาพของขบวนการเคลื่อนไหว ซึ่งรวมถึงการส่งเสริมแอคทิวิสม์แบบปัจเจก มากกว่าการทำงานร่วมกัน Hyper-individuality (ความเป็นปัจเจกสุดโต่ง) คือสัญลักษณ์ของยุคนี้ และอินเทอร์เน็ตก็ถูกออกแบบมาเพื่อสนับสนุนสิ่งนี้โดยแลกกับการบั่นทอนพลังของการรวมหมู่

โซเชียลมีเดียโดยธรรมชาติถูกออกแบบมาเพื่อเสริมความรู้สึกพิเศษและการยอมรับในระดับบุคคล ไม่ใช่ในฐานะขบวนการร่วม กล่าวได้ว่า อินเทอร์เน็ตส่งเสริมให้เกิด “การสร้างอัตลักษณ์ของฉัน” แทนที่จะสร้าง “องค์กรที่มีประสิทธิภาพ”

การทำให้พฤติกรรม “เลียนแบบมวลชน” กลายเป็นเรื่องปกติ : แม้ฟังดูขัดแย้งกับแนวคิดเรื่อง “ปัจเจกภาพ” แต่มันมีรากมาจากที่เดียวกัน — นั่นคือโครงสร้างของอินเทอร์เน็ต ในโลกโซเชียล ปัจเจกภาพนั้นเป็นสิ่งจำลองมากกว่าจะเป็นอิสระจริง เพราะต้องถูกบีบให้อยู่ในขอบเขตมาตรฐานของ “ตัวตนที่ได้รับการยอมรับ” ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเคลื่อนไหว ศิลปิน ผู้เล่น นักวิเคราะห์ หรือคนประเภทไหนก็ตาม คุณจะต้องปรับการพูด การใช้คำ หรือแม้แต่ “ภาพโปรไฟล์” ให้เข้ากับภาพจำที่ชุมชนออนไลน์ยอมรับ เราจึงเรียกยุคนี้ว่า “คำสาปแห่งสหัสวรรษ”

ในทางผิวเผิน โลกออนไลน์ดูเหมือนมีความหลากหลาย แต่ในระดับลึก มันคือกระบวนการทำให้ทุกอย่าง “เหมือนกัน” — ทั้งวิธีคิด ภาษา และมุมมอง เมื่อมีใครแสดงความคิดเห็นที่ต่างไป เช่น ในกรณีการลุกฮือของโลกอาหรับปี 2011 นักเคลื่อนไหวที่ตั้งคำถามมักถูกบูลลี่ ถูกกดดัน ถูกทำให้เงียบ หรือโดนคัดออกจากกลุ่มโดยสิ้นเชิง

การเสริมสร้างช่องว่างทางวัฒนธรรมการเมืองอย่างรุนแรง : เดิมทีมีความหวังว่าอินเทอร์เน็ตจะยกระดับวัฒนธรรมการเมืองให้ดีขึ้น แต่ในความเป็นจริงกลับตรงข้าม — โดยเฉพาะในรุ่นนักเคลื่อนไหวดิจิทัล ในยุคของโซเชียลมีเดีย ข้อมูลข่าวสารถูกเร่งให้เร็วขึ้น คนพูดเรื่อง “ตัวเอง” มากขึ้น มีน้อยคนที่จะอ่านหนังสือ หรือศึกษาประวัติศาสตร์และโครงสร้างทางการเมืองอย่างจริงจัง

กระบวนการสำคัญของการสร้างวัฒนธรรมทางการเมือง เช่น การเข้าใจบริบท ประวัติศาสตร์ แนวคิด และการเปลี่ยนแปลงถูกแทนที่ด้วยกระแสข้อมูล “ชิ้นเล็ก ๆ” เช่น สถานะข่าว วิดีโอสั้น และข่าวด่วนที่ไร้บริบท ผลที่ตามมาคือ ขบวนการเคลื่อนไหวในปัจจุบันมักไม่มีความต่อเนื่องกับประสบการณ์ในอดีตทำให้ผิดพลาดซ้ำเดิมโดยไม่รู้ตัว เพราะขาดทั้งความรู้ และการคิดเชิงประวัติศาสตร์ ความท่วมท้นของข้อมูลจำนวนมาก และความหลากหลายที่ดูเหมือนไม่มีที่สิ้นสุดกลับทำให้ “ความเข้าใจทางการเมืองที่เป็นระบบ” หายไปจากฉากการเคลื่อนไหวร่วมสมัย

ปรากฏการณ์ Internet-centrism ยังนำไปสู่ปัญหาอื่น ๆ อีกหลายประการ ได้แก่:

ปรากฏการณ์การกระจัดกระจาย (Fragmentation phenomenon): เราหมายถึงการกระจัดกระจายของความพยายาม ทรัพยากร ความคิดเห็นสาธารณะ และประเด็นที่เคลื่อนไหว แม้ไม่ใช่ความผิดของอินเทอร์เน็ตโดยตรง แต่มันเป็นส่วนประกอบสำคัญของปัญหานี้ โซเชียลมีเดียทำให้ใคร ๆ ก็สามารถสร้างเพจ ประกาศกิจกรรม หรือขับเคลื่อนประเด็นของตนเองได้ง่ายดาย จึงเกิดกลุ่ม องค์กร และความริเริ่มจำนวนมหาศาล — บางครั้งก็เกิดขึ้นแค่จากคนสองคน แทนที่จะมีขบวนการเคลื่อนไหวที่แข็งแรง มีเป้าหมายชัดเจนและมียุทธศาสตร์ เรากลับมีเพจเล็ก ๆ หลายพันเพจ ที่แข่งขันกันเพื่อแย่งชิง “พื้นที่มองเห็นได้” ทั้งออนไลน์และออฟไลน์ โดยไม่คำนึงถึงเป้าหมายร่วมกัน

การแข่งขันด้านการมองเห็น (Visibility competition): นี่คือหนึ่งในผลกระทบที่ร้ายแรงที่สุดของโซเชียลมีเดียต่อกลยุทธ์การเคลื่อนไหวของนักเคลื่อนไหวรุ่นมิลเลนเนียล แทนที่จะมุ่งเน้นการทำงานระยะยาวในโลกจริง องค์กรจำนวนมากกลับหมกมุ่นกับ “การมองเห็น” และ “สถานะออนไลน์” ราวกับว่าเพียงแค่มีเพจก็ถือว่าได้ทำงานแล้ว ผลก็คือ มีการแทนที่การวางแผนระยะยาวด้วยกิจกรรมระยะสั้นที่ให้ผลจริงน้อย แต่ “มีคนเห็นเยอะ” แม้แต่คำว่า “แอคทิวิสต์” ก็ถูกลดความหมายลงเหลือแค่ “คนที่จัดกิจกรรมอะไรบางอย่างให้คนเห็น”

ใครที่ทำงานเบื้องหลังโดยไม่มีโปรไฟล์ออนไลน์เด่น ๆ ก็จะไม่ถูกนับว่าเป็นส่วนหนึ่งของชุมชนนักเคลื่อนไหว การแสวงหาการมองเห็นตลอดเวลา ยังทำให้นักเคลื่อนไหวจำนวนมากไม่มีเวลาทำงานเชิงกลยุทธ์อย่างแท้จริง และทำให้รัฐสามารถติดตามและจัดการกับนักเคลื่อนไหวได้ง่ายขึ้น Morozov ยกตัวอย่างการลุกฮือในอิหร่านปี 2009 ซึ่งเจ้าหน้าที่ความมั่นคงสามารถใช้โซเชียลมีเดียเก็บข่าวกรองจากนักเคลื่อนไหวได้อย่างแม่นยำ

แอคทิวิสต์สายขี้เกียจ (Slacktivism): หรือที่เรียกว่า “ขี้เกียจแบบนักเคลื่อนไหว” — คือการทำกิจกรรมออนไลน์เล็กน้อย เช่น กดไลก์ แชร์ หรือโพสต์ แทนการลงมือทำจริง แต่กลับสร้างภาพให้ดูเหมือนกำลังต่อสู้เพื่อความยุติธรรม Malcolm Gladwell เรียกสิ่งนี้ว่า “แอคทิวิสต์แบบโซฟา” (armchair activism) — คือการที่อินเทอร์เน็ตทำให้การแสดงออกง่ายขึ้น แต่การแสดงออกนั้นแทบไม่มีพลังเปลี่ยนแปลงอะไรเลย

ปัจจุบัน Slacktivism แพร่หลายอย่างมาก — องค์กรอาจมีผู้ยืนยันเข้าร่วมกิจกรรม 10,000 คนใน Facebook แต่ในวันที่จัดกิจกรรมจริง อาจมีคนมาร่วมเพียง 400 คนเท่านั้น

ความสับสนระหว่างออนไลน์กับออฟไลน์ (Confusion of online and offline roles):

ช่วงการลุกฮือและปฏิวัติในยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง ตั้งแต่ปี 2005 ถึง 2011 บล็อกเกอร์ ทวิตเตอร์ และแอดมินเพจ Facebook มักกลายเป็นคนที่ได้รับความสนใจจากสื่อตะวันตกแม้ว่าคนที่ลงมือจัดการเคลื่อนไหวจริง ๆ จะเป็นอีกกลุ่มหนึ่งก็ตาม ผลคือ บทบาทการเป็นผู้นำในโลกจริงถูกยึดโดยคนที่ “ออนไลน์เก่ง” มากกว่าคนที่มีทักษะในการเคลื่อนไหวจริงซึ่งในหลายกรณีได้ส่งผลเสียต่อพลังชีวิตของขบวนการอย่างชัดเจน ทักษะและวัฒนธรรมของผู้นำออนไลน์นั้นแตกต่างจากผู้นำภาคสนามอย่างสิ้นเชิง แม้แต่การเป็น “นักเคลื่อนไหวธรรมดา” ก็แทบเป็นไปไม่ได้เลย หากคุณจำกัดตัวเองไว้ในโลกออนไลน์ 24 ชั่วโมง

การมีนักเคลื่อนไหวสายออนไลน์เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ขณะที่ผู้นำภาคสนามลดลงยิ่งทำให้ทุกลักษณะปัญหาที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ (การขาดวัฒนธรรมการเมือง การกระจายตัว การแข่งกันเพื่อมองเห็น)รุนแรงขึ้นกว่าเดิม

โดยรวมแล้ว ลัทธิบูชาอินเทอร์เน็ต (Internet Centrism) ได้ส่งผลกระทบในทางลบอย่างมากต่อขบวนการเปลี่ยนแปลงทางสังคมจนถึงตอนนี้ มันได้เปลี่ยนวิธีที่เราทำงานเคลื่อนไหว จากที่เคยมุ่งเน้นการทำงานระยะยาวในพื้นที่จริงกลายเป็นการมุ่งเน้นกิจกรรมระยะสั้น แอคทิวิสต์สายขี้เกียจ (slacktivism) และการมองเห็นในโลกออนไลน์

อาจฟังดูไร้เดียงสาหากจะพูดว่า “แค่มีรูปโปรไฟล์เท่ ๆ บน Facebook ไม่เพียงพอที่จะเปลี่ยนสังคมได้” แต่น่าเศร้าที่คนรุ่นดิจิทัลจำนวนมากในปัจจุบัน อาจรู้สึกแปลกใจกับคำกล่าวสุดท้ายนี้