ปัญหาของแอคทิวิสต์มืออาชีพ (The Problem of Professional Activism)

แปลเรียบเรียงจาก The Millennium Curse: Why Activism is Failing https://www.amazon.com/stores/Tony-Saghbiny/author/B00D1RCX68?ref=ap_rdr&isDramIntegrated=true&shoppingPortalEnabled=true

สื่อใหม่มีส่วนในการก่อให้เกิดรูปแบบใหม่ของแอคทิวิสต์ และได้เปลี่ยนทั้งโครงสร้างขององค์กรจำนวนมาก และคำจำกัดความของคำว่า “นักเคลื่อนไหว” ไปโดยสิ้นเชิง

รูปแบบใหม่นี้เรียกว่า “แอคทิวิสต์มืออาชีพ” (Professional Activism) คือการเคลื่อนไหวโดยผู้ที่นิยามตนเองว่าเป็นแอคทิวิสต์ ทำงานผ่านเครือข่ายที่หลวมๆ อาศัยอยู่ในเมืองใหญ่ระดับกลางและส่วนใหญ่มักทำกิจกรรมที่ความเสี่ยงต่ำและไม่ได้ผล

สำหรับแอคทิวิสต์มืออาชีพ การเคลื่อนไหวคือ “อัตลักษณ์” คือ “บทบาททางสังคม” หรือแม้แต่ “อาชีพ” และบ่อยครั้ง ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสิ่งที่พวกเขาเชื่อจริง ๆ หรือเป้าหมายที่พวกเขาเคยอุทิศตัวเพื่อมันเลย

ในบทความยาวชื่อ Give Up Activism: A Critique of the Activist Mentality in the Direct Action Movement โดย Andrew X วิเคราะห์ความคิดของแอคทิวิสต์ในเชิงลึกว่า “แอคทิวิสต์ยึดติดกับสิ่งที่พวกเขาทำราวกับว่าเป็นหน้าที่หรืออาชีพในชีวิต พวกเขาเป็นผู้เชี่ยวชาญในการเปลี่ยนแปลงสังคมและคิดว่าคนอื่นไม่ได้ทำอะไรเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง จึงรู้สึกว่าต้องทำแทนเพื่อชดเชยการไม่ลงมือของคนอื่น”

ผลก็คือ แอคทิวิสต์มองว่าตัวเองเป็นคนเดียวที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเพิกเฉยต่อความพยายามของผู้คนอีกนับหมื่นนับแสน พวกเขาคิดว่า เฉพาะแอคทิวิสต์เท่านั้นที่ทำให้สังคมเปลี่ยนได้ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดอย่างลึกซึ้ง

แอคทิวิสต์มืออาชีพมักไม่มี “ประเด็นหลัก” ที่นำการตัดสินใจของตนเองจึงทำให้พวกเขาทำงานเพื่อทุกประเด็น โดยไม่ผูกพันจริงกับประเด็นใดเลย สัปดาห์หนึ่งอาจเต็มไปด้วยกิจกรรมหลากหลาย เช่น วันจันทร์ทำงานเรื่องสิทธิของผู้หญิง วันอังคารประท้วงบริษัทข้ามชาติ วันพุธคัดค้านการเยือนของสมเด็จพระสันตะปาปา วันพฤหัสฯ เขียนบล็อกเรื่องสิ่งแวดล้อม พวกเขามักดูแคลนคนที่ทุ่มเทให้กับประเด็นเดียว และถือว่าการเคลื่อนไหวแบบ “รอบด้าน” ของตัวเองเป็นระดับสูงกว่า

นักเขียนชาวเลบานอน Hani Naim ได้บรรยายฉากการเคลื่อนไหวในกรุงเบรุต ซึ่งสะท้อนภาพทั่วโลกว่า “มีสภาวะของการขาดโฟกัสโดยสิ้นเชิง ทุกวันมีประเด็นใหม่ ๆ ปรากฏขึ้นผ่านโซเชียลมีเดียนับพัน ตั้งแต่ปกป้องพื้นที่สาธารณะ ไปจนถึงการสนับสนุนขบวนการระดับโลกหรือเรียกร้องให้หยุดสงคราม ปกป้องสิทธิ์แรงงาน ต่อต้านมลพิษ ฯลฯ” มีเพียงไม่กี่คนที่สามารถตามทุกประเด็นได้จริง หากพวกเขาต้องการ “สร้างการเปลี่ยนแปลง” อย่างแท้จริง อย่างไรก็ตาม แอคทิวิสต์มืออาชีพจำนวนมาก อาจไม่ได้สนใจการเปลี่ยนแปลงจริง

Andrew X กล่าวอีกว่า “พฤติกรรมปฏิวัติของแอคทิวิสต์มืออาชีพมักเป็นวงจรอันน่าเบื่อเป็นการทำซ้ำกิจกรรมเล็ก ๆ ที่ไม่มีศักยภาพในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างใด ๆ แอคทิวิสต์เหล่านี้อาจต่อต้านความเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง เพราะมันจะทำลาย ‘บทบาท’ ที่พวกเขาสร้างไว้ให้ตัวเอง” เขาเปรียบเทียบว่า เช่นเดียวกับผู้นำสหภาพแรงงาน ที่อาจต่อต้านความสำเร็จของแรงงานเพราะหากแรงงานประสบความสำเร็จจริง พวกเขาอาจไม่มีบทบาทอีกต่อไป

ดังนั้น แอคทิวิสต์มืออาชีพบางคนอาจ “ต่อต้านการปฏิวัติที่แท้จริง” โดยไม่รู้ตัวเพราะการเปลี่ยนแปลงนั้นอาจทำให้พวกเขา “ตกงาน” ในฐานะแอคทิวิสต์

นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมแอคทิวิสต์มักไม่ถอยกลับมาทบทวนและประเมินกลยุทธ์ของตนเอง พวกเขาแค่ “ทำแอคทิวิสต์” อยู่ตลอดเวลา

ในหนังสือ Give up Activism ระบุว่า “การเป็นนักปฏิวัติ อาจหมายถึงการรู้ว่าเมื่อไรควรหยุดและรอ ควรรู้ว่าเมื่อไรควร ‘ลงมือ’ เพื่อให้เกิดผลสูงสุด และเมื่อไรไม่ควรลงมือ ทัศนคติแบบ ‘เราต้องทำอะไรสักอย่างเดี๋ยวนี้!’ มักถูกผลักดันด้วยความรู้สึกผิด — แต่มันไร้กลยุทธ์อย่างสิ้นเชิง”

ในรูปแบบปัจจุบัน การเป็นแอคทิวิสต์มืออาชีพคือการแสดงตัวตน ไม่ใช่หนทางเพื่อชนะการต่อสู้คล้ายกับอาชีพเฉพาะทางอื่น ๆ นักเคลื่อนไหวมืออาชีพมักทำงานเพื่อสร้างชื่อเสียงและผลงานส่วนตัว พวกเขามองแอคทิวิสต์เป็น “พอร์ตโฟลิโอส่วนตัว” มากกว่าการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนแปลงอะไร หลายคนหาเลี้ยงชีพด้วยการทำแอคทิวิสต์โดยเป็นพนักงานเงินเดือนใน NGO ขนาดใหญ่

ปัจจุบัน แอคทิวิสต์มืออาชีพจำนวนมาก มักแข่งขันกันเพื่อความนิยมโดยเฉพาะบนโซเชียลมีเดียเพื่อสร้างภาพลักษณ์ว่าเป็น “แอคทิวิสต์ต้นแบบ” หลายครั้ง แอคทิวิสต์มีโปรไฟล์ส่วนตัวที่ดังยิ่งกว่าองค์กรที่พวกเขานำอยู่เพราะโฟกัสอยู่ที่ “ตัวบุคคล” มากกว่า “สิ่งที่ทำ”

แนวโน้มนี้ส่งผลกระทบต่อคนรุ่นใหม่จำนวนมากที่เห็นว่านี่คือรูปแบบของแอคทิวิสต์ที่ “ประสบความสำเร็จ” จนพยายามเลียนแบบและทำให้มี “มีม” หรือภาพจำของ “แอคทิวิสต์ที่ถูกต้อง” แพร่กระจายมากขึ้นเรื่อย ๆ ผลคือ แนวคิดเรื่อง “แอคทิวิสต์ที่ดี” กลายเป็นสิ่งสำคัญยิ่งกว่าการชนะประเด็นหรือสร้างองค์กรที่เข้มแข็ง

แอคทิวิสต์มืออาชีพจำนวนมากไม่ได้สนใจผลลัพธ์ทางการเมือง แต่สนใจ “การแสดงจุดยืน” และ “การเป็นที่จดจำ” การกระจายพลังงานไปหลายทิศทางในเวลาเดียวกัน ได้ลดประสิทธิภาพของนักเคลื่อนไหว องค์กร และการกระทำลงอย่างมาก บล็อกเกอร์คนหนึ่งสรุปไว้อย่างแหลมคมว่า “แอคทิวิสต์จุกจิกเหล่านี้คือสิ่งเบี่ยงเบนความสนใจจากการแก้ปัญหามนุษย์ขนาดใหญ่”

แอคทิวิสต์มืออาชีพยังได้สร้าง “อัตลักษณ์เฉพาะกลุ่ม” ให้กับคนที่สนใจการเปลี่ยนแปลงทางสังคมซึ่งยิ่งทำให้เกิดช่องว่างระหว่าง “นักเคลื่อนไหวเต็มเวลา” กับ “คนทั่วไป” ช่องว่างนี้ทำให้แอคทิวิสต์มืออาชีพยิ่งแยกตัวออกจากสังคมวงกว้าง และเข้าสู่ความโดดเดี่ยวทางสังคม Andrew X กล่าวว่า “บทบาทของแอคทิวิสต์กลายเป็นการโดดเดี่ยวตัวเองจากคนที่เราควรเชื่อมโยงด้วย”

ในทุกวันนี้ ภาษาที่ใช้ วิธีการ และเครือข่ายของแอคทิวิสต์มักไม่ประสบความสำเร็จในการระดมมวลชนขนาดใหญ่ เรื่องนี้เกิดจากหลายปัจจัย — หนึ่งในนั้นก็คือ “รูปแบบของแอคทิวิสต์ยุคปัจจุบัน” เอง นี่คือนิยามใหม่ ที่เพิ่งเกิดขึ้นไม่นาน และไม่มีหลักฐานประวัติศาสตร์ว่ามันเคยให้ผลลัพธ์จริงในประเทศใด Andrew กล่าวอีกว่า แอคทิวิสต์เป็นรูปแบบทางการเมืองแบบเสรีนิยม ที่ถูกใช้นอกขอบเขตของมันเองเพื่อเป้าหมายแบบปฏิวัติ แต่ที่จริง มันไม่สามารถบรรลุการเปลี่ยนแปลงได้เลย เราจึงควรก้าวข้ามรูปแบบปัจจุบัน เพื่อให้สามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริงได้ แต่การเปลี่ยนนี้ไม่ง่าย เพราะรูปแบบของแอคทิวิสต์ปัจจุบันมี “ข้อบกพร่องเชิงโครงสร้าง” ลึกลงไป ซึ่งจะอธิบายในหัวข้อต่อไปเกี่ยวกับ “ข้อบกพร่องของความไร้โครงสร้าง” (structurelessness defects)