ปัญหาของความไร้โครงสร้าง (The Structurelessness Problem)
แปลเรียบเรียงจาก The Millennium Curse: Why Activism is Failing https://www.amazon.com/stores/Tony-Saghbiny/author/B00D1RCX68?ref=ap_rdr&isDramIntegrated=true&shoppingPortalEnabled=true

การลุกฮือในปี 2011 ได้รับคำชื่นชมจากหลายฝ่ายเพราะเป็นขบวนการที่ “ไร้ผู้นำ ไร้โครงสร้างซึ่งถูกมองว่าเป็นสัญญาณว่าการเคลื่อนไหว “มาจากประชาชน” และ “เพื่อประชาชน” แต่สิ่งที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึงก็คือ ความไร้โครงสร้างนี้เองเป็นหนึ่งในข้อบกพร่องสำคัญที่ทำให้การลุกฮือเหล่านั้นล้มเหลวไม่สามารถบรรลุเป้าหมาย เร่งให้ขบวนการประชาชนอย่าง Occupy Wall Street แผ่วลงและเปิดทางให้ฝ่ายอำนาจรัฐหรือพรรคการเมืองเดิมยึดกระแสปฏิวัติไปในทิศทางตรงกันข้ามเช่นในหลายประเทศอาหรับ
ในโลกอาหรับ ขบวนการลุกฮือที่ไร้ผู้นำและไร้โครงสร้างแทบทั้งหมดจบลงด้วยการเปิดทางให้กลุ่มอิสลามิสต์ ซึ่งมีโครงสร้างและองค์กรเข้มแข็งเข้ายึดพื้นที่อำนาจแทนทันทีที่ระบอบเดิมล่มสลาย พูดให้ตรงก็คือ “ผู้ชนะเพียงหนึ่งเดียวจากขบวนการไร้โครงสร้างคือกลุ่มการเมืองที่มีโครงสร้าง”
น่าเศร้าที่หลายขบวนการกลับสรุปบทเรียนผิด พวกเขาเชิดชูความ “ไร้โครงสร้าง” และ “เกิดขึ้นเอง” ว่าเป็นโมเดลใหม่แห่งการปฏิวัติในศตวรรษที่ 21 “โครงสร้าง” ถูกตีตราว่าเท่ากับเผด็จการ ระบบราชการ ความเหลื่อมล้ำ และคำแย่ ๆ ทั้งหลาย ในขณะที่ “ความไร้โครงสร้าง” ถูกเชิดชูว่าเท่ากับเสรีภาพ ความเท่าเทียม และพลังจากรากหญ้า
กระแสอนาธิปไตยและเฟมินิสต์บางสายก็ต่อต้านโครงสร้างอย่างรุนแรงและมักสับสนระหว่าง “การกระจายอำนาจ” กับ “ไร้โครงสร้าง” และ “ไร้ผู้นำ” แต่ในความเป็นจริง “ความไร้โครงสร้าง” มักนำไปสู่ผลลัพธ์ตรงกันข้ามกับที่ตั้งใจ นักเขียน Jo Freeman เคยกล่าวไว้ในทศวรรษ 1970 ว่า “ไม่มีสิ่งที่เรียกว่า ‘กลุ่มไร้โครงสร้าง’ จริง ๆ กลุ่มคนใดก็ตามที่รวมตัวกันนานพอเพื่อเป้าหมายบางอย่างย่อมมีโครงสร้างในบางรูปแบบเกิดขึ้นเสมอ”
Freeman ยังอธิบายอย่างชัดเจนว่า แนวคิด “ไร้โครงสร้าง” คือม่านควันที่ช่วยให้ผู้ที่เข้มแข็งกว่าหรือมีโชคครอบงำอำนาจโดยไม่มีใครตรวจสอบได้ง่ายขึ้นเนื่องจากโครงสร้างไม่เป็นทางการ มันจึงไม่ป้องกันการก่อตัวของกลุ่มอิทธิพล ตรงกันข้าม มันกลับปิดบังอำนาจที่แท้จริงไม่ให้ตรวจสอบหรือเปลี่ยนตัวได้ คนที่มีอำนาจในกลุ่มไร้โครงสร้างจึงอยู่ในตำแหน่งโดยไม่มีใครควบคุมหรือถอดถอน และความไร้โครงสร้างไม่ได้ล้มเหลวเพียงเพราะมันเสริมสร้างอำนาจลับ แต่เพราะมันทำให้การวางแผนเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องเป็นไปไม่ได้
นักเคลื่อนไหวจากโลกอาหรับจำนวนมากกล่าวว่าความไร้โครงสร้างทำให้ฝ่ายฆราวาส ซ้าย และเสรีนิยมที่จุดกระแสปฏิวัติเสียเปรียบต่อกลุ่มอิสลามิสต์ที่มีโครงสร้าง และพร้อมยึดอำนาจเมื่อฝุ่นจาง นักวิจารณ์ตะวันตก เช่น Michael Kazin บรรณาธิการ Dissent Magazine ชี้ว่า Occupy ล้มเหลวเพราะเปิดกว้างและไร้ผู้นำจนไม่สามารถวางกลยุทธ์หรือตัดสินใจทางยุทธวิธีได้เลย Freeman ยังกล่าวถึงความยากลำบากของการพัฒนาแนวทางในกลุ่มไร้โครงสร้างว่า “ยิ่งขบวนการไร้โครงสร้างมากเท่าใดก็ยิ่งควบคุมทิศทางหรือเลือกรูปแบบการเคลื่อนไหวไม่ได้เท่านั้น แม้ไอเดียจะเผยแพร่ออกไป แต่ถ้าไม่มีพลังการเมืองร่วมเพื่อผลักดัน มันก็จะจบลงเพียงแค่การพูดถึง”
แม้แต่นักอนาธิปไตยบางกลุ่มยังวิจารณ์ Occupy อย่างชัดเจนว่า การไม่มีจุดจบ การไร้โครงสร้าง และการไร้ทิศทางคือจุดอ่อนหลักที่ทำให้มันไม่มีพลังเปลี่ยนแปลงใดหลงเหลืออยู่หลังจากผ่านไปหนึ่งปี บล็อกเกอร์อนาธิปไตย Colin O เขียนว่า ไม่ดูเหมือนว่า Occupy จะได้สร้างองค์กรที่มีศักยภาพในการต่อต้านโครงสร้างที่สร้างความเหลื่อมล้ำเลยแม้แต่น้อยแม้ว่า Occupy จะสร้างแรงบันดาลใจให้กับเรา ซึ่งไม่ควรถูกมองข้ามแต่ก็ไม่อาจพูดได้ว่าเราได้ขยายความเข้มแข็งขององค์กรหรือขบวนการของเราให้แพร่หลายมากขึ้นในระดับมวลชนเลย
บทวิเคราะห์นี้สอดคล้องกับกระแสการฟื้นความสนใจในการสร้าง “โครงสร้าง” ใหม่หลังจากช่วงเวลายาวนานของความไม่ไว้วางใจในองค์กรขนาดใหญ่โดยกลุ่มอนาธิปไตยจำนวนมากขณะที่เขียนบทนี้ กลุ่มอนาธิปไตยในแถบเมดิเตอร์เรเนียนกำลังพยายามสร้างเครือข่ายแบบมีโครงสร้างเช่นเดียวกับในอเมริกาเหนือ ที่กลุ่มอนาธิปไตยหลายกลุ่มเริ่มพิจารณาการจัดตั้งองค์กรระดับประเทศพร้อมศูนย์กลางประสานงานและการตัดสินใจ
ตัวอย่างหนึ่งคือบทความ “Nationwide Organization of Revolutionary Anarchists in the United States?” โดยกลุ่ม Rochester Anarchist Collective ซึ่งเสนอว่า องค์กรแบบมีศูนย์กลางจะสามารถขยายพลังทางการเมืองในระดับประเทศได้ดีกว่า สร้างความเป็นปึกแผ่นในเชิงยุทธศาสตร์ ขยายบทบาทท้องถิ่น และเชื่อมโยงระหว่างเมืองกับชนบท พร้อมขยายฐานสมาชิกและระดมทรัพยากรได้มากขึ้น
“ลัทธิคลั่งการไร้โครงสร้าง” (Structurelessness fetish) ยังมาพร้อมกับชุดของความเชื่อผิด ๆ เกี่ยวกับวิธีการจัดองค์กรขบวนการเคลื่อนไหวซึ่งกำลังฝังลึกในวัฒนธรรมทางการเมืองของคนรุ่นมิลเลนเนียล เราจะยกตัวอย่าง 3 ความเชื่อหลักที่น่ากังวล
• การยกโมเดลเครือข่ายเหนือกว่าโมเดลองค์กร โมเดลเครือข่ายประกอบด้วยกลุ่มคนหลวม ๆ ที่ไม่มีศูนย์กลางอำนาจ เหมาะกับสถานการณ์ที่มีความเสี่ยงต่ำ เช่น การรณรงค์ การยื่นคำร้อง ฯลฯ แต่ไม่เหมาะอย่างยิ่งกับการวางแผนระยะยาวหรือยุทธศาสตร์ที่มีความเสี่ยงสูง
Malcolm Gladwell เคยกล่าวว่า “เครือข่ายไม่สามารถคิดเชิงยุทธศาสตร์ได้ เพราะทุกคนมีเสียงเท่ากัน และจะเกิดการถกเถียงไม่รู้จบ แล้วคุณจะตัดสินใจเชิงยุทธศาสตร์ได้อย่างไร หากทุกคนต้องเห็นด้วยเท่ากัน?” เขายังยกตัวอย่างว่าความสำเร็จของ Boycott ที่ Montgomery และขบวนการสิทธิพลเมืองในอเมริกาเกิดจากโครงสร้างองค์กรที่มีระเบียบวินัยและกลยุทธ์ชัดเจน
• ความไม่ไว้วางใจผู้นำ และการปฏิเสธผู้นำ ในวงการเคลื่อนไหวยุคหลังสมัยใหม่ มีการแข่งขันเพื่อ “แย่งพื้นที่การมองเห็น” ผสานกับความหวาดกลัว “การมีผู้นำ” ทำให้เกิดวัฒนธรรมที่ต่อต้านการยอมรับความเป็นผู้นำของใครก็ตาม สิ่งนี้ยิ่งรุนแรงขึ้นจากวัฒนธรรม “ปัจเจกนิยมสุดขีด” และตัวอย่างของผู้นำที่ล้มเหลวในข่าวซึ่งสร้างความหวาดระแวงเพิ่มเติม ผลก็คือ ผู้ที่แสดงตัวเป็นผู้นำ หรือองค์กรที่มีผู้นำชัดเจนมักถูกกล่าวหาว่า “ลัทธิบูชาตัวบุคคล” แม้ว่าในความเป็นจริง องค์กรที่มีผู้นำที่ดีต่างหากที่ประสบความสำเร็จมากที่สุด การต่อต้านผู้นำเช่นนี้ ขัดขวางขบวนการเคลื่อนไหวไม่ให้สามารถบ่มเพาะผู้นำคุณภาพและบั่นทอนเครื่องมือสำคัญที่สุดสำหรับการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง ในขณะที่ฝ่ายตรงข้าม เช่น รัฐ, ซีอีโอ, นักบวชต่างมีผู้นำที่ได้รับการฝึกฝนมาอย่างดีและมีระเบียบวินัย ขบวนการของเราในทางกลับกัน กลับทะเลาะกันเองเรื่อง “ใครจะเป็นผู้นำได้หรือไม่ได้” หากเราอยากยกระดับการต่อสู้ให้ก้าวไปอีกขั้น เราต้องลดความหวาดกลัวการมีผู้นำ และส่งเสริมผู้จัดการ, นักสร้าง, ผู้คิดกลยุทธ์ และผู้มีพลังสร้างสรรค์มากขึ้น
แทนที่จะลงคะแนนเสียง พวกเขาพยายามหาข้อเสนอที่ทุกคนยอมรับได้หรืออย่างน้อยที่สุด ก็ไม่มีใครคัดค้านอย่างรุนแรง ขั้นตอนคือเสนอข้อเสนอ ขอ “ข้อกังวล” และพยายามจัดการกับข้อกังวลนั้น สมาชิกอาจเสนอ “ข้อเสนอแนะอย่างมิตร” (friendly amendments) เพื่อปรับข้อเสนอให้เหมาะสมขึ้น จากนั้นจึงขอ “ฉันทามติ” หากมีใครไม่เห็นด้วย พวกเขาจะสามารถ “บล็อก” (Block) — ใช้อำนาจยับยั้ง “ยืนข้างนอก” (Stand aside) — แสดงความไม่เข้าร่วม แต่ไม่ขัดขวางผู้อื่น เช่น คำพูดของผู้ที่ stand aside “ฉันจะไม่เข้าร่วมการกระทำนี้เอง แต่จะไม่ห้ามคนอื่นทำ” ขณะที่การ block คือการกล่าวว่า “ฉันคิดว่าข้อเสนอนี้ละเมิดหลักการพื้นฐานของกลุ่มเรา” Block ทำหน้าที่เหมือน “สิทธิยับยั้ง” ใครคนเดียวก็สามารถล้มข้อเสนอได้
ข้อจำกัดของโมเดลนี้เห็นได้ชัด อาจใช้ได้กับกลุ่มเล็กที่เป้าหมายคลุมเครือและสัมพันธ์แน่นแฟ้น แต่เป็นกระบวนการที่เหนื่อยล้า และขัดขวางการวางแผนระยะยาวสำหรับองค์กรขนาดใหญ่ กลยุทธ์ที่พัฒนาจากฉันทามติมักต้อง “ลดทอน” ลงเพื่อให้ทุกคนเห็นด้วยได้จนหลายแผนแทบไม่มีเนื้อหาอะไรเลย
ความท้าทายหลักของฉันทามติ : การบรรลุฉันทามติในกลุ่มใหญ่ยากมาก ไม่ได้แปลว่าทุกคนมีส่วนร่วมจริง มักจะมี “คนกลุ่มน้อยเสียงดัง” ที่พูดเก่งกว่า หรือครองเวที ซึ่งเป็นผู้ตัดสินใจจริงแทนทั้งกลุ่ม การวางกลยุทธ์ละเอียด หรือแผนที่มีความเสี่ยงสูง ก็เกือบเป็นไปไม่ได้เลยเพราะต้องได้ “ความเห็นพ้องจากทั้งหมด”
ความรับผิดชอบ (Accountability) ก็เป็นอีกปัญหาใหญ่ : ถ้าทุกคนต้องรับผิดชอบร่วมกัน แล้วใครจะเป็นผู้รับผิดจริงต่อใคร และในกรณีที่ผิดพลาด ความรับผิดชอบจะมีความหมายอะไร?โมเดลฉันทามติอาจใช้ได้กับกลุ่มเล็ก ๆ แต่ในการเคลื่อนไหวระดับมวลชนหรือองค์กรขนาดใหญ่ มันคืออุปสรรคต่อกลยุทธ์ ความรับผิดชอบ และผลลัพธ์
