ทฤษฎีมวลวิกฤต:ปัญหาของการเคลื่อนไหวแบบไลฟ์สไตล์ (Lifestylism)
แปลเรียบเรียงจาก The Millennium Curse: Why Activism is Failing https://www.amazon.com/stores/Tony-Saghbiny/author/B00D1RCX68?ref=ap_rdr&isDramIntegrated=true&shoppingPortalEnabled=true

ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดในโลกของแอคทิวิสต์ ความเข้าใจร่วมของเราว่าการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเกิดขึ้นได้อย่างไรก็เปลี่ยนแปลงไปด้วย แนวคิดซ้ายดั้งเดิมที่เคยเชื่อในพลังของมวลชนในการปลดปล่อยตนเองได้กลายร่างเป็นแนวคิดเฉพาะตัวแบบแปลกประหลาดที่เรียกว่า “ไลฟ์สไตล์ลิซึม” ซึ่งผูกกับทฤษฎี “มวลวิกฤต” (critical mass theory) คือแนวคิดที่เชื่อว่าการเปลี่ยนแปลงระดับใหญ่จะเกิดขึ้นจากการเลือกของปัจเจกจำนวนมาก แนวคิดนี้มักมาพร้อมคำขวัญที่ถูกใช้จนพร่าความหมาย “จงเป็นการเปลี่ยนแปลงที่คุณอยากเห็นในโลก”
ตามความเชื่อนี้ หากคนจำนวนมากพอเลือกแบบเดียวกันในการใช้ชีวิต ในที่สุดก็จะถึง “จุดมวลวิกฤต” ที่สามารถเปลี่ยนระบบสังคมทั้งหมดได้ สิ่งที่น่าสนใจคือ แนวคิดนี้ที่เน้นเรื่อง “ไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคล” กลับเพิ่มขึ้นพร้อม ๆ กับแนวทาง “แอคทิวิสต์มืออาชีพ” ที่แท้จริงก็เป็นรูปแบบของไลฟ์สไตล์แบบหนึ่งเช่นกัน
องค์กรสิ่งแวดล้อมกระแสหลักจำนวนมากก็ตกอยู่ภายใต้กรอบนี้เช่นกัน พวกเขาผลักดัน “ทางออกเชิงพฤติกรรม” อย่างการซื้อรถไฟฟ้า ผลิตภัณฑ์เขียว ฯลฯ ทั้งที่ผลิตภัณฑ์เหล่านั้นก็ยังเป็นสินค้าทางอุตสาหกรรมที่หนุนให้ระบบทุนดำเนินต่อไป
แม้แต่ขบวนการฝ่ายซ้ายหลายกลุ่มก็เบนเข้าสู่แนวทางนี้ด้วยการเสนอ “ทางเลือกส่วนตัว” แทน เช่น เลิกบริโภคสินค้า ซื้อของจากร้านเล็ก ๆ เลี่ยงภาษี หรือบอยคอตแบรนด์ดัง ขบวนการอย่าง Deep Green Resistance และกลุ่มอื่น ๆ ได้เริ่มวิพากษ์แนวคิดนี้แล้ว บางองค์กรเสนอให้เรียกแนวคิดนี้ว่า “แอคทิวิสต์คลาสสิก” (Classic Activism) เพราะมันครอบงำการเคลื่อนไหวด้านสิ่งแวดล้อมตั้งแต่ยุค 60s จนถึงปัจจุบัน
ปัญหาหลักของแนวทางนี้คือ มันไม่ได้โจมตีโครงสร้างที่ก่อให้เกิดปัญหาแต่เลือก “พูดความจริง เผยแพร่ความจริง และขยายความจริง” ด้วยความหวังว่า การเปิดเผยความจริงจะเพียงพอ หากไม่สำเร็จ คำตอบของแอคทิวิสต์คลาสสิกก็คือ: “จงทำมากกว่านี้อีก”
เมื่อเวลาผ่านไป การยึดติดกับการเปลี่ยนแปลงเชิงไลฟ์สไตล์กลายเป็น “ลัทธิเคร่งศีลส่วนบุคคล” ที่เปลืองพลังไปกับการกล่าวหา “ไม่บริสุทธิ์พอ” แทนที่จะเปลี่ยนระบบ Jensen กล่าวอย่างเจ็บแสบว่า “เมื่อคุณต่อต้านการจัดองค์กรและกลยุทธ์ สิ่งเดียวที่คุณเชื่อได้ว่าทำให้โลกเปลี่ยนคือ ‘ไลฟ์สไตล์’ ของคุณ” แนวคิดไลฟ์สไตล์ลิซึมแทนที่การจัดองค์กรในขบวนการสิ่งแวดล้อมกระแสหลัก เช่น แทนที่จะต่อสู้กับระบบธุรกิจ พวกเขาเสนอให้ “ใช้กระดาษรีไซเคิลและทำปุ๋ยหมักเอง” ผลลัพธ์คือคุณเหลือเพียงจริยธรรมส่วนบุคคลแบบเข้มงวดซึ่งกลายเป็น “ลัทธิอันศักดิ์สิทธิ์” เช่น คนไม่กินเนื้อ หรือคนต่อต้านรถยนต์ ฯลฯ ที่หันไปประณามคนอื่นมากกว่าวางกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนโครงสร้าง กลยุทธ์นี้จึงแตะเพียง “ผิวหน้า” ของปัญหาเท่านั้น มันไม่สามารถแก้ระบบเชิงโครงสร้างที่เป็นรากของปัญหาได้เลย
ที่ร้ายกว่านั้น แนวคิดนี้คือการ “ถอนตัว” จากระบบ แม้ว่าเราควรมีทางเลือกทางสังคมของตนเองแต่หากไม่มีการต่อต้านที่โจมตีแก่นของระบบ แนวทางนี้ก็เป็นเพียงการยอมจำนน การเน้นทางออกส่วนตัว ยังทำให้คนสับสนระหว่าง “ไลฟ์สไตล์ที่มีจริยธรรม” กับ “การเคลื่อนไหวทางการเมืองที่มีกลยุทธ์” แม้เราจะเคยเรียนรู้จากขบวนการเฟมินิสต์ว่า “สิ่งส่วนตัวคือการเมือง”แต่การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์ส่วนบุคคลไม่ใช่เครื่องมือของการเปลี่ยนแปลงเชิงยุทธศาสตร์
การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ (systematic change) จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการกระทำเชิงระบบ (systematic action) การเปลี่ยนพฤติกรรมส่วนบุคคล แม้จะมีคนจำนวนมากทำตามก็ไม่ใช่การกระทำเชิงระบบ ตัวอย่างเช่น แบรนด์รถยนต์ใช้งบโฆษณาหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อโน้มน้าวให้คนนับล้าน “ฝันอยากมีรถ” แม้จะมีบางคนขายรถแล้วหันไปปั่นจักรยาน ก็ไม่ได้เปลี่ยนอะไร สิ่งที่นักเคลื่อนไหวสาย “เปลี่ยนแปลงตัวเอง” มักมองข้ามคือ การเลือกส่วนบุคคลเหล่านี้ล้วนเกิดขึ้น “ภายในระบบ” ไม่ได้เปลี่ยนโครงสร้างของระบบเลย
ถ้าระบบเสนอ “ทางเลือก” ว่าความฝันของมนุษย์คือการมีรถสปอร์ต มีบ้านหรู มีสถานะ เราก็จะจบลงที่คนจำนวนมากแย่งกันทำงานให้หนักขึ้นเพื่อให้ได้สิ่งเหล่านั้นแม้ว่ามันจะพาไปสู่การทำลายสิ่งแวดล้อมและสร้างความเหลื่อมล้ำก็ตาม ถ้าระบบไม่เสนอ “ทางเลือก” เหล่านี้ เช่น บ้าน รถ ฯลฯ คนจำนวนมากก็อาจไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่า “มันมีทางเลือกอื่น” อยู่ หากระบบยึดติดกับ “การเติบโต กำไร และการบริโภค” ผู้คนก็จะติดอยู่ในวงจรของการทำงานหนักเพื่อไล่ตามเงินและของใช้ แต่ถ้าระบบสร้างขึ้นจาก “ความยั่งยืน ชุมชน และความสัมพันธ์กับผืนดิน” ผู้คนก็จะเลือกใช้ชีวิตแบบนั้นโดยธรรมชาติ
ทว่าทฤษฎีมวลวิกฤต กลับนำไปสู่ความเข้าใจผิดอีกแบบ ความเข้าใจผิดที่ว่า “ผู้คนกำลังตื่นขึ้น” (people are awakening) แม้จะมีผู้คนบางส่วนออกมาชุมนุม ฝ่ายซ้ายบางคนก็จะรู้สึกตื่นเต้นว่า “จุดจบของทุนนิยมกำลังมา” แต่ความจริงที่โหดร้ายคือ คนเหล่านั้นไม่ได้ “ตื่น” พวกเขาแค่ “โกรธ” เพราะความเปลี่ยนแปลงของระบบอุตสาหกรรม ทำให้สิ่งที่เคยมี “ลดลงหรือหายไป”เช่น โกรธเพราะไม่สามารถไปช็อปปิ้งแบบเดิมได้ โกรธเพราะไม่มีโอกาสมีชีวิตตามแบบในหนังที่สัญญาไว้ โกรธเพราะต้องพึ่งรัฐหรือองค์กรเพื่อความอยู่รอด
ใช่ — ผู้คนโกรธจริง และในอีกไม่กี่ปีก็อาจออกมาชุมนุมกันมากขึ้น แต่คำถามสำคัญคือ พวกเขาต้องการ “เปลี่ยน” อะไร? และพวกเขาเข้าใจ “ปัญหา” จริงหรือไม่? ผู้คนอาจล้มรัฐบาลบางแห่งได้ แต่มันช่วยให้เราหลุดพ้นจากวิกฤตอารยธรรมอุตสาหกรรมหรือไม่? ถ้าไม่มีแผนการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ การล้มแล้วตั้งใหม่ก็แค่ “เริ่มวงจรซ้ำ” ของระบบเดิม
ความจริงที่น่าเศร้าคือ ผู้คนจำนวนมากไม่ได้อยาก “เปลี่ยนระบบ” พวกเขาแค่อยากได้ชีวิตเก่า ๆ กลับคืน อยากดูทีวี พักผ่อน มีความสะดวก ขบวนการลุกฮือส่วนใหญ่ไม่ได้มุ่งหวังจะรักษาโลกแต่หวังเพียงให้รัฐกลับมา “ดูแล” พวกเขาในแบบเดิม
การเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน มักเริ่มจากคนกลุ่มเล็กที่มีความตั้งใจจริง บานประตูแห่งการเปลี่ยนแปลงเปิดขึ้นเสมอด้วยมือของ “คนกล้าจำนวนน้อย” ก่อนที่คนอื่น ๆ จะได้รับประโยชน์ในภายหลัง สุดท้าย ทัศนคติ “critical mass” ไม่เพียงแต่ล้มเหลวในการวิเคราะห์ระบบแต่ยังทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวจมอยู่กับ “การรณรงค์สร้างการรับรู้” และการทำกิจกรรมเดิมซ้ำ ๆ เช่น โพสต์เฟซบุ๊ก ทำวิดีโอ จัดแฟลชม็อบ มันคือ “กับดักของผู้รับสารที่ไม่สนใจ” (uninterested audience) เหมือนกับการพูดเรื่อง “เล่นกีตาร์เปลี่ยนโลก” แต่ไม่เคยหยิบกีตาร์ขึ้นมาดีดจริง ๆ
เราจะชนะสงครามวัฒนธรรมกับบรรษัทยักษ์ รัฐบาลกดขี่ และเครื่องมือสื่อสารระดับพันล้านด้วยเฟซบุ๊กโพสต์เดียวได้อย่างไร?
