การขาดแนวทางเชิงระบบ

แปลเรียบเรียงจาก The Millennium Curse: Why Activism is Failing https://www.amazon.com/stores/Tony-Saghbiny/author/B00D1RCX68?ref=ap_rdr&isDramIntegrated=true&shoppingPortalEnabled=true

หนึ่งในลักษณะที่โดดเด่นที่สุดของขบวนการแอคทิวิสต์ยุคมิลเลนเนียล คือ การขาดแนวทางเชิงระบบในการทำงาน อาจเป็นผลมาจากปฏิกิริยาต่อต้านแนวคิดฝ่ายซ้ายแบบเก่าที่เชื่อใน “ทฤษฎีเดียวอธิบายได้ทุกอย่าง” หรืออาจเป็นเพราะวัฒนธรรมการเมืองที่แตกร้าวและกระจัดกระจายในยุคนี้ ไม่ว่าอย่างไร ความบกพร่องนี้ได้บั่นทอนความสามารถของนักเคลื่อนไหวในการเข้าใจโลกและร่างกลยุทธ์ที่มีประสิทธิภาพในการรับมือกับปัญหาจากรากเหง้า

ปัญหาจากการไม่มีแนวทางเชิงระบบมีมากมาย เช่น องค์กรสิ่งแวดล้อมหลายแห่งยกย่องบริษัทข้ามชาติที่สร้างมลพิษว่า “เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม” เพียงเพราะพวกเขาสร้างรถยนต์ไฟฟ้าโดยไม่ตั้งคำถามถึงโครงสร้างของทุนนิยมที่บริษัทเหล่านี้อยู่ภายใต้ ขบวนการเฟมินิสต์บางกลุ่มส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าสู่ตลาดแรงงานโดยไม่แตะปัญหาโครงสร้างแรงงานที่ยังบีบคั้นผู้หญิงชนชั้นล่างในฐานะลูกจ้างหรือแรงงานบริการทางเพศ ขบวนการแรงงานฝ่ายซ้ายเรียกร้องเพียงค่าจ้างและสิทธิแรงงานในภาคพลังงานเชื้อเพลิงฟอสซิลโดยไม่เรียกร้องการเปลี่ยนแปลงระบบพลังงานอย่างสิ้นเชิง ทั้งหมดนี้สะท้อนว่า ขบวนการจำนวนมาก ยังไม่เข้าใจ “รากของระบบ” ที่เป็นตัวก่อปัญหา และจึงไม่สามารถเสนอแนวทางที่มีประสิทธิภาพในการเปลี่ยนแปลงได้

ปัญหาหลัก ๆ ที่เกิดจากการขาดแนวทางเชิงระบบ ได้แก่

การทำให้ปัญหาง่ายเกินจริง (Oversimplification)

นี่เป็นปัญหาที่เห็นได้ชัดในวัฒนธรรมการเมืองยุคมิลเลนเนียล เช่น โทษรัฐ โทสบริษัท โทษศาสนา โทษชนชั้น หรือสรุปว่าถ้า “ชนชั้นแรงงานโค่นทุนนิยม ทุกอย่างจะดีขึ้น” หรือถ้าเปลี่ยนรัฐบาลแล้วโลกจะเปลี่ยนทันที

การคิดแบบนี้คือการเลือก “เลนส์เดียว” มาอธิบายทั้งโลก เช่น เลนส์ชนชั้น หรือเลนส์ต่อต้านรัฐ โดยละเลยความซับซ้อนของโลกที่ประกอบด้วยมิติทางเศรษฐกิจ สังคม ระบบนิเวศน์ การศึกษา และวัฒนธรรม

การแยกเฉพาะประเด็น (Compartmentalization)

นี่คือฝาแฝดของการทำให้ปัญหาง่ายเกินจริง ในอดีต ขบวนการการเมืองในศตวรรษที่ 19 ยังตั้งคำถามกับ “ทั้งระบบ” ไม่ว่าจะเป็นทุนนิยม ประชาธิปไตยแบบตัวแทนหรือรัฐชาติ แต่ทุกวันนี้ ขบวนการมักแยกกันทำงานเฉพาะเรื่อง เช่น สิทธิ LGBTQ+ สิทธิแรงงาน การลดโทษให้นักโทษรายบุคคล การปกป้องพื้นที่สีเขียวแห่งเดียว หรือการประท้วงโครงการใดโครงการหนึ่ง

การทำงานเฉพาะประเด็นไม่ใช่ปัญหา แต่ปัญหาคือ “การตัดขาดจากบริบทโดยรวม” แทนที่จะเชื่อมโยงกับขบวนการที่ตั้งคำถามต่อระบบเศรษฐกิจ-การเมือง-วัฒนธรรมอย่างเป็นองค์รวมขบวนการที่ขาดแนวทางเชิงระบบ จึงกลายเป็นขบวนการที่วิจารณ์ปัญหาได้ไม่ลึก สร้างทางออกที่ไม่ก่อการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และวนอยู่กับการรณรงค์ที่ดูดีแต่ไม่สามารถเปลี่ยนโลกได้จริง

เมินเฉยต่อความจริงเรื่องการล่มสลายของระบบอุตสาหกรรม

ประเด็นนี้มีสองมิติ : มิติแรกคือ การเพิกเฉยต่อวิกฤตพลังงาน ภาวะถดถอยทางอุตสาหกรรม และหายนะทางนิเวศวิทยา มิติที่สองคือ การไม่เข้าใจโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานที่ค้ำจุนอารยธรรมของเรา

ระบบอุตสาหกรรมสมัยใหม่ของเรากำลังเข้าสู่ช่วง “เสื่อมถอยอย่างช้าๆ” (slow decline) โดยมีปัจจัยหลักคือ วิกฤตพลังงาน (โดยเฉพาะการลดลงของน้ำมัน) การขาดแคลนวัตถุดิบ และการล่มสลายเชิงนิเวศในระดับโลก

พลังงานราคาถูกจากฟอสซิลคือสิ่งที่ทำให้อารยธรรมของเราเติบโตมาจนถึงวันนี้ และเมื่อพลังงานเหล่านั้นเริ่มลดลง เราก็จะเผชิญกับการถดถอยที่ไม่อาจย้อนกลับได้ เช่น ไม่สามารถขนส่งสินค้า สร้างเมือง หรือดูแลโครงสร้างพื้นฐานได้ เศรษฐกิจจะชะลอตัวตามไป เทคโนโลยีและนวัตกรรมจะล้มหาย สังคมอาจกลายเป็นดิสโทเปียที่คนกลุ่มเล็กๆ อยู่ได้ด้วยไฟฟ้าและอาหาร ส่วนคนส่วนใหญ่ต้องอยู่แบบชาวนาในยุคกลาง

เรากำลังเห็นผลกระทบแล้วตอนนี้ วิกฤตพลังงานคือหนึ่งในปัจจัยที่ก่อให้เกิดวิกฤตเศรษฐกิจปี 2008 และจะเป็นเหตุผลของวิกฤตครั้งใหม่ในอนาคต แต่กลับไม่มีพลังงานทดแทนใดที่สามารถ “มาแทนน้ำมันได้จริงๆ” ไม่ว่าจะเป็นพลังงานหมุนเวียนหรือนิวเคลียร์เพราะไม่มีพลังงานใดให้ “ผลตอบแทนสุทธิ” สูงพอที่จะขับเคลื่อนอารยธรรมในขนาดเท่านี้

ดังนั้น แนวโน้มของอนาคตอันใกล้คือ วิกฤตเศรษฐกิจ ความเสื่อมโทรมของเทคโนโลยี และการล่มสลายของอารยธรรมอุตสาหกรรม ท่ามกลางความจริงนี้ ขบวนการแอคทิวิสต์ยุคมิลเลนเนียลกลับยังตื่นเต้นกับการติดตั้งหลอดไฟ LED ประท้วงเรียกร้องค่าจ้างเพิ่ม ทำแคมเปญกฎหมายเฉพาะ หรือสร้าง “ชุมชนสีเขียว” เล็กๆ ในขณะที่โครงสร้างที่หล่อหลอมโลกใบนี้กำลังพังทลายอยู่ต่อหน้าเรา

การมุ่งพึ่งเทคโนโลยีมากเกินไป

อีกปัญหาหลักคือความเชื่อว่าปัญหาการล่มสลายของโลกสามารถแก้ได้ด้วย “เทคโนโลยีอัจฉริยะ” ตัวอย่างเช่น ขบวนการสิ่งแวดล้อมกระแสหลักที่คิดว่า “หลอดไฟประหยัดพลังงาน” จะช่วยแก้วิกฤตโลกร้อน นักเสรีนิยมตะวันตกที่เชื่อว่า อินเทอร์เน็ตหรือเทคโนโลยีสื่อสารจะเป็นอาวุธหลักในการปลดปล่อยผู้คน แต่นี่คือความเข้าใจที่คลาดเคลื่อนอย่างรุนแรง เพราะมันทำให้เราละเลยรากปัญหาทางระบบ เช่น โครงสร้างการผลิตแบบอุตสาหกรรม การบริโภคเกินพอดี และวัฒนธรรมที่หมกมุ่นกับการเติบโตไม่สิ้นสุด

ขบวนการต่างๆ อย่าง Zeitgeist และ Venus Project วางรากฐานแนวคิดทั้งหมดไว้บนความเชื่อว่า “เทคโนโลยีจะช่วยปลดปล่อยมนุษย์” ยุติความยากจน สงคราม และแม้แต่ความขาดแคลน เช่น “เราจะยังขาดแคลนได้อย่างไรในโลกที่มีเทคโนโลยี?” Venus Project อ้างว่า “ด้วยการประยุกต์ใช้วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีอย่างมีมนุษยธรรม มนุษย์สามารถชี้นำอนาคตได้และอยู่ร่วมกับธรรมชาติอย่างกลมกลืน”

แต่แนวคิดนี้ไม่มีมูลความจริงในเชิงประจักษ์เลยเพราะแม้เทคโนโลยีสมัยใหม่จะทำให้เราสามารถปลูกอาหารเลี้ยงคนได้เป็นพันล้าน แต่ยังไม่เคยมีช่วงเวลาใดที่ผู้คนสามารถ “เอนหลังพักผ่อน” ได้ในขณะที่เครื่องจักรทำงานแทนพวกเขา ความจริงกลับตรงกันข้าม ยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้า ชีวิตยิ่งเร่งรีบ เครียด และห่างไกลจากความมั่นคงมากขึ้น

เหตุผลสำคัญคือ เทคโนโลยีไม่เคยเกิดขึ้นในสุญญากาศ มันผูกพันแนบแน่นกับระบบเศรษฐกิจแบบแสวงหากำไร การครอบงำ และการควบคุม แม้จะมีเทคโนโลยีที่สามารถตอบโจทย์พื้นฐานของมนุษย์ทั้งหมดได้ แต่ระบบที่เราอยู่ในปัจจุบันจะไม่ยอมให้เกิดขึ้นเพราะขัดกับผลประโยชน์ของระบบเศรษฐกิจ การเมือง และวัฒนธรรมที่กดขี่

ตัวอย่างเช่น เรามีเทคโนโลยีการแพทย์ที่ซับซ้อนที่สุดในประวัติศาสตร์ แต่มนุษย์นับพันล้านยังขาดสารอาหาร เรามีเทคโนโลยีสารสนเทศที่ล้ำหน้าที่สุด แต่กลับไม่สามารถแก้ปัญหาพื้นฐานทางสังคมได้ เรามีเทคโนโลยีการสื่อสารที่ทันสมัยที่สุด แต่กลับรู้สึกเหงาและซึมเศร้ามากขึ้น

เทคโนโลยีไม่เป็นกลาง มันมาพร้อมปรัชญาเบื้องหลังที่หล่อหลอมวัฒนธรรมและโครงสร้างอำนาจ เช่น อินเทอร์เน็ตถูกมองว่า “นำเสรีภาพและประชาธิปไตย” แต่ในความเป็นจริงมันก็สามารถถูกใช้ในทางตรงกันข้ามได้อย่างมีประสิทธิภาพเช่นกัน รถยนต์ส่วนตัว และระบบขนส่งมวลชนที่ไม่ยั่งยืน ปัญหาการใช้เทคโนโลยีเพื่อควบคุม ปราบปราม และแบ่งแยกผู้คน

ปัญหาของเราหลายอย่างไม่ใช่ปัญหาเชิงเทคนิค แต่คือ ปัญหาภูมินิเวศ เช่น ภาวะโลกร้อน การล่มสลายของระบบนิเวศ ปัญหาทางสังคมและการเมือง เช่น ความไม่เท่าเทียม ระบบเศรษฐกิจแบบ Ponzi ที่คนส่วนน้อยควบคุมทรัพยากรของคนส่วนใหญ่ ทางออกจึงไม่ใช่เทคโนโลยีเพิ่มเติม แต่คือการเปลี่ยนแปลงรากของระบบ

คำถามคือจะมีประโยชน์อะไรกับอุปกรณ์ที่ช่วยประหยัดน้ำในบ้าน ถ้าคนยังรดสนามหญ้าในทะเลทรายอยู่? จะมีประโยชน์อะไรกับอุปกรณ์สื่อสารล้ำสมัย ถ้าคนลืมวิธีคุยกันโดยไม่ใช้เทคโนโลยี? คำตอบที่แท้จริงคือ “มนุษย์” ไม่ใช่เทคโนโลยี การหมกมุ่นกับเทคโนโลยีคือการเบี่ยงเบนความสนใจจากสิ่งที่ควรใส่ใจจริงๆ

การแยกธรรมชาติออกจากจิตวิญญาณ

การแบ่งแยกการต่อสู้ทางการเมือง สิ่งแวดล้อม และจิตวิญญาณ ออกจากกันทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวกลายเป็น การต่อสู้ที่แตกแยกและขาดความสมบูรณ์ ขบวนการนิเวศไม่สนใจจิตวิญญาณหรือจริยธรรม ขบวนการสิทธิพลเมืองไม่แตะเรื่องนิเวศ ขบวนการจิตวิญญาณแยกตัวจากความเป็นจริงทางสังคม ผลคือการต่อสู้กับระบบเผด็จการที่ควบคุมทุกด้านของชีวิต กลับถูกต่อต้านด้วยมุมมองแคบๆ และวิสัยทัศน์ที่ตื้นเขิน

ในยุคที่เราจำเป็นต้องนิยามวิถีชีวิตใหม่ทั้งหมด วิธีคิด วิธีใช้ชีวิต วิธีสร้างสัมพันธ์กับโลก เราต้องการแนวทางแบบองค์รวม ที่เข้าใจความเชื่อมโยงและผลกระทบซึ่งกันและกันของมิติทางจิตวิญญาณ มิติทางนิเวศ และมิติทางสังคม-การเมือง เราต้องหลอมรวมทุกมิติของความเป็นมนุษย์เข้าด้วยกัน เพื่อให้การเปลี่ยนแปลงที่เราต้องการเกิดขึ้นได้จริง

การไม่ตั้งคำถามต่ออารยธรรมอุตสาหกรรม

ช่องว่างที่ใหญ่ที่สุดในการขาดแนวทางแบบเป็นระบบ ไม่ได้เกิดขึ้นแค่จากการขาดวิสัยทัศน์ทางการเมืองหรือจิตวิญญาณ แต่ยังมาจากการไม่ตั้งคำถามเชิงวิพากษ์ต่อรากฐานของวิถีชีวิตยุคใหม่ นั่นคือ อารยธรรมอุตสาหกรรมแบบทุนนิยม

แม้จะมีวรรณกรรมเชิงวิพากษ์จำนวนมากที่ตั้งคำถามต่อระบบอุตสาหกรรมว่าเป็นต้นเหตุของวิกฤตด้านนิเวศ ความเหลื่อมล้ำ การกดขี่ และความเสื่อมถอยของมนุษยชาติ แต่แนวคิดนี้ยังคงจำกัดอยู่ในวงเล็กๆ เช่น กลุ่มแอนาร์คีสีเขียว หรือขบวนการ Deep Green Resistance

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องระบบชนชั้น เผด็จการ การกดขี่ ระบบเพศชายเป็นใหญ่ ความเหลื่อมล้ำทางสังคม หรือวิกฤตนิเวศ ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ผลข้างเคียง แต่เป็น “กลไกหลัก” ที่สร้างและคงไว้ซึ่งอารยธรรมอุตสาหกรรม ในมุมมองนี้ อารยธรรมอุตสาหกรรมคือ “เรือนจำ” ที่ผู้คนต้องทำงานแลกกับที่อยู่อาศัยและอาหาร แต่ขบวนการรุ่นมิลเลนเนียลส่วนใหญ่ยังไม่กล้าวิจารณ์เรือนจำนี้ — พวกเขากลับเรียกร้องสิทธิ์มากขึ้นให้กับนักโทษ เช่น ขอเวลาพักผ่อนเพิ่ม หรือมีทีวีในห้องขังที่ดีขึ้น

แม้แต่คนที่มองตัวเองว่า “หัวก้าวหน้า” ยังเสนอแค่ให้นักโทษมาบริหารเรือนจำเองแทนที่จะรื้อเรือนจำทิ้ง การไม่ตั้งคำถามกับเรือนจำนี้ ทำให้ขบวนการเคลื่อนไหวยังคงติดอยู่กับเรื่องปลีกย่อยที่ไม่แตะ “รากเหง้าของปัญหา”

การขาดวิสัยทัศน์ (Vision)

เมื่อการแบ่งแยก (compartmentalization) มาบรรจบกับการขาดแนวคิดเชิงระบบ ผลลัพธ์คือ “ขบวนการเคลื่อนไหวที่มีทุกอย่าง ยกเว้นวิสัยทัศน์” พวกเขามีโครงการ เป้าหมาย แคมเปญ แต่ไม่มีวิสัยทัศน์แบบองค์รวมว่าต้องการโลกแบบไหน และเมื่อต้องเผชิญหน้ากับระบบที่ครอบคลุมทั้งชีวิต มนุษยชาติและจักรวาล การไม่มีวิสัยทัศน์ยิ่งทำให้เคลื่อนไหวได้ยากขึ้น

ระบบที่เราต่อสู้กับมันมีวิสัยทัศน์ชัดเจนมาก มันบอกว่าโลกนี้เป็นของคนที่มีอำนาจ โลกถูกสร้างมาเพื่อถูกควบคุม โลกต้องมี “การเติบโต ความก้าวหน้า และความสุข” แต่นั่นเป็นแค่แว่นตาที่หลอกตา วิสัยทัศน์ของเราควรทำให้เราเข้าใจว่าเรากำลังต่อสู้กับอะไร และโลกทางเลือกที่เราใฝ่ฝันควรเป็นอย่างไร

วิสัยทัศน์ เปรียบเสมือนเปลวไฟที่ขับเคลื่อนขบวนการ มันคือเข็มทิศที่ชี้ทาง ถ้าไม่มีวิสัยทัศน์ ขบวนการก็เหมือนรถที่ไม่มีเชื้อเพลิง – วิ่งไปได้ไม่ไกล ก่อนจะหมดแรง ประวัติศาสตร์พิสูจน์แล้วว่า “เฉพาะขบวนการที่มีวิสัยทัศน์เท่านั้น” ที่สามารถเปลี่ยนประวัติศาสตร์ได้

ติดกับอยู่ในโลกอุดมคติที่ไม่เคยเกิดขึ้นจริง

การขาดวิสัยทัศน์ที่เป็นระบบ มักจะพาเราเข้าสู่การสร้างอุดมคติที่ “ไม่สามารถเป็นจริงได้” นี่คือกับดักอีกด้านหนึ่งของการไม่มีวิธีคิดแบบระบบ วิสัยทัศน์แบบยูโทเปีย (utopia) ไม่ใช่เรื่องใหม่ มันมักจะเกิดขึ้นในยุคที่สังคมเผชิญวิกฤต เช่น ช่วงเปลี่ยนผ่านจากอาณาจักรโรมัน ช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม หรือตอนนี้ที่อารยธรรมอุตสาหกรรมกำลังถดถอย

วันนี้ โลกการเมืองเต็มไปด้วยอุดมคติหลายแบบ บางอันชัดเจน บางอันซ่อนอยู่ เช่น ยูโทเปียแบบเสรีนิยมสุดขั้วที่เชื่อว่าโลกที่สมบูรณ์แบบไร้การกดขี่สามารถเกิดขึ้นได้โดยอัตโนมัติ ยูโทเปียแบบศาสนา – โลกมีศูนย์กลางเดียว ผู้นำคนเดียว ยูโทเปียแบบเทคโนโลยี –เทคโนโลยีจะปลดปล่อยเราทุกคน

ปัญหาคือ อุดมคติเหล่านี้ตั้งอยู่บน “นามธรรม” ที่ไม่มีความเชื่อมโยงกับความเป็นจริง มันเบี่ยงเบนความสนใจของเราไปจากสิ่งที่จับต้องได้ และทำให้เราหมกมุ่นอยู่กับการพูดถึง “โลกสมบูรณ์แบบ” ที่ไม่มีวันเกิดขึ้นจริง

แทนที่จะลงทุนกับการเรียนรู้ ศึกษา และทดลองในแนวทางที่ใช้งานได้จริง ณ ปัจจุบัน หรือแนวทางที่เคยใช้ได้ผลมาแล้วนับพันปี ทั้งก่อนและหลังการเกิดขึ้นของอารยธรรมอุตสาหกรรม มนุษย์กลับมัวแต่จมอยู่กับแนวคิดเพ้อฝันว่าโลกควรจะเป็นอย่างไร

ถ้าเราต้องการซ่อมแซมวัฒนธรรมทางการเมืองของเรา เราต้องเริ่มจากการเอาชนะข้อบกพร่องเรื่อง “การขาดวิธีคิดแบบเป็นระบบ” นี้ให้ได้ก่อน เราต้องเข้าใจระบบหลักที่ครอบงำโลกในมุมมองแบบองค์รวม — เราต้องเข้าใจทั้งวิสัยทัศน์ วิธีการ และกระบวนการของมัน

เพราะถ้าเราไม่เข้าใจรากเหง้า เราก็ไม่สามารถปลูก “รากเหง้าของตัวเอง” ได้เลย