ความร้อนที่แผ่ปกคลุมตอนกลางของรัฐอลาสกา “อาจให้ความรู้สึกเหมือน 110 องศาฟาเรนไฮต์” ในรัฐที่ดวงอาทิตย์สามารถส่องแสงได้ตลอดทั้งวัน


พยากรณ์อุณหภูมิของวันที่ 16 มิถุนายนในรัฐอลาสกา โดย NOAA (องค์การบริหารมหาสมุทรและชั้นบรรยากาศแห่งชาติของสหรัฐฯ)

ในยามเย็นของฤดูร้อนที่แสงแดดจ้าในเมืองแฟร์แบงก์ รัฐอลาสกา เซียรา ซานติอาโกเฝ้าดูปรอทวัดอุณหภูมิพุ่งสูงขึ้น เธอเป็นนักอุตุนิยมวิทยาที่สำนักงานบริการสภาพอากาศแห่งชาติ และได้รับ “เกียรติ” อย่างน่าสงสัยในการออกประกาศเตือนภัยความร้อนอย่างเป็นทางการครั้งแรกของรัฐ ขณะที่อุณหภูมิคาดว่าจะพุ่งแตะช่วงกลาง 80 องศาฟาเรนไฮต์

แม้จะเป็นการแจ้งเตือนตามระบบราชการที่ไม่ค่อยปรากฏเป็นข่าวระดับประเทศ แต่นี่คือสัญญาณของการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่รวดเร็วในเมืองที่น้ำแข็งใต้ดินละลายจนถนนทรุด บ้านเรือนไม่มีเครื่องปรับอากาศ และอุณหภูมิสูงสุดในช่วงเวลานี้ของปีมักอยู่ที่ราว 70 องศาฟาเรนไฮต์ อลาสกากำลังร้อนขึ้นเร็วกว่าอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกมากกว่าสองเท่า

ในรัฐอลาสกาซึ่งในอดีตมักเผชิญภัยจากความหนาวเย็นมากกว่าความร้อน สำนักงานพยากรณ์อากาศในเมืองแฟร์แบงก์ซึ่งอยู่ห่างจากเส้นอาร์กติกเซอร์เคิลเพียง 120 ไมล์ในแนวตรง ไม่เคยมีตัวเลือกในการออกประกาศเตือนภัยความร้อนมาก่อน จนกระทั่งต้นเดือนนี้ที่การเตือนภัยประเภทดังกล่าวถูกเพิ่มเข้าไปในรายการแจ้งเตือนสาธารณะ “มันทำให้เราสามารถสื่อสารอันตรายลักษณะนี้ได้ตรงและชัดเจนยิ่งขึ้นเมื่อมันเกิดขึ้น” ซานติอาโกกล่าว

ความร้อนที่แผ่คลุมอลาสกาในครั้งนี้ไม่ถือว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนอย่างสิ้นเชิง อย่างน้อยในเชิงอุตุนิยมวิทยา หลังจากฤดูใบไม้ผลิที่เย็นผิดปกติ มวลความกดอากาศสูงที่เรียกว่า “อัปเปอร์เลเวลริดจ์” ได้ก่อตัวเหนือพื้นที่ตอนในของรัฐซึ่งเป็นรูปแบบที่พบได้บ่อยและทำให้อากาศร้อนกักตัวอยู่ในพื้นที่

บริเวณหุบเขาตอนกลางของรัฐมักจะมีอากาศแห้งและอุณหภูมิสูง ในวันศุกร์ อุณหภูมิพุ่งแตะ 82 องศาฟาเรนไฮต์ และในการแจ้งเตือนล่าสุดเมื่อวันอาทิตย์ ระบุว่าสภาพอากาศร้อนจัดจะคงอยู่จนถึงวันอังคาร โดยมีอุณหภูมิ “สูงสุดถึง 87–89 องศาฟาเรนไฮต์ บางพื้นที่อาจแตะ 90 องศา โดยเฉพาะในเขตยูคอนแฟลตส์”

“คนที่อยู่ในรัฐล่าง 48 อาจคิดว่าอุณหภูมิแบบนี้ไม่ได้รุนแรงอะไร แต่ที่นี่ มันให้ความรู้สึกเหมือน 110 องศาเลยทีเดียว” ซานติอาโกกล่าว

ในช่วงใกล้วันครีษมายัน (summer solstice) ที่มีแสงแดดเกือบ 22 ชั่วโมงต่อวัน ความร้อนในตอนกลางวันจะสะสมและคงอยู่ ไม่ใช่แค่ภายนอกเท่านั้น แต่ยังรวมถึงภายในบ้านด้วย บ้านเรือนส่วนใหญ่ในอลาสกาไม่เหมือนกับรัฐอื่นในแผ่นดินใหญ่ของสหรัฐฯ (Lower 48) เพราะถูกออกแบบมาเพื่อกักเก็บความร้อนในช่วงฤดูหนาวที่อุณหภูมิติดลบ ไม่ใช่เพื่อกันความร้อน ฉนวนกันความร้อนหนาๆ ที่ใช้เพื่อป้องกันความหนาวจึงกลับทำให้บ้านกลายเป็นเตาอบเมื่อเผชิญกับอากาศร้อนต่อเนื่อง ในยุโรปที่มีโครงสร้างพื้นฐานคล้ายกัน คลื่นความร้อนรุนแรงในปี 2003 เคยเผยให้เห็นถึงความเสี่ยงนี้ โดยมีผู้เสียชีวิตถึง 35,000 คน

นี่จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ประกาศเตือนภัยความร้อนฉบับใหม่นี้ของรัฐอลาสกามีความสำคัญ มันไม่ใช่แค่การรายงานสภาพอากาศทั่วไป แต่เป็นการเตือนภัยสำหรับรัฐที่ผู้คนส่วนใหญ่ยังไม่มีระบบรองรับหรือการรับมือกับอากาศร้อนแบบที่คนในที่อื่นๆ มี ไม่ว่าจะเป็นชานบ้านที่มีร่มเงา เครื่องปรับอากาศแบบศูนย์กลาง หรือแม้แต่การรู้จักสัญญาณของโรคลมแดด

การเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิที่รุนแรงและฉับพลันยังสร้างความท้าทายในตัวมันเองด้วย “ฉันเป็นคนเท็กซัสโดยกำเนิด” ซานติอาโกกล่าว “ฉันคุ้นกับฤดูร้อนที่ร้อนระอุจนพออุณหภูมิเหลือแค่เลข 50 (ฟาเรนไฮต์) ก็เริ่มใส่เสื้อกันหนาวแล้ว แต่พอมาอยู่อลาสกากลับใส่เดรสเดินในอุณหภูมินั้น”

แต่มันไม่ใช่แค่เรื่องของเสื้อผ้า เพราะร่างกายจะต้องมีการปรับตัวเมื่อเจอกับอุณหภูมิสูง เช่น ปริมาณเลือดจะเพิ่มขึ้นทำให้หัวใจสูบฉีดได้ดีขึ้นและลดภาวะเครียดจากความร้อน เหงื่อจะเริ่มออกเร็วขึ้น และออกมากขึ้นต่อจำนวนต่อมเหงื่อ แต่กระบวนการนี้มักใช้เวลาหนึ่งถึงสองสัปดาห์ของการสัมผัสกับอากาศร้อนจึงทำให้การเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิที่ฉับพลันเสี่ยงต่อสุขภาพมากขึ้น

สำนักงานที่ซานติอาโกทำงานอยู่ เช่นเดียวกับสำนักงานอื่นๆ ของกรมอุตุนิยมวิทยาแห่งชาติ (NWS) เพิ่งประสบปัญหาการลดพนักงานภายใต้นโยบายของรัฐบาลทรัมป์ มีพนักงานถูกปลดมากกว่า 560 คนทั่วประเทศ ส่งผลให้ความสามารถในการปฏิบัติงานลดลงประมาณหนึ่งในสาม และทำให้หลายสถานีขาดแคลนบุคลากรอย่างหนัก

สำนักงานแฟร์แบงก์ซึ่งเป็นผู้ประกาศเตือนภัยความร้อนครั้งแรกของรัฐต้องระงับการดำเนินงานในช่วงเวลากลางคืน “เรากำลังทำงานให้ดีที่สุดเท่าที่จะทำได้ด้วยทรัพยากรที่เรามี” ซานติอาโกกล่าว

การเริ่มต้นฤดูร้อนเร็วกว่าปกตินี้เกิดขึ้นหลังจากฤดูหนาวที่มีหิมะตกน้อยและเริ่มละลายเร็ว ทำให้เกิดความกังวลเรื่องฤดูไฟป่า การลดพนักงานยังส่งผลกระทบต่อหน่วยดับไฟป่าด้วย ทั้งในแง่ของความเชี่ยวชาญทางเทคนิคและจำนวนคนที่พร้อมทำงาน ขณะที่รัฐแคลิฟอร์เนียเพิ่งเปิดรับสมัครเจ้าหน้าที่ดับไฟเพิ่มเติมในสัปดาห์นี้เพราะกังวลเรื่องขีดความสามารถของรัฐบาลกลาง แต่ในอลาสกา กำลังพลดับไฟป่าส่วนใหญ่อยู่ภายใต้รัฐบาลกลางซึ่งนำไปสู่คำถามว่าเจ้าหน้าที่อย่างซานติอาโกที่ต้องเตรียมรับมือกับภัยพิบัติข้างหน้าจะมีทรัพยากรเพียงพอหรือไม่

เรียบเรียงจาก https://grist.org/extreme-heat/alaska-just-hit-a-climate-milestone-its-first-heat-advisory/?fbclid=IwQ0xDSwK9Ib1leHRuA2FlbQIxMQABHqO3qZlBpWYDej2N9Qbb_fJTZQBmKNhqiMxmX_2pl0aHbxVRB4-0AgL6Du8v_aem_saL4BfRiScYtipnVWt_d6g