แม้แต่ผู้ที่ตั้งใจดีก็ยังลงมือทำไม่มากพอต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มี 33 เหตุผลที่อธิบายความล้มเหลวนี้
เรียบเรียงจาก Robert Gifford is an environmental psychologist at the University of Victoria in Canada, “Road to Climate Hell”, NewScientist, 11 July, 2015.

ณ เวลานี้ คนส่วนใหญ่ที่มีเหตุมีผลต่างก็เข้าใจแล้วว่า พวกเขาเผาผลาญคาร์บอนมากเกินไปแต่คนกลุ่มเดียวกันนี้จำนวนมากก็ยังคงเผาผลาญคาร์บอนมากเกินไปอยู่ดี ยังคงมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่าง “มุมมอง” ของเราต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ กับ “การกระทำ” ที่เราทำเพื่อแก้ไขมัน น่าเสียดายที่สิ่งสำคัญคือ “การกระทำ” ไม่ใช่เพียงความรู้สึกหรือเจตนาดี
หลายคนได้เริ่มต้นทำอะไรบางอย่างในทางที่ถูกต้องแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม เราก็ยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกกันอยู่ บางครั้ง เราก็ไม่สามารถทำได้ดีไปกว่านี้จริง ๆ เช่น ไม่ใช่ทุกคนจะสามารถซื้อแผงโซลาร์เซลล์ได้ คนที่อยู่ชนบทไม่สามารถเดินทางด้วยรถไฟใต้ดินได้ และผู้ที่อยู่ในภูมิอากาศหนาวเย็นก็ไม่สามารถอยู่ได้หากไม่มีระบบทำความร้อน สิ่งเหล่านี้คือ “อุปสรรคเชิงโครงสร้าง” ซึ่งอยู่นอกเหนือการควบคุมของปัจเจกบุคคล
แต่สำหรับคนที่ไม่มีข้อจำกัดเหล่านี้ การเลือกใช้ชีวิตในแบบที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศก็ไม่ใช่เรื่องยาก กระนั้นก็ตาม เราก็ยังไม่ลงมือทำมากพอที่จะลดการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์และก๊าซเรือนกระจกอื่น ๆ อย่างจริงจัง
ทำไมถึงเป็นเช่นนั้น? อะไรที่ขัดขวางเราไม่ให้ลงมือทำ แม้กระทั่งสิ่งที่เราสามารถทำได้?
ไม่กี่ปีก่อน ผมเริ่มต้นศึกษาปัญหานี้ นักข่าวมักถามคำถามง่าย ๆ กับผมว่า “ถ้าคนมากมายกังวลเรื่องโลกร้อน แล้วทำไมพวกเขาไม่ทำอะไรมากกว่านี้?” ระหว่างการสนทนา ผมมักได้ยินคนพูดว่า “ผมกังวลนะเรื่องโลกร้อน…แต่…”
ในไม่ช้า ผมก็พบว่า อุปสรรคที่ขัดขวางการลงมือทำนั้น ไม่ได้เป็นเรื่องโครงสร้างทั้งหมด แต่เป็น “อุปสรรคทางจิตวิทยา” ซึ่งผมเรียกว่า “มังกรแห่งความเฉยเมย” (Dragons of Inaction)
ในตำนาน มังกรมีได้หลายรูปแบบ — มังกรในเอเชียอาจเป็นมิตร แต่ในฐานะชาวตะวันตก ผมเลือกใช้มังกรเป็นคำอุปมาเปรียบเปรย เพราะมังกรในวัฒนธรรมตะวันตกมักเป็นสิ่งที่ขัดขวางมนุษย์จากเป้าหมายหรือความปรารถนาบางอย่าง
อีกเหตุผลหนึ่งอาจอยู่ในรากศัพท์ของคำว่า “drag-on” ซึ่งสื่อถึง “แรงถ่วง” ที่ฉุดรั้งความก้าวหน้า เมื่อเริ่มมองหา เราจะพบมังกรมากมาย ผมได้ระบุ “มังกรแห่งความเฉยเมย” จำนวน 33 ตัว และจัดหมวดหมู่ไว้ใน 7 ตระกูลอันน่าเกรงขาม

ตระกูลมังกรที่หนึ่ง : การรับรู้ที่จำกัด (Limited Cognition)
มนุษย์ไม่ได้มีเหตุมีผลมากอย่างที่เคยเชื่อกัน และสิ่งนี้ก็เป็นความจริงเมื่อพูดถึงเรื่องการคิดเกี่ยวกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศ มังกรตระกูลนี้ซึ่งเป็นตระกูลที่ใหญ่ที่สุด ประกอบด้วยมังกร 10 สายพันธุ์โดยเริ่มจาก
1. สมองดึกดำบรรพ์ (Ancient brain)
สมองของมนุษย์แทบไม่เปลี่ยนแปลงเลยในช่วง 30,000 ปีที่ผ่านมา ในยุคโบราณ มนุษย์เรายังอาศัยอยู่ในทุ่งหญ้าสะวันนา โดยให้ความสำคัญกับคนใกล้ชิด อันตรายเฉพาะหน้า และทรัพยากรที่สามารถใช้ประโยชน์ได้ทันที แม้ในปัจจุบัน เราจะเรียนรู้ที่จะคิดถึงผู้อื่น ภัยคุกคามที่อยู่ไกลออกไป และทรัพยากรที่ต้องใช้เวลาในการแปรรูปมากขึ้น แต่สมองของเรายังคงมีแนวโน้มจะกลับไปสู่การคิดในกรอบ “ที่นี่-ตอนนี้” ซึ่งไม่สอดคล้องกับการให้ความสำคัญต่อผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ค่อยเป็นค่อยไปและดูเหมือนอยู่ไกลในอนาคต นี่ทำให้เราตอบสนองต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ช้า
2. ความไม่รู้ (Ignorance)
ความไม่รู้เป็นอุปสรรคต่อการลงมือทำใน 3 รูปแบบ (1)ไม่รู้ว่ามีวิกฤตสภาพภูมิอากาศเกิดขึ้นจริง (2)ไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรเมื่อเริ่มตระหนักถึงปัญหา (3)ได้รับข้อมูลที่ผิด
ปัญหาแรกกำลังลดลงเรื่อย ๆ แต่ความเข้าใจที่ถูกต้องยังตามหลังอยู่มาก ทีมของผู้เขียนทำการทดสอบความรู้เรื่องวิกฤตสภาพภูมิอากาศกับกลุ่มตัวอย่างชาวแคนาดา และพบว่าโดยเฉลี่ยพวกเขาตอบคำถามถูกเพียง 1.5 จาก 6 ข้อ
ปัญหาถัดมาคือการขาดความรู้ว่าควรลงมือทำอะไร จะลงมือทำสิ่งที่รู้นั้นได้อย่างไร และพฤติกรรมหรือการกระทำใดมีประโยชน์ต่อสภาพอากาศมากกว่ากัน
เรากำลังเข้าใจเรื่องเหล่านี้ดีขึ้น และในภาพรวมก็พอรู้ว่าควรทำอะไร อย่างไรก็ตาม เรายังต้องเรียนรู้อีกมาก ส่วนหนึ่งเพราะคำตอบไม่ได้เป็นสากลเสมอไป วิธีปฏิบัติที่ดีที่สุดในลอนดอน อาจไม่ใช่วิธีที่ดีที่สุดในแวนคูเวอร์ นอกจากนี้ คำตอบบางอย่างก็ไม่ชัดเจน เช่น เนื้อแกะจากนิวซีแลนด์ที่ส่งไปบริโภคในสหราชอาณาจักร มีคาร์บอนฟุตพรินต์น้อยกว่าเนื้อแกะที่เลี้ยงและบริโภคในสหราชอาณาจักรเอง และในยุคปัจจุบันผลิตภัณฑ์จำนวนมากมีองค์ประกอบที่ซับซ้อน ประกอบด้วยส่วนผสมหรือองค์ประกอบมากมาย และมีวัฏจักรชีวิตที่ซับซ้อน (หมายถึงผลิตภัณฑ์สมัยใหม่หลายชนิดที่เราบริโภคมีที่มา การผลิต และผลกระทบที่ซับซ้อนซึ่งส่งผลต่อการปล่อยคาร์บอน แต่ยากที่เราจะเข้าใจได้ทั้งหมด)
ประการที่สาม ความไม่รู้ยังเกิดจากความพยายามอย่างมีระบบและตั้งใจของกลุ่มผลประโยชน์ที่เกี่ยวข้องกับการผลิตและการใช้ก๊าซเรือนกระจก ที่ต้องการสร้างความคลางแคลงใจต่อวิทยาศาสตร์ด้านสภาพภูมิอากาศ
3. ความชินชากับเรื่องสิ่งแวดล้อม (Environmental numbness)
มังกรตัวนี้มีสองสายพันธุ์
สายพันธุ์แรก เกิดจากข้อเท็จจริงที่ว่า สภาพแวดล้อมของเรามีองค์ประกอบมากมายเกินกว่าที่มนุษย์จะรับรู้ได้ทั้งหมด เราจึงเลือกให้ความสนใจกับบางสิ่งเป็นพิเศษ บางครั้งเรามักสนใจสิ่งที่ “โดดเด่น” (salient) มากกว่า แม้สิ่งนั้นจะมีอันตรายน้อยกว่าสิ่งที่ไม่เด่นชัดแต่เป็นภัยมากกว่า เช่นเดียวกับเวลาที่เกิดอุบัติเหตุ
วิกฤตสภาพภูมิอากาศก็เช่นเดียวกัน สำหรับหลายคนมันคือภัยคุกคามที่ร้ายแรง แต่ไม่โดดเด่น เพราะยังไม่ส่งผลกระทบในชีวิตประจำวันโดยตรง เมื่อภัยไม่ปรากฏชัด ก็ยากที่จะกระตุ้นให้คนลงมือทำ
สายพันธุ์ที่สอง เกิดจากการถูกกระตุ้นซ้ำ ๆ จนด้านชา เมื่อผู้คนเห็นโฆษณาชิ้นเดิมซ้ำหลายครั้ง พวกเขาจะเริ่มชินและไม่สนใจ เช่นเดียวกัน หากได้ยินเรื่องโลกร้อนบ่อยเกินไป โดยเฉพาะเมื่อข้อความไม่มีความหลากหลาย ก็อาจทำให้เกิด “ภาวะด้านชา” ต่อสาร (message numbness)
ซึ่งส่งผลให้พฤติกรรมที่ควรช่วยแก้ปัญหานั้นค่อยๆ ลดลงหรือหมดไป
4. ความไม่แน่นอน (Uncertainty)
งานวิจัยหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า ความไม่แน่นอน — ทั้งที่เกิดขึ้นจริงและที่เกิดจากการรับรู้ — มีผลทำให้พฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเกิดขึ้นน้อยลง ตัวอย่างเช่น ในการทดลองที่ถามผู้เข้าร่วมว่าจะจับปลาจากมหาสมุทรสมมุติจำนวนเท่าไร พบว่า ยิ่งผู้เข้าร่วมรู้สึกไม่แน่ใจว่าปลาจะเหลืออยู่มากแค่ไหน พวกเขาก็ยิ่งเลือกจะจับปลาให้มากขึ้น กล่าวคือ มนุษย์มักตีความความไม่แน่นอนว่าเป็น “เหตุผลเพียงพอ” ที่จะเลือกกระทำเพื่อตัวเองเป็นหลัก
พฤติกรรมนี้ไม่ได้เกิดเฉพาะในการทดลองเท่านั้น แต่เกิดขึ้นจริงในโลกปัจจุบัน ในรายงานของ คณะกรรมการระหว่างรัฐบาลว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (IPCC) เมื่อปี 2007 นักวิทยาศาสตร์ใช้ถ้อยคำอย่างรอบคอบ เช่น “น่าจะเป็นไปได้” (likely) หรือ “มีแนวโน้มสูง”(very likely) เพื่อแสดงระดับความมั่นใจในข้อสรุปของพวกเขา แต่สิ่งนี้กลับทำให้หลายคน ตีความว่าความเสี่ยงต่ำกว่าที่ IPCC ต้องการจะสื่อจริงๆ
ผลที่ตามมาคือเราต้องเผชิญกับปัญหาที่ยุ่งยาก จะสื่อสารความน่าจะเป็นของผลลัพธ์ด้านภูมิอากาศอย่างตรงไปตรงมาได้อย่างไรโดยไม่ทำให้ผู้คนมองข้ามความรุนแรงของปัญหาซึ่งมักกลายเป็นข้ออ้างในการไม่ลงมือทำ
5. การมองข้ามหรือลดค่าภัยคุกคามในอนาคต (Discounting)
อคติทางจิตวิทยาที่เป็นที่รู้จักกันดีอย่างหนึ่งคือแนวโน้มที่มนุษย์มักประเมินค่าความเสี่ยงที่อยู่ห่างไกลทั้งในเชิงพื้นที่และเวลาต่ำกว่าความเป็นจริง สิ่งนี้เกิดขึ้นกับการรับรู้เรื่องวิกฤตสภาพภูมิอากาศเช่นกัน
ตัวอย่างเช่น ผู้เขียนและเพื่อนร่วมงานพบว่าพลเมืองใน 15 จาก 18 ประเทศเชื่อว่าสภาพแวดล้อมในประเทศอื่นแย่กว่าประเทศของตน แม้ว่าในบางกรณีอาจเป็นความจริง แต่แนวโน้มนี้ก็ยังเกิดขึ้นในสถานที่ที่คล้ายกันมาก เช่น หมู่บ้านในอังกฤษที่อยู่ห่างกันเพียงไม่กี่กิโลเมตร นอกจากนี้ ผู้คนยังมักลดค่าความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อมที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตอีกด้วย
การมองข้ามทั้งในเชิงพื้นที่ (ที่อื่นแย่กว่า) และเชิงเวลา (อนาคตค่อยแย่) ล้วนเป็นอุปสรรคต่อการลงมือทำเพื่อต่อสู้กับวิกฤตภูมิอากาศ เมื่อผู้คนคิดว่า “ปัญหามันอยู่ที่อื่น หรืออยู่ในอนาคต” แรงจูงใจในการลงมือทำก็ย่อมลดลง
6. อคติแบบมองโลกในแง่ดีเกินจริง (Optimism Bias)
โดยทั่วไปแล้ว การมองโลกในแง่ดีถือเป็นทัศนคติที่ดีและก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นประโยชน์ต่อบุคคลแต่หากมากเกินไปก็อาจส่งผลเสียได้ ตัวอย่างเช่น ผู้คนมักมองโลกในแง่ดีเกินจริงเกี่ยวกับโอกาสที่ตนจะมีชีวิตสมรสที่มีความสุขหรือหลีกเลี่ยงโรคภัยได้ ในลักษณะเดียวกันนี้ ผู้คนก็มักมองโลกในแง่ดีเกินไปเกี่ยวกับความเสี่ยงทางสิ่งแวดล้อม
7. การรับรู้ว่าตนไม่มีอำนาจในการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรม (Perceived Lack of Behavioural Control)
เนื่องจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นปัญหาที่ซับซ้อนและเกิดขึ้นในระดับโลก หลายคนจึงเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลย เพราะรู้สึกว่าพฤติกรรมของตน “ไม่มีผลกระทบ” ต่อปัญหา สิ่งนี้เกี่ยวข้องอย่างใกล้ชิดกับแนวคิดเรื่องโชคชะตา (Fatalism) ความรู้สึกว่า “ไม่มีใครทำอะไรได้” ไม่ว่าจะเป็นตัวเองหรือแม้แต่มวลมนุษยชาติ
8. อคติยืนยันความเชื่อเดิม (Confirmation Bias)
มนุษย์มักชอบฟังสิ่งที่ตอกย้ำว่าตนเองคิดถูก ดังนั้น ผู้คนจึงมีแนวโน้มจะเลือกอ่านหรือรับชมสื่อที่สอดคล้องกับความเชื่อของตน ผู้ที่ไม่เชื่อหรือสงสัยในวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศมักเลือกบริโภคสื่อที่สนับสนุนความเชื่อเหล่านั้น อคตินี้จึงกลายเป็นอุปสรรคต่อพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศอย่างร้ายแรง
9. เวลาเป็นเงิน (Time is Money)
การศึกษาหลายชิ้นแสดงให้เห็นว่า เมื่อผู้คนมองว่าเวลาของตนเองมี “มูลค่า” เป็นเงิน พวกเขามักไม่สนใจหรือหลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ดีต่อสิ่งแวดล้อม เพราะ “เงิน” เป็นสัญลักษณ์ของผลประโยชน์ส่วนตน เมื่อ “เวลา” ถูกผูกเข้ากับ “เงิน” สิ่งแวดล้อมก็มักถูกลดความสำคัญลง
10. การรับรู้ว่าตนไม่มีความสามารถ (Perceived Inability)
พฤติกรรมบางอย่างที่ดีต่อสภาพภูมิอากาศ อาจต้องใช้ความรู้ ความสามารถ หรือทักษะเพิ่มเติมบางคนไม่สามารถทำได้จริง ๆ เช่น ผู้ที่มีความพิการทางร่างกายแต่หลายคนที่มีความสามารถ เช่น การปั่นจักรยานหรือปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินกลับบอกว่าทำไม่ได้ ในหลายกรณี นี่เป็นข้ออ้างมากกว่าความไร้ความสามารถจริงๆ
ตระกูลมังกรที่สอง: อุดมการณ์ (Ideologies)
มังกรตระกูลนี้ประกอบด้วย “ระบบความเชื่อ” กว้างๆ 4 ประเภทที่ขัดขวางพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศ
11. โลกทัศน์ (World Views)
โลกทัศน์คือชุดของทัศนคติที่เชื่อมโยงกันอย่างเป็นระบบ และในบางกรณีก็รวมถึงมุมมองต่อปัญหาโลกร้อนด้วย ตัวอย่างเช่น ผู้ที่สนับสนุนทุนนิยมเสรี (free-enterprise capitalism) มักมีแนวโน้มที่จะไม่เชื่อในวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
แม้ว่าระบบทุนนิยมจะสร้างความสะดวกสบายให้กับผู้คนนับล้าน แต่บางแง่มุมของระบบนี้ เช่น ความเชื่อใน “เสรีภาพของทรัพยากรร่วม” (freedom of the commons) — ความคิดที่ว่าทรัพยากรธรรมชาติควรถูกใช้โดยใครก็ได้ — ได้ก่อให้เกิดความเสียหายต่อทรัพยากรทางทะเล ป่าไม้ และภูมิทัศน์ทั่วโลก
หากบุคคลมีผลประโยชน์ในเชิงการเงินหรือความผูกพันทางอารมณ์กับระบบทุนนิยม ก็จะยากที่จะยอมรับพฤติกรรมหรือการเปลี่ยนแปลงที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
12. พลังเหนือมนุษย์ (Suprahuman Powers)
บางคนเลือกที่จะไม่ทำอะไรเลยหรือทำเพียงเล็กน้อยเพราะเชื่อว่าพลังเหนือมนุษย์ — ไม่ว่าจะในเชิงศาสนาหรือแบบโลกวิสัย — จะดูแลทุกอย่างให้เองอยู่แล้ว เช่น ในการวิจัยโดยมหาวิทยาลัยเมลเบิร์นในออสเตรเลีย ที่สัมภาษณ์ชาวเกาะฟูนะฟูตี (Funafuti) ในประเทศตูวาลูกซึ่งกำลังเผชิญภัยจากระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้น นักวิจัยพบว่า ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ให้สัมภาษณ์ไม่รู้สึกกังวล โดยเชื่อว่า “พระเจ้าจะไม่ผิดสัญญาในคัมภีร์ไบเบิล ที่ว่าจะไม่ทำให้น้ำท่วมโลกอีก”
ในหมู่คนที่ไม่ยึดถือศาสนา ความเชื่อคล้ายกันก็ปรากฏ — เช่น ความเชื่อว่า Mother Nature จะดำเนินไปตามครรลองของมันเอง และมนุษย์ไม่อาจมีอิทธิพลใด ๆ ต่อมันได้อยู่ดี ผลลัพธ์ของความเชื่อทั้งสองแบบนี้คือการไม่ลงมือทำ หรือไม่รู้สึกว่าตนเองจำเป็นต้องมีบทบาทในการรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศ
13. ความหวังพึ่งพาเทคโนโลยี (Technosalvation)
นวัตกรรมทางเทคโนโลยีมีประวัติอันยาวนานและน่าชื่นชมในการยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แน่นอนว่าเทคโนโลยีสามารถเป็น “พันธมิตร” ที่สำคัญในการลดผลกระทบจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ — เช่น การที่ราคาของแผงโซลาร์เซลล์ลดลงอย่างมากในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา
อย่างไรก็ตาม บางคนเชื่อมากเกินไปว่าเทคโนโลยีสามารถแก้ปัญหาทุกอย่างที่เกี่ยวกับโลกร้อนได้ ความมั่นใจมากเกินไปเช่นนี้ กลับกลายเป็น อุปสรรคต่อพฤติกรรมที่ช่วยลดโลกร้อน เพราะทำให้ผู้คนรู้สึกว่า “ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนพฤติกรรมของตนเอง” — เทคโนโลยีจะจัดการให้หมด
14. การปกป้องระบบเดิม (System Justification)
นี่คือแนวโน้มทางจิตวิทยาที่ผู้คนมักจะปกป้องและหาข้ออ้างสนับสนุนระบบหรือสถานะที่เป็นอยู่ (status quo) เมื่อผู้คนมีวิถีชีวิตที่สะดวกสบาย พวกเขามักไม่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและที่สำคัญกว่านั้นคือ พวกเขาไม่อยากให้ “ใครก็ตาม” มาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตเหล่านั้น แต่การรับมือกับวิกฤตภูมิอากาศจำเป็นต้องมี “การปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่” ในระบบหลายด้าน
ผู้ที่มีแนวโน้มจะปกป้องระบบเดิมมักจะไม่ยอมรับการเปลี่ยนแปลงเหล่านี้ และมักจะออกมาโต้แย้งต่อต้าน ข่าวดีคือ หากเราสามารถนำเสนอว่า “มาตรการลดโลกร้อนเป็นส่วนหนึ่งของระบบเดิม” หรือสื่อสารให้เห็นว่า “ไม่ใช่การล้มระบบ” การต่อต้านจากกลุ่มนี้ก็อาจลดลงได้
ตระกูลมังกรที่สาม: การเปรียบเทียบทางสังคม (Social Comparison)
มนุษย์เป็นสัตว์สังคม การเปรียบเทียบสถานะของตนกับผู้อื่นคือพฤติกรรมที่ฝังแน่นลึกในธรรมชาติของเรา
มังกรตระกูลนี้มีทั้งหมด 3 สายพันธุ์ย่อย ได้แก่
15. การเปรียบเทียบกับผู้อื่น (Social Comparison)
ผู้คนมักเปรียบเทียบพฤติกรรมของตนกับผู้อื่นอยู่เสมอ เมื่อเราเปรียบเทียบตนเองกับคนที่เราชื่นชม เราก็มักโน้มเอียงที่จะเลียนแบบพฤติกรรมของพวกเขา แต่หากบุคคลนั้นมีมุมมองที่ปฏิเสธวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ เราก็อาจเชื่อตามว่า “ปัญหาโลกร้อนคงไม่ร้ายแรงขนาดนั้น” ซึ่งกลายเป็นอุปสรรคต่อการลงมือทำอย่างชัดเจน
16. บรรทัดฐานทางสังคมและเครือข่าย (Social Norms and Networks)
บรรทัดฐาน (norms) คือสิ่งที่เรารับรู้ว่าเป็น “แนวทางปฏิบัติที่เหมาะสม” บรรทัดฐานทางสังคมสามารถเป็นแรงผลักดันเชิงบวกที่ทรงพลังในการแก้ปัญหาโลกร้อน แต่ก็อาจกลายเป็นอุปสรรคได้
เครือข่ายทางสังคมมีบทบาทในการสร้างและบังคับใช้บรรทัดฐานอย่างไม่เป็นทางการ หากในเครือข่ายมีบรรยากาศของความลังเลหรือไม่เชื่อมั่นในวิกฤตภูมิอากาศ มังกรแห่งความเฉยเมยก็จะครองพื้นที่นั้นได้ง่าย แต่อีกด้านหนึ่ง บรรทัดฐานก็สามารถเปลี่ยนไปในทางบวก
ตัวอย่างในสหรัฐอเมริกาพบว่า ในบางชุมชน ความใกล้ชิดระหว่างบ้านในเครือข่ายช่วยอธิบายได้ว่าทำไม 16% ของครัวเรือนติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยระดับประเทศที่อยู่เพียง 1%
17. ความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม (Perceived Inequity)
ผู้คนมักใช้ “ความรู้สึกว่าไม่เป็นธรรม” เป็นข้ออ้างในการไม่ลงมือทำ เช่น “ทำไมฉันต้องเปลี่ยน ถ้าคนอื่นไม่เปลี่ยน?” โดยเฉพาะมักอ้างถึง “ประเทศอื่น” หรือ “บุคคลมีชื่อเสียง” ที่ดูเหมือนไม่ให้ความร่วมมือ ข้ออ้างนี้สะท้อนจากผลการทดลองเชิงพฤติกรรมที่พบว่าเมื่อมีความไม่เท่าเทียมกัน (ไม่ว่าจะจริงหรือรู้สึกไปเอง) ระดับความร่วมมือของผู้คนจะลดลงอย่างมีนัยสำคัญ
มังกรตระกูลที่สี่ – ต้นทุนที่สูญเปล่า (Dragon Family Four: Sunk Costs)
มนุษย์มักชอบลงทุนกับสิ่งที่ทำให้ชีวิตสะดวกสบายและคาดเดาได้มากขึ้น บางสิ่งที่เราซื้อนั้นอาจเอื้อต่อพฤติกรรมเชิงบวกต่อสภาพภูมิอากาศ แต่หลายอย่างกลับไม่เป็นเช่นนั้น
มังกรตระกูลนี้มีทั้งหมด 4 สายพันธุ์ย่อย
18. การลงทุนทางการเงิน (Financial Investments)
เมื่อเราลงทุนกับสิ่งใดแล้ว การถอนตัวเพื่อเหตุผลด้านสิ่งแวดล้อมมักเป็นเรื่องยาก ตัวอย่างชัดเจนคือ การเป็นเจ้าของรถยนต์ เมื่อเราซื้อรถและต้องจ่ายค่าประกัน ค่าบำรุงรักษา ฯลฯ ก็ยากที่จะละทิ้งมัน
ยิ่งไปกว่านั้น หากใครทำงานหรือมีผลประโยชน์ทางการเงินในอุตสาหกรรมน้ำมันหรือถ่านหินการยอมรับว่าเชื้อเพลิงเหล่านี้ทำลายสิ่งแวดล้อมอาจสร้าง “ความขัดแย้งในใจ” (cognitive dissonance)
วิธีที่ง่ายที่สุดในการลดความขัดแย้งนี้ก็คือเปลี่ยนความเชื่อ (“เผาเชื้อเพลิงก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร”) แทนที่จะเปลี่ยนพฤติกรรม (เช่น เลิกลงทุนในอุตสาหกรรมนั้น)
19. ความเคยชิน (Habit)
นักจิตวิทยาผู้บุกเบิก William James กล่าวไว้ในปี 1890 ว่า “นิสัยเป็นฟลายวีลยักษ์ของสังคม” คือแรงหมุนที่ทำให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง
ในบริบทของวิกฤตภูมิอากาศ นิสัยสามารถทำให้เราทำพฤติกรรมที่ทำลายสิ่งแวดล้อมโดยไม่รู้ตัว เช่น การกินเนื้อ การขับรถ หรือการเปิดแอร์ทั้งวัน
แน่นอนว่า นิสัยเชิงบวกต่อสภาพอากาศ ก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน แต่ปัญหาคือ พฤติกรรมที่ทำซ้ำแล้วซ้ำเล่ามัก “ดื้อดึง” ต่อการเปลี่ยนแปลง
นักพฤติกรรมศาสตร์บางคนจึงใช้คำว่า “แรงเฉื่อยทางพฤติกรรม” (behavioral momentum) แทนคำว่านิสัย ซึ่งอธิบายได้ดีว่า ทำไมการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เช่น เลิกขับรถ จึงทำได้ยากมาก
20. เป้าหมาย ค่านิยม และแรงบันดาลใจที่ขัดแย้งกัน (Conflicting Goals, Values, and Aspirations)
ทุกคนมีหลายเป้าหมายในชีวิตและไม่ใช่ทุกเป้าหมายจะสอดคล้องกับการลดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ ความใฝ่ฝันที่จะ “ประสบความสำเร็จ” มักหมายถึงพฤติกรรมที่ขัดแย้งกับเป้าหมายทางสภาพอากาศ เช่น การซื้อบ้านหลังใหญ่ การท่องเที่ยวต่างประเทศ หรือซื้อรถยนต์คันใหม่
แม้คนส่วนใหญ่จะบอกว่า “วิกฤตสภาพภูมิอากาศสำคัญ” แต่เมื่อถูกขอให้จัดอันดับเปรียบเทียบกับปัญหาอื่น ๆ — มันก็มักตกไปอยู่ท้ายแถวเสมอ
ผลสำรวจจาก Pew Research Center พบว่า 80% ของชาวอเมริกันเห็นว่าโลกร้อนเป็น “ปัญหาสำคัญ” แต่เมื่อจัดอันดับความสำคัญเทียบกับอีก 19 ปัญหา มันกลับ อยู่ลำดับที่ 20 จาก 20
21. ความผูกพันกับสถานที่ (Place Attachment)
โดยทั่วไป คนจะมีแนวโน้มใส่ใจและดูแลสถานที่ที่ตนรู้สึกผูกพันด้วย แต่การไม่มีความผูกพันกับสถานที่ก็ทำให้ความสนใจต่อประเด็นโลกร้อนลดลง ในทางกลับกัน ความผูกพันที่มากเกินไป ก็กลายเป็นอุปสรรค ตัวอย่างเช่น การคัดค้านกังหันลมในชุมชนของตัวเอง (NIMBY: Not In My Backyard) แม้ว่ามันจะช่วยลดคาร์บอนได้ก็ตาม
มังกรตระกูลที่ห้า – ความไม่เชื่อถือ (Dragon Family Five: Discredence)
เมื่อผู้คนมีทัศนคติเชิงลบต่อผู้อื่น พวกเขามักจะไม่เชื่อสิ่งที่ผู้นั้นพูด หรือไม่ยอมรับคำแนะนำจากพวกเขา ความไม่เชื่อถือนี้มีได้หลายรูปแบบ โดยมังกรตระกูลนี้มี 4 สายพันธุ์ย่อย:
22. ความไม่ไว้วางใจ (Mistrust)
“ความไว้วางใจ” คือหัวใจสำคัญของความสัมพันธ์ที่ดี หากประชาชนไม่ไว้วางใจนักวิทยาศาสตร์หรือเจ้าหน้าที่รัฐ ย่อมเกิดแรงต้านในหลายรูปแบบ มีหลักฐานชัดเจนว่า ผู้คนจำนวนมากไม่ไว้วางใจข้อความที่มาจากนักวิทยาศาสตร์หรือรัฐบาล เมื่อความเชื่อใจสั่นคลอน โอกาสที่จะเกิดพฤติกรรมเชิงบวกย่อมลดลงตามไปด้วย
23. การรับรู้ว่าโครงการไม่เพียงพอ (Perceived Programme Inadequacy)
ผู้กำหนดนโยบายได้ออกแบบโครงการมากมายเพื่อส่งเสริมพฤติกรรมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมแต่โครงการเหล่านี้ส่วนใหญ่ “สมัครใจ” เช่น การให้เงินคืนเมื่อซื้อฉนวนกันความร้อน หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน ดังนั้น ผู้คนจึงมีสิทธิเลือกว่าจะเข้าร่วมหรือไม่ และหลายครั้งพวกเขาตัดสินใจว่า “ไม่คุ้มที่จะทำ”
24. การปฏิเสธ (Denial)
เมื่อเกิดความไม่แน่ใจ ความไม่ไว้ใจหรือรู้สึกว่า “เสียของเก่า” (เช่น การลงทุนในคาร์บอน) ผู้คนอาจเข้าสู่ภาวะ “ปฏิเสธ” อย่างเต็มตัว รูปแบบของการปฏิเสธ เช่น ปฏิเสธว่าโลกร้อนกำลังเกิดขึ้น หรือยอมรับว่าโลกร้อนมีอยู่จริง แต่ ไม่เชื่อว่าเป็นผลจากมนุษย์ ในหลายประเทศ กลุ่มคนที่ปฏิเสธเช่นนี้ยังคงเป็น “ชนกลุ่มน้อยจำนวนมาก” และมักแสดงความเห็นอย่างแข็งกร้าว
ตัวอย่างหนึ่งคือคอมเมนต์จากผู้อ่านหนังสือพิมพ์เกี่ยวกับงานวิจัยของนักจิตวิทยาสิ่งแวดล้อมว่า “ก็แน่อยู่แล้ว พวกนักจิตวิทยาก็แค่พยายามล้างสมองคนให้เชื่อเรื่องไร้สาระที่เรียกว่า ‘เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’”
25. การต่อต้านแบบสวนกลับ (Reactance)
“ความไม่ไว้ใจ” และ “การปฏิเสธ” มักนำไปสู่ภาวะที่นักจิตวิทยาเรียกว่า “Reactance” หรือการตอบสนองโดย ต่อต้านสิ่งที่รู้สึกว่าคุกคามเสรีภาพของตน แน่นอนว่าบางสถานการณ์ควรเกิดการต่อต้าน แต่ วิกฤตสภาพภูมิอากาศไม่ใช่หนึ่งในนั้น ปัญหาคือ reactance ไม่ได้แค่ทำให้คน นิ่งเฉย แต่ยังอาจผลักให้พวกเขา ทำสิ่งที่เป็นอันตรายยิ่งกว่าเดิม เช่น สนับสนุนการเผาเชื้อเพลิงเพิ่มขึ้น หรือวิจารณ์อย่างรุนแรงต่อนโยบายสีเขียว
มังกรตระกูลที่หก — ความเสี่ยงที่รับรู้ได้ (Dragon Family Six: Perceived Risk)
การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมักมีความเสี่ยง แล้วคนที่คิดจะเปลี่ยนพฤติกรรมให้เป็นมิตรต่อสภาพภูมิอากาศต้องเผชิญกับความเสี่ยงอะไรบ้าง?
มังกรตระกูลนี้มี 6 สายพันธุ์ที่สะท้อนถึงความเสี่ยงที่ผู้คนรู้สึกหรือรับรู้
26. ความเสี่ยงด้านการใช้งาน (Functional Risk)
“มันจะเวิร์กไหม?” เช่น หากซื้อรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งเป็นเทคโนโลยีใหม่ ผู้คนอาจกังวลว่าจะใช้งานได้ดีหรือไม่ ความกังวลแบบนี้เกิดขึ้นกับเทคโนโลยีสีเขียวหลายชนิด — ผู้คนลังเลเพราะกลัวว่าอาจใช้งานไม่ได้ตามที่คาดหวัง
27. ความเสี่ยงทางกายภาพ (Physical Risk)
การเปลี่ยนแปลงบางอย่างอาจมีความเสี่ยงทางกาย หรือ “ดูเหมือน” ว่าจะเสี่ยง ตัวอย่างเช่น การปั่นจักรยานซึ่งแทบไม่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกหลังผลิตแล้ว แต่ก็มีโอกาสเกิดอุบัติเหตุสูง จนทำให้หลายคนต้องไปโรงพยาบาล ความกังวลนี้อาจทำให้คนลังเลที่จะเลือกทางเลือกที่ปลอดคาร์บอน
28. ความเสี่ยงทางการเงิน (Financial Risk)
ทางเลือกที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหลายอย่างต้องใช้เงินลงทุนเริ่มต้นสูง เช่น ติดตั้งแผงโซลาร์เซลล์ หรือซื้อรถไฟฟ้า ผู้คนจึงตั้งคำถามว่า จะคืนทุนเมื่อไหร่? ถ้าต้องย้ายบ้าน จะคุ้มไหม? ส่วนต่างราคาของรถไฟฟ้ากับรถธรรมดาคุ้มค่าหรือเปล่า?
29. ความเสี่ยงทางสังคม (Social Risk)
พฤติกรรมของเราหลายอย่างอยู่ภายใต้สายตาผู้อื่น การตัดสินใจเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมอาจทำให้เราถูกวิจารณ์หรือมองว่า “แปลก” เช่น จะถูกมองว่าแปลกไหมถ้าขี่จักรยาน? ถ้าเป็นวีแกนล่ะ? ถ้าใช้มือถือเครื่องเก่าต่อไป?
30. ความเสี่ยงทางจิตวิทยา (Psychological Risk)
ความเสี่ยงนี้คล้ายกับความเสี่ยงทางสังคม แต่อยู่ในระดับลึกกว่า ถ้าเราถูกล้อเลียน วิจารณ์ หรือรังแกจากการกระทำเพื่อสิ่งแวดล้อมอาจกระทบต่อความมั่นใจในตนเองและคุณค่าในตัวเองแม้จะเกิดไม่บ่อย แต่ก็เป็นสิ่งที่หลายคนกลัว
31. ความเสี่ยงด้านเวลา (Temporal Risk)
อีกหนึ่งความกลัวคือ: “ถ้าลงมือทำแล้วเสียเวลาเปล่าล่ะ?” เช่น ใช้เวลาหาข้อมูลว่าจะติดโซลาร์ดีไหม ซื้อรถไฟฟ้าดีไหม ปั่นจักรยานไปทำงานดีไหม แต่ถ้าผลลัพธ์ไม่เป็นอย่างที่หวังทั้งในแง่เงิน สุขภาพ หรือผลกระทบต่อโลกร้อน ผู้คนอาจรู้สึกว่า เสียเวลาเปล่าและตัดสินใจไม่ทำอะไรเลย
มังกรตระกูลที่เจ็ด — พฤติกรรมที่จำกัด (Dragon Family Seven: Limited Behaviour)
พวกเราส่วนใหญ่มีพฤติกรรมบางอย่างเพื่อช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก แม้จะเป็นเพียงขั้นต้น แต่ก็ถือว่าเป็นการเริ่มต้นที่ดี อย่างไรก็ตาม พวกเรายังสามารถทำได้มากกว่านี้
มังกรตระกูลนี้ดูเหมือนไม่อันตรายเท่าตัวอื่น ๆ แต่ก็เป็นอุปสรรคเงียบในการลงมือทำ มีอยู่ 2 สายพันธุ์หลัก:
32. การทำเพื่อสัญลักษณ์ (Tokenism)
พฤติกรรมบางอย่างที่เกี่ยวข้องกับการช่วยโลกร้อนนั้นทำได้ง่ายแต่แทบไม่มีผลกระทบต่อการลดก๊าซเรือนกระจก เช่น การนำถุงผ้าไปซื้อของ แม้เป็นเรื่องดี แต่พฤติกรรมเหล่านี้กลับกลายเป็น “ทางเลือกยอดนิยม” เพราะทำง่ายและต้นทุนต่ำ ในขณะที่พฤติกรรมที่มีผลกระทบมากกว่า เช่น การเลิกใช้รถส่วนตัว การเปลี่ยนมากินมังสวิรัติหรือวีแกน กลับถูกมองข้ามเพราะเปลี่ยนยากกว่า แม้เช่นนั้น พฤติกรรมเล็กน้อยเหล่านี้อาจเป็น “ประตูสู่พฤติกรรมที่มีผลกระทบมากกว่า” หากมีการต่อยอดอย่างเหมาะสม
33. ผลสะท้อนกลับ (The Rebound Effect)
หลังจากที่เราทำสิ่งดี ๆ เพื่อสิ่งแวดล้อม ผลลัพธ์ที่ได้มักจะถูกลบล้างด้วยพฤติกรรมอื่นในภายหลัง เช่น คนที่ซื้อรถประหยัดน้ำมัน อาจขับรถมากขึ้นกว่าเดิม เพราะคิดว่า “ขับเยอะก็ยังประหยัดอยู่ดี” ผลคือ การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ควรเกิดขึ้นกลับหายไปหรือแย่กว่านั้นอาจทำให้ปล่อยก๊าซมากกว่าเดิม
ก้าวต่อไป
เรารู้จัก “มังกรแห่งความเฉยเมย” ทั้ง 33 ตัวแล้ว — แล้วเราจะปราบพวกมันได้หรือไม่? จะทำอย่างไรกับกองทัพที่น่ากลัวนี้?
ก่อนอื่น อุปสรรคเชิงโครงสร้างควรถูกขจัดด้วยกลไกอย่างเช่น กฎหมายและการปรับปรุงผังเมือง แต่เพียงเท่านี้ยังไม่เพียงพอ คุณสามารถเริ่มต้นเองได้ด้วย
ระบุว่า “มังกรตัวใด” คืออุปสรรคหลักในตัวคุณ แค่รู้จักก็เป็นจุดเริ่มต้นของการ “ปราบ” แล้ว มองหาโอกาสในการเข้าร่วมและส่งเสริมเครือข่ายทางสังคม ที่ช่วยกระจายพฤติกรรมเชิงบวกต่อสภาพภูมิอากาศ ในอีกด้านหนึ่ง นักวิจัยทั้งสายสังคมศาสตร์และเทคโนโลยี โดยเฉพาะเมื่อร่วมมือกัน ต้องดำเนินการเพิ่มเติม เช่น
ทำความเข้าใจให้ลึกขึ้นว่า ผู้คนจะเอาชนะอุปสรรคทางจิตวิทยาได้อย่างไร พัฒนาเครื่องมือที่แม่นยำขึ้นในการวัดคาร์บอนฟุตพริ้นต์ของพฤติกรรมแต่ละอย่างเพื่อให้คนรู้ว่าควรลงแรงตรงไหน ให้การยกย่องและตอบแทนกับคนที่ทำเต็มที่อยู่แล้ว คนที่แบกภาระแทนพวกเราอยู่เงียบ ๆ ผมเรียกพวกเขาอย่างรักใคร่ว่า “ล่อบรรทุก” (mules) ยอมรับและสนับสนุนคนอีกกลุ่ม ผมเรียกพวกเขาว่า “ผึ้งน้ำหวาน” (honeybees) ที่มีพฤติกรรมดีต่อสภาพภูมิอากาศแม้ไม่ได้ตั้งใจ เช่น คนที่ปั่นจักรยานเพื่อสุขภาพ หรือคนที่เลือกไม่มีลูก และสุดท้าย เราต้องเข้าใจให้มากขึ้นว่าเหตุใดบางคนจึงต่อต้านนโยบายหรือเทคโนโลยีที่ช่วยลดวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
“มังกรแห่งความเฉยเมย” นั้นสามารถปราบได้ แม้อาจใช้เวลานาน และอาจไม่มีวันสำเร็จโดยสมบูรณ์ แต่เราต้องลงมือเดี๋ยวนี้ เพราะเราอาจไม่มีเวลาเหลืออีก 4 หรือ 5 ทศวรรษ เพื่อหยุดยั้งการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างไร้ขีดจำกัด และพาโลกกลับสู่สมดุลของภูมิอากาศอีกครั้ง
