หากไม่มีการรณรงค์(Campaigning) การผลักดันเชิงนโยบาย(Advocacy) การเคลื่อนไหวทางสังคม(Activism) โลกที่เราอยู่อาจจะโหดร้าย ไร้อิสรภาพ เหลื่อมล้ำ และไม่ยั่งยืนยิ่งกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างไม่ต้องสงสัย ทั้งสามสิ่งนี้เป็นหนทางที่ยอดเยี่ยมในการมีส่วนร่วมกับโลก แต่สามสิ่งนี้มีความต่างกัน และการเข้าใจความแตกต่างนี้เป็นสิ่งสำคัญ

โดยเฉพาะถ้าเราเป็นนักรณรงค์แล้วเข้าใจผิดว่าหน้าที่ของเราคือการทำงานด้านการผลักดันเชิงนโยบาย(Advocacy) หรือการเคลื่อนไหว(Activism) อาจทำให้ความพยายามที่ดีที่สุดของเราไม่ประสบผลสำเร็จ

นี่คือคำจำกัดความเพื่อช่วยแยกความหมายของแต่ละคำ

  • การรณรงค์ (Campaigning) — การทำความเข้าใจพลวัตของอำนาจและการเปลี่ยนแปลงมันเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ
  • การผลักดันเชิงนโยบาย (Advocacy) — การนำเสนอข้อเสนอหรือเหตุผลเพื่อสนับสนุนข้อเสนอใดข้อเสนอหนึ่ง
  • การเคลื่อนไหวทางสังคม (Activism) — การลงมือทำในประเด็นหรือหัวข้อที่เราให้ความสำคัญ

มีนักรณรงค์จำนวนไม่น้อย หรือมีองค์กรจำนวนไม่น้อยที่มีเป้าหมายที่ต้องใช้การรณรงค์เพื่อให้สำเร็จ แต่แผนงานหรือวิธีการอธิบายงานของพวกเขากลับตรงกับความหมายของการผลักดันเชิงนโยบายหรือการเคลื่อนไหวมากกว่า

เราทุกคนล้วนเป็นนักเคลื่อนไหว

การลงชื่อในคำร้ข้อเรียก เขียนจดหมาย เข้าร่วมกิจกรรมต่างๆ ร่วมชุมนุมและประท้วง บริจาคให้กับประเด็นต่างๆ เมื่อทำสิ่งเหล่านี้ เราก็กำลังเป็นนักเคลื่อนไหวอยู่ คนที่ออกมารวมตัวกันจำนวนมากเพื่อเดินขบวน—พวกเขาก็คือนักเคลื่อนไหว และเราจำเป็นต้องมีพวกเขา เพราะหากไม่มีนักเคลื่อนไหว นักรณรงค์จะมีข้อจำกัดอย่างมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเรามักต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากสาธารณะต่อข้อเรียกร้องของเรา

แต่เมื่อเราเป็นนักเคลื่อนไหวในประเด็นใดประเด็นหนึ่ง เราไม่จำเป็นต้องมีแผนที่ชัดเจนว่าจะทำอะไรเพื่อขับเคลื่อนประเด็นนั้น เราลงมือทำตามสัญชาตญาณ ทำในสิ่งที่เราคิดว่าถูกต้อง และทำตามการนำของคนอื่น

แต่หากเราเป็นนักรณรงค์ หน้าที่(หรืออย่างน้อยก็เป็นบทบาท) ของเราคือต้องทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน เราต้องปรับเปลี่ยนพลวัตของอำนาจเพื่อสร้างการเปลี่ยนแปลงนั้นขึ้นมา นักรณรงค์อาจตัดสินใจว่าต้องมีการเดินขบวน เพราะมองว่ามันเป็นหนึ่งในยุทธวิธีที่สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่วางไว้เพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่กำหนดไว้ ส่วน “นักเคลื่อนไหว” จะเข้าร่วมการเดินขบวนนั้นเพราะเชื่อในประเด็นและต้องการสนับสนุน แต่ไม่ได้จำเป็นต้องเข้าใจกลไกว่าการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นได้อย่างไรในท้ายที่สุด หรือแม้แต่การเปลี่ยนแปลงนั้นคืออะไรอย่างเฉพาะเจาะจง

นี่ไม่ใช่การวิจารณ์การเคลื่อนไหวแต่อย่างใด อย่างที่ได้กล่าวไป เราต่างเป็นนักเคลื่อนไหวและภูมิใจกับมัน เพราะหากไม่มีนักเคลื่อนไหว กิจกรรมที่ต้องอาศัยการมีส่วนร่วมจากสาธารณะจะล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง แต่ถึงแม้ว่าการรณรงค์จะเป็นรูปแบบหนึ่งของการเคลื่อนไหว การเคลื่อนไหวก็ไม่จำเป็นต้องเป็นการรณรงค์เสมอไป

วิธีที่พบบ่อยที่สุดที่ทำให้นักรณรงค์กลายเป็นเพียงนักเคลื่อนไหว คือเมื่อพวกเขาไม่พัฒนาวัตถุประสงค์ที่ชัดเจนหรือกลยุทธ์เพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์นั้น ผลลัพธ์ที่ได้ก็แค่ “ทำอะไรบางอย่าง” ใช้ยุทธวิธีที่อาจจะช่วยหรือไม่ช่วยประเด็นของตนก็ได้ มันอาจดูเหมือนการรณรงค์ แต่ในความเป็นจริงแล้วเป็นเพียงการลองใช้ยุทธวิธีต่างๆ โดยไม่ได้พิจารณาว่าจะสร้างและขยับพลวัตรของอำนาจอย่างไร

การเคลื่อนไหวที่ดีย่อมเอาชนะการรณรงค์ที่ห่วยได้

การเคลื่อนไหวหรือการรณรงค์ไม่ได้มีสิ่งใดเหนือกว่าอีกสิ่งหนึ่ง เพียงแค่แตกต่างกันเท่านั้น ที่จริงแล้ว การเคลื่อนไหวที่ดียังอาจสร้างการเปลี่ยนแปลงได้มีประสิทธิภาพกว่าการรณรงค์ที่ย่ำแย่เสียอีก

การมีเป้าหมายที่ชัดเจนและมีกลยุทธ์ที่อธิบายได้อย่างดีเพื่อให้บรรลุเป้าหมายนั้น ไม่ได้หมายความว่ากลยุทธ์เหล่านั้นจะเป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุด หรือว่ายุทธวิธีที่เลือกมาจะถูกนำไปปฏิบัติได้ดี หรือแม้กระทั่งว่าเป้าหมายนั้นจะเหมาะสมเสมอไป การกำหนดเป้าหมายหรือกลยุทธ์ผิดตั้งแต่แรก อาจกลายเป็นกับดักที่ทำให้การรณรงค์ของเราล้มเหลวตั้งแต่เริ่มต้น

ในทางกลับกัน นักเคลื่อนไหวที่ลงมือทำสิ่งต่างๆ โดยอาศัยสัญชาตญาณและความรู้สึก อาจได้ผลลัพธ์ที่มีประสิทธิภาพกว่าการรณรงค์ หากการเลือกว่าจะทำอะไรและทำอย่างไรนั้นบังเอิญตรงจุดพอดี

แน่นอนว่า เราไม่อยากต้องเลือกระหว่างการเคลื่อนไหวที่ดีกับการรณรงค์ที่ย่ำแย่ ในฐานะนักรณรงค์ เราต้องการทำให้เกิดการรณรงค์ที่ยอดเยี่ยมซึ่งต้องพึ่งพา “โชค” น้อยลงด้วยการมีเป้าหมายและกลยุทธ์ที่ชัดเจนและเหมาะสมกับการรณรงค์นั้น

การผลักดันเชิงนโยบายคือหนึ่งในกลยุทธ์

นักรณรงค์ยังคงต้องทำงานด้านการผลักดันเชิงนโยบาย แต่ควรมองพิจารณาว่ามันเป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ที่ใช้ ไม่ค่อยมีการรณรงค์ใดที่เราจะไม่พยายามพูดคุยโดยตรงกับเป้าหมายของเรา—จริงๆ แล้ว การไม่พยายามพูดคุยเลยอาจเป็นความเสี่ยง เพราะเป้าหมายอาจมองว่าเรายืนหยัดแบบถอนรากถอนโคนเกินไป ไม่พร้อมที่จะพูดคุยหรือรับฟังมุมมองของเขา

นอกจากนี้ การผลักดันต่อ “เป้าหมายรอง” เพื่อให้เขาสนับสนุนการรณรงค์ของเราในลักษณะที่กล่าวไว้ตอนท้ายของส่วนก่อนหน้านี้ ก็เป็นสิ่งที่คุ้มค่าและอาจเป็นหนึ่งในวิธีการเพื่อขับเคลื่อนให้บรรลุเป้าหมายการรณรงค์

แต่นั่นก็เป็นเพียง “กลยุทธ์” หนึ่งเท่านั้น เป็นเพียงส่วนหนึ่งจากหลายสิ่งที่เราต้องทำเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง และเพื่อบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้

ผพมีตัวอย่างหนึ่งคือ นักรณรงค์ขององค์กรไม่แสวงหากำไรแห่งหนึ่งเข้าพบธนาคารและบอกว่าธนาคารจำเป็นต้องปรับนโยบายให้สอดคล้องกับความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ นักรณรงค์ใช้เวลาหลายวันค้นคว้าและเขียนเอกสารสรุป นำเสนอตัวอย่างแนวปฏิบัติที่ดีที่สุดของธนาคารจากทั่วโลก และจัดกรอบข้อเสนอเชิงนโยบายให้อยู่บนพื้นฐานของวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศและเศรษฐศาสตร์พลังงานล่าสุด

ธนาคารไม่ได้โต้แย้งข้อเสนอของนักรณรงค์ผู้นั้นเลย แต่คำตอบของพวกเขาประมาณว่า “นโยบายคุณดีนะ… แต่ลองกลับมาพร้อมพลังหน่อย” ไม่ใช่ถ้อยคำตรงตัว แต่เป็นความหมายที่สื่อออกมา และเหมือนคำพูดที่มักถูกอ้างถึงของแฟรงกลิน ดีลาโน รูสเวลต์ ประธานาธิบดีสหรัฐ “ฉันเห็นด้วยกับคุณ ฉันอยากทำสิ่งนั้น ตอนนี้ทำให้ฉันต้องทำมัน”

บางครั้ง แม้แต่เมื่อเป้าหมายหลักเห็นด้วยกับเราแล้ว ก็อาจยังไม่เพียงพอที่จะทำให้การรณรงค์ของเราประสบชัยชนะ

นักรณรงค์มีแผนการและกำลังเปลี่ยนแปลงพลวัตรแห่งอำนาจ

จำไว้ว่า การรณรงค์คือการเข้าใจพลวัตของอำนาจและปรับเปลี่ยนมันเพื่อให้บรรลุผลลัพธ์ที่ต้องการ เพื่อให้ประสบผลสำเร็จ เราต้องการมากกว่าการมีเหตุผลที่ยอดเยี่ยมและข้อโต้แย้งที่น่าเชื่อ เราจำเป็นต้องเปลี่ยนพลวัตของอำนาจรอบเป้าหมายของเรา และแม้ว่าการผลักดันเชิงนโยบายจะเป็นหนึ่งในสิ่งที่เราทำ แต่มันก็คงไม่เพียงพอ

เมื่อเราเข้าใจพลวัตของอำนาจ เราจะมองเห็นโอกาสในการสร้างกลยุทธ์เพื่อเปลี่ยนมัน การพัฒนากลยุทธ์เหล่านี้และการลงมือทำให้สอดคล้องกับกลยุทธ์ที่ออกแบบมาเพื่อบรรลุเป้าหมาย คือความแตกต่างระหว่าง “การทำการรณรงค์” กับ “การทำเพียงแค่การเคลื่อนไหว” การเคลื่อนไหวเป็นสิ่งที่ดีเมื่อคุณเพียงต้องการสนับสนุนประเด็นหนึ่ง ๆ —แต่ไม่เพียงพอเมื่อหน้าที่ของคุณคือต้องเปลี่ยนแปลงพลวัตรแห่งอำนาจและสร้างการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจน

เรียบเรียงจาก https://ahns.substack.com/p/campaigning-advocacy-activism