คำว่า “ทฤษฎีแห่งการเปลี่ยนแปลง” (theory of change) หลายครั้งเป้นของแสลง ในฐานะเป็นคนที่อยากเห็นนักรณรงค์มีความมั่นใจมากขึ้นและประสบความสำเร็จในการรณรงค์ คำว่า “ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง” นี้สร้างความลึกลับและความสับสนให้กับส่วนสำคัญของการพัฒนาการรณรงค์ จริงๆ แล้ว เราควรทำให้เรื่องนี้เข้าใจง่ายขึ้นมากกว่า

การพัฒนากลยุทธ์การรณรงค์นั้นยากและซับซ้อนอยู่แล้ว ไม่จำเป็นต้องเพิ่มคำที่ฟังดูวิชาการและยิ่งใหญ่ให้มาซ้ำเติม นักรณรงค์หลายคนพอได้ยินคำว่า “ทฤษฎีแห่งการเปลี่ยนแปลง” ครั้งแรก พวกเขารู้สึกท้อและสับสน รู้สึกเหมือนถูกพาเข้าสู่ภาษาที่ไม่เคยรู้จัก

คำนี้มีรากมาจากศตวรรษที่ 20 และตามข้อมูลจากวิกิพีเดีย เริ่มแพร่หลายขึ้นในช่วงทศวรรษ 1990 ในแวดวงอย่างนโยบายสาธารณะ แต่สิ่งที่เราควรสนใจคือการทำให้การรณรงค์เป็นเรื่องง่ายและเข้าถึงได้สำหรับคนที่ต้องการเรียนรู้และทำการรณรงค์ให้ดี

ดังนั้น เมื่อมีใครถามถึง “ทฤษฎีแห่งการเปลี่ยนแปลง” ของเรา จริงๆ แล้วพวกเขาแค่ถามถึง “กลยุทธ์การรณรงค์(Campaign Strategy)” ของเราเท่านั้นเอง

พูดให้ง่ายกว่านั้น พวกเขาอยากรู้ว่าเรามีความคาดหวังจะบรรลุเป้าหมาย(การรณรงค์)อย่างไร

ทฤษฎี คือชุดของคำอธิบายและความคาดหวังว่าบางสิ่งทำงานอย่างไร ดังนั้น ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงก็คือชุดของความคาดหวังว่าการรณรงค์จะบรรลุเป้าหมายได้อย่างไร และการทดสอบทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงก็คือการทดลองซึ่งก็คือการลงมือรณรงค์นั่นเอง

เราอาจประยุกต์แนวคิดนี้กับทั้งองค์กร โดยแทนที่ “เป้าหมายการรณรงค์(campaign objective)” ด้วย “พันธกิจขององค์กร(the organisation’s mission)” และแทน “กลยุทธ์ที่เฉพาะเจาะจง(specific campaign strategies)” ด้วย “ธีมเชิงกลยุทธ์ที่ครอบคลุม(broader strategic themes)” การทำงานทั้งหมดขององค์กร

เห็นไหมว่า การเรียก “กลยุทธ์(Strategy)” ว่า “ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง” ก็ทำให้ไอเดียง่าย ๆ กลายเป็นเรื่องวกวนได้

นี่คงเป็นเหตุผลว่าทำไมนักรณรงค์อีกมากถึงต้องเจอกับคำว่า “ทฤษฎีแห่งการเปลี่ยนแปลง” ในเอกสารขอทุนหรือแม่แบบการวางแผนรณรงค์ภายในแล้วรู้สึกเหมือนต้องสร้างสิ่งที่สวยงามระดับทฤษฎีวิวัฒนาการของดาร์วินหรือกฎการเคลื่อนที่ของนิวตัน

ทั้งที่ในความเป็นจริง สิ่งที่เขาต้องการคือ “กลยุทธ์(strategy)” หรือ “กลยุทธ์ต่างๆ (Strategies)” เท่านั้น

เป้าหมายคือ “ทำอะไร” และกลยุทธ์คือ “ทำอย่างไร”

เช่น หากเรากำลังรณรงค์เพื่อให้บริษัทประกาศเป้าหมายใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2030 ให้ได้ภายในสิ้นปีนี้ และเราวางแผนทำสิ่งนั้นโดย (1) พูดคุยและล็อบบี้เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในจุดที่ตัดสินใจ (2) สร้างแรงกดดันจากบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกันชี้ให้เห็นถึงความเสี่ยงทางการเงินและภาพลักษณ์หากบริษัทล้าหลังคู่แข่ง หรือ (3) สร้างการสนับสนุนจากลูกค้าของบริษัท นี่แหละคือทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของเรา

“โดยการพูดคุยและล็อบบี้เจ้าหน้าที่ผู้มีอำนาจตัดสินใจ สร้างแรงกดดันจากบริษัทอื่นในอุตสาหกรรมเดียวกัน ชี้ให้เห็นความเสี่ยงทางการเงินและภาพลักษณ์หากล้าหลัง และสร้างการสนับสนุนจากลูกค้า เราจะทำให้บริษัทเป้าหมายของเราประกาศใช้พลังงานหมุนเวียน 100% ภายในปี 2030 ได้ภายในสิ้นปีนี้”

แม่แบบของมันง่ายมาก “โดยทำกลยุทธ์ A กลยุทธ์ B กลยุทธ์ C และกลยุทธ์ D เราจะบรรลุเป้าหมายของเรา” คุณสามารถคัดลอกไปใช้กับการรณรงค์ของคุณเอง และเพิ่มหรือลดจำนวนกลยุทธ์ให้เหมาะกับบริบทและแนวทางของคุณได้

มีหลายวิธีที่เราสามารถทำให้การวางแผนรณรงค์และการเขียนเอกสารประกอบง่ายขึ้น เข้าถึงได้มากขึ้น และไม่น่ากลัวสำหรับนักรณรงค์ คำว่า “ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง” ควรถูกใช้ให้น้อยลง และแทนที่ด้วยหัวข้อ “กลยุทธ์” ในแม่แบบ หรือคำถามง่าย ๆ ว่า “คุณจะบรรลุเป้าหมายการรณรงค์ได้อย่างไร?” และถ้าจำเป็นต้องใช้คำว่า “ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง” จริง ๆ องค์กรและผู้ให้ทุนก็ควรช่วยทำให้มันชัดเจนขึ้น โดยอธิบายหรือให้ตัวอย่างมาตรฐาน เพื่อให้รู้ว่าจริง ๆ แล้วแค่ขอคำอธิบายว่าคนที่ทำงานรณรงค์เชื่อว่าจะประสบชัยชนะได้อย่างไร

ท้ายที่สุดแล้ว โลกของการรณรงค์ยังขาดความชัดเจนและโฟกัสอย่างมาก มีอีกหลายเรื่องที่จะพูดถึงว่าทำไมนักรณรงค์ถึงไม่ค่อยสามารถอธิบายให้ชัดว่าเป้าหมายของตัวเองคืออะไรและจะบรรลุเป้าหมายการรณงค์ได้อย่างไร และเราไม่ควรสร้างปัญหาให้ตัวเองด้วยการใช้คำอย่าง “ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง” เพื่อให้คนทำงานรณรงค์อธิบายตนเอง เพราะมันเปิดช่องให้เกิดการอธิบายที่เยิ่นเย้อและวกวน

สำหรับนักรณรงค์ทุกคน โดยเฉพาะมือใหม่ โปรดจำไว้ว่า เมื่อมีใครถามถึง “ทฤษฎีการเปลี่ยนแปลง” ของคุณ สิ่งที่เขาอยากรู้ก็คือ “คุณคิดว่าจะทำงานรณรงค์ให้ประสบผลสำเร็จได้อย่างไร” คำตอบที่สั้นที่สุดคือ คุณมีกลยุทธ์อะไรเพื่อเดินหน้าไปสู่การบรรลุเป้าหมายการรณรงค์

เรียบเรียงจาก https://ahns.substack.com/p/theory-of-change-strategy