May be an illustration of floor plan, blueprint, map and text that says "THE GLOBAL CARBON IMBALANCE: 2015-2024 -2024 AVERAGE Average annual flow ofhuman- human-causedC -caused emissions andtheir natura labs absor bsorption revealing surplus accumulation the atmosphere. SOURCES: ANNUAL HUMAN CO2 EMISSIONS ATMOSPHERE 20.4 GtC02/yr Accumulates Atmosphere LAND-USE USE CHANGE FUELS 5.0 GtC02/yr Caused Causedbydeforestation, Jeforestation, forest egradaton, and draining peatlands. 35.9 GtC02/yr Released burning dg production. EMISSIONS: HUMAN GtC02/y TOTAL SINKS RESULT: WHERE THE CO2 GOES OCEANS GtC02/yr Absorbed Oceans acrucial onsink, slowing atmosphetic 09 growth. LAND 8.7 GtC02/yr Absorbed Land Forests, vegetation, naturally absortaporto apprtiono emissions ゃ パン号"

เรามักพูดถึงการปล่อยก๊าซเรือนกระจกราวกับว่าเมื่อควันออกจากปล่องโรงงานหรือท่อไอเสียแล้ว ทุกอย่างก็จบไป แต่ความจริงคือไม่

นี่คือวิกฤตสภาพภูมิอากาศในรูปงบดุลที่เห็นภาพชัดที่สุดกล่าวคือ โดยเฉลี่ยในแต่ละปี CO₂ ราว 41 กิกะตัน ปล่อยออกสู่ชั้นบรรยากาศจากการเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลและการผลิตปูนซีเมนต์ราว 35.9 GtCO₂ บวกกับการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดินราว 5.0 GtCO₂ เช่น การตัดไม้ทำลายป่า การเสื่อมโทรมของป่าและการระบายน้ำออกจากพื้นที่พรุ (peatlands)จากอุตสาหกรรมเกษตร/เนื้อสัตว์ เหมืองแร่

ธรรมชาติดูดซับ CO₂ ได้จำนวนมากจริง แต่ดูดซับได้ไม่หมดมหาสมุทรดูดซับ ~11.8 GtCO₂ ต่อปี ระบบนิเวศบนบกดูดซับ ~8.7 GtCO₂ ต่อปี CO₂ ราว 20.4 GtCO₂ ต่อปี ค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศ

เป็นภาพความไม่สมดุลของคาร์บอนโลก ส่วนที่ล้นเกิน ส่วนที่ธรรมชาติรับไม่ไหว ส่วนที่สะสมเพิ่มขึ้นทุกปี และทำให้ผ้าห่มความร้อนหนาขึ้นเรื่อย ๆ จนกลายเป็นแรงขยายของภัยพิบัติและความเปราะบางทั่วทั้งระบบเศรษฐกิจและสังคมโลก

สถิติอุณหภูมิสูงสุดใหม่ ๆ ความเสียหายของพืชผล น้ำท่วม ไฟป่าไม่มีอย่างไหนเป็น อุบัติเหตุ ทั้งหมดคือผลลัพธ์ของคณิตศาสตร์ที่ทำงานต่อเนื่อง

ในทางนโยบาย เรากำลังเผชิญการสะสม(stock) และยิ่งสะสมยิ่งรุนแรง เราเฉลิมฉลองคำว่าประสิทธิภาพ net zero กลไกตลาด ขณะเดียวกันชั้นบรรยากาศยังได้รับเงินฝากคาร์บอนส่วนเกินทุกปี

ทำไมความไม่สมดุลจึงเปลี่ยนกรอบนโยบายทั้งหมด

1) มันชี้ชัดว่าประสิทธิภาพอย่างเดียวไม่พอ ประสิทธิภาพช่วยลดการปล่อยต่อหน่วย ต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง ต่อกิโลเมตร ต่อจีดีพีหนึ่งหน่วย แต่ชั้นบรรยากาศไม่สนใจตัวชี้วัดแบบต่อหน่วย มันตอบสนองต่อยอดรวมจริงเท่านั้น ถ้ายอดรวมยังสูงอยู่ ต่อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น เราก็แค่ชะลอการพุ่งชนกำแพง ไม่ได้หยุดหรือหักออกจากเส้นทาง

2) มันเผยให้เห็นข้อจำกัดของการชดเชยคาร์บอน(carbon offset) ซึ่งไม่ทำให้ตัวเลข 41 ลดลง มันเป็นการอ้างว่ามีการชดเชยเกิดขึ้นที่อื่นซึ่งมักมีความเสี่ยงเรื่องเพิ่มจริงหรือไม่ อยู่ได้นานหรือไม่ นับซ้ำหรือไม่ และในทางการเมือง ออฟเซ็ตมักกลายเป็นการฟอกเขียวให้การขยายฟอสซิลเดินหน้าต่อพร้อมกับคำว่าดีขึ้นสุทธิ

3) มันเตือนว่าอย่าฝากความหวังไว้กับ nature-based solution ล้วนๆ มหาสมุทรที่ดูดซับ CO₂ ไม่ใช่ข่าวดีเพราะตามมาด้วยการเป็นกรดและการล่มสลายของระบบนิเวศทะเล ส่วนการดูดซับบนบกก็ไม่มั่นคง เพราะอ่อนไหวต่อคลื่นความร้อน ภัยแล้ง ไฟป่า และการเสื่อมโทรมของดินและป่า

การวางแผนโดยสมมติว่าธรรมชาติจะรับภาระให้ได้ตลอด คือการผลักความเสี่ยงไปให้รัฐบาลรุ่นถัดไปและผู้คนรุ่นถัดไป

นโยบายที่พอดีกับคณิตศาสตร์คือการปิดช่องว่างความไม่สมดุลของคาร์บอนโลกไม่ได้ซับซ้อนในทางหลักการ แต่มัใีความท้าทายในทางการเมือง อย่างไรก็ตาม โครงนโยบายที่ต้องมีนั้นชัดเจนคือ

  • ตั้งเพดานการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากอุตสาหกรรมฟอสซิลแบบบังคับใช้ได้ และทำให้ลดลงทุกปี เป็นเพดานตามกฎหมายพร้อมงบคาร์บอนรายภาคส่วน (ไฟฟ้า ขนส่ง อุตสาหกรรม อาคาร) ถ้าไม่มีเพดานและการลดลงแบบปีต่อปี ช่องว่างก็จะคงอยู่โดยโครงสร้าง
  • หยุดผูกติด(lock in)กับโครงสร้างพื้นฐานฟอสซิลใหม่ ไม่ควรมีโครงการฟอสซิลใหม่ที่ต้องหวังพึ่งคำสัญญาค่อยดักจับ/ค่อยชดเชยในอนาคต เพื่อทำให้ดูรับได้ เพราะโครงสร้างใหม่คือการผูกมัดรัฐบาลในอนาคตให้ต้องรักษาการไหลของคาร์บอนส่วนเกินต่อไป
  • เริ่มจากระบบการผลิตไฟฟ้าที่สะอาดและเป็นธรรมเพราะมันปลดล็อกทุกอย่าง เร่งพลังงานหมุนเวียนแบบกระจายศูนย์ โครงข่ายไฟฟ้า ระบบกักเก็บพลังงาน และการจัดการความต้องการใช้ไฟ (demand flexibility) ให้เร็วพอจนการเปลี่ยนไปใช้ไฟฟ้าในขนส่งและอาคาร เป็นการลดจริงไม่ใช่แค่ย้ายการปล่อยจากปลายทางไปอยู่ที่ปล่องโรงไฟฟ้า
  • ใช้ที่ดินและระบบนิเวศในฐานะการปกป้องคุ้มครอง ไม่ใช่โรงงานผลิต carbon offset ยุติการตัดไม้ทำลายป่าและการทำลายพรุ ฟื้นฟูพื้นที่เสื่อมโทรม รับรองสิทธิชุมชนและชนพื้นเมืองเพื่อให้การคุ้มครองยั่งยืนพร้อมไปกับแนวทางแบบ non-market machanisms
  • ขีดเส้น carbon offset และคำอ้าง net-zero ของบริษัท จำกัดบทบาท carbon offset และกำกับเข้ม ห้ามใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมให้กับโครงการฟอสซิลแห่งใหม่ และบังคับให้เปิดเผยข้อมูล โปร่งใส ตรวจสอบได้
  • ปรับการเงินรัฐและจัดซื้อจัดจ้างให้สอดคล้องกับเพดานคาร์บอน เงินภาษีไม่ควรไปอุดหนุนสินทรัพย์ฟอสซิลใหม่ รัฐควรใช้การจัดซื้อเป็นสัญญาณตลาดให้กับปูนซีเมนต์ เหล็ก อาคาร และยานยนต์คาร์บอนต่ำ และกำหนดแผนเปลี่ยนผ่านของผู้ปล่อยรายใหญ่แบบมีหมุดหมายและบทลงโทษ ไม่ใช่สมัครใจ
  • สร้างการเปลี่ยนผ่านที่เป็นธรรม ประชาชนไม่ควรถูกขอให้แบกต้นทุนของวิกฤตที่ตนไม่ได้ก่อ ต้องมีการคุ้มครองแรงงาน การฝึกทักษะใหม่ การฟื้นเศรษฐกิจท้องถิ่น บริการพลังงานเข้าถึงได้ และมาตรการช่วยเหลือกลุ่มเปราะบาง เมื่อผลกระทบเกิดขึ้นแล้ว การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต้องเดินคู่กับการป้องกันไว้ก่อน ได้แก่ การเตือนภัยล่วงหน้า การดำเนินการเชิงคาดการณ์ (anticipatory action) และกลไกการเงิน loss & damage ที่ลงถึงชุมชนก่อนและหลังภัยพิบัติ

ปัญหาไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่คือความกล้าหาญทางการเมือง

วิทยาศาสตร์ไม่ซับซ้อน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกมีประมาณสองเท่าของที่โลกดูดซับได้ และส่วนเกินกำลังสะสมเพิ่มขึ้นทุกปี นโยบายที่น่าเชื่อถือควรตอบคำถามเดียวให้ได้ว่าเราจะทำให้ส่วนเกินคาร์บอนที่ค้างอยู่ในชั้นบรรยากาศ 20.4 GtCO₂/ปี ลดลงสู่ศูนย์อย่างรวดเร็วและหลังจากนั้นทำให้ติดลบได้ตาม 7 ข้อที่ได้กล่าวมาหรือไม่