การเลือกตั้งปี 2569 ไม่ควรดีเบตกันเพียงจะทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง แจกเงินผ่านวิธีการและแรงจูงใจต่างๆ หรือผลักดันเมกะโปรเจกต์ แต่ต้องตอบคำถามใหม่ที่ใหญ่กว่านั้นคือเศรษฐกิจสีเขียวของไทย ใครเป็นคนต้องแบกภาระต้นทุนภายนอก?

รถ EV แบตเตอรี่ โซลาร์ กังหันลมทั้งหมดต้องใช้แร่สำคัญ/แร่หายาก ขณะที่คลื่นการขยายเหมืองแร่สำคัญและแรร์เอิร์ธกระจายทั่วลุ่มน้ำโขง ในพื้นที่ต้นน้ำ แนวชายแดน ในรัฐที่อ่อนแอที่คนท้องถิ่นมักเจอเรื่องเดิมซ้ำ ๆ การแย่งยึดที่ดิน น้ำปนเปื้อน สารเคมี กากของเสีย ความรุนแรง และการปิดปากผู้เห็นต่าง

หากการเมืองไทยทำเป็นไม่รู้ ไม่เห็น ไม่สนใจ มันก็จะเป็นเพียงการเมืองแบบหน้าไหว้หลังหลอก(hypocrite) และทำให้การเปลี่ยนผ่านพลังงาน(energy transition)ถูกขับเคลื่อนด้วยหายนะภัยทางนิเวศวิทยาและความทุกข์ของผู้คนในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขงแถมยังเป็นความเสี่ยงเศรษฐกิจของไทยหากวันหนึ่งใดวันหนึ่ง ห่วงโซ่อุปทานของแร่สำคัญพังทะลาย หรือถูกตั้งกำแพงการค้า อุตสาหกรรมส่งออกไทยจะเจ็บก่อนใคร

ข่าวดีคืออาเซียนเพิ่งรับรองปฏิญญาสิทธิในสิ่งแวดล้อมที่ปลอดภัย สะอาด ดีต่อสุขภาพ และยั่งยืน แปลว่าอย่างน้อยที่สุดประชาชนต้องมีสิทธิรู้ข้อมูล มีส่วนร่วมและเข้าถึงความยุติธรรม แต่ปฏิญญาจะมีความหมายก็ต่อเมื่อเราทำให้มันบังคับใช้ได้จริงในยุคตื่นแร่สำคัญ(Critical Minerals Rush)

นี่คือส่วนหนึ่งของคำถามต่อพรรคการเมืองทั้งหลายในเวทีดีเบตเลือกตั้งปี 2569

  • จะออกกฎหมาย Just Minerals Transition ไหม? (โปร่งใส ตรวจสอบได้ บังคับใช้ได้ หรือ No go zone)
  • จะบังคับบริษัทและ/หรือธนาคารทำ due diligence ไม่ใช่แบบ CSR สมัครใจหรือไม่?
  • จะทำระบบติดตามตรวจสอบย้อนกลับเพื่อพิสูจน์แหล่งที่มาหรือไม่อย่างไร(เช่น battery/magnet passport)
  • จะดันเศรษฐกิจหมุนเวียน(เก็บคืน-รีไซเคิล-ลดความจำเป็นหรือยุติการทำเหมืองแร่แห่งใหม่)หรือไม่อย่างไร?
  • ข้อสำคัญที่ยังไม่มีใครพูดให้ดังพอ (ท่ามกลางกระแสชาตินิยม)ไทยจะเสนอ “ASEAN–Mekong Just Minerals Compact” โดยนำหลักสิทธิในสิ่งแวดล้อมของอาเซียนมาผูกกับมาตรฐานร่วมเรื่องเหมืองแร่ เปิดเผยข้อมูล ประเมินผลกระทบข้ามพรมแดน กลไกร้องเรียนและการคุ้มครองผู้ปกป้องสิทธิหรือไม่?