จีนกำลังมุ่งหน้าไปสู่ภัยพิบัตินิวเคลียร์ หากยังคงเดินหน้าตามแผนการก่อสร้างในปัจจุบัน อ้างอิงจากเหอ จั้วซิ่ว อดีตนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ของรัฐและนักวิจารณ์คนสำคัญ
เรียบเรียงจาก https://dialogue.earth/en/energy/5808-chinese-nuclear-disaster-highly-probable-by-2-3/ เขียนโดย He Zuoxiu
March 19, 2013

สมาชิกบางคนในอุตสาหกรรมพลังงานนิวเคลียร์พึ่งพาการคำนวณทางทฤษฎีมากเกินไป ทั้งที่มีเพียงประสบการณ์จริงเท่านั้นที่สามารถให้ความแม่นยำที่แท้จริงได้
อายุการใช้งานของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ถูกคำนวณในหน่วย “ปีของเครื่องปฏิกรณ์” (reactor-years) โดยหนึ่งปีของเครื่องปฏิกรณ์หมายถึงเครื่องปฏิกรณ์หนึ่งเครื่องทำงานเป็นเวลาหนึ่งปี ปัจจุบันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 443 แห่งทั่วโลกได้ดำเนินการรวมกันเป็นเวลา 14,767 ปีของเครื่องปฏิกรณ์ ซึ่งในช่วงเวลานั้นเกิดอุบัติเหตุที่ส่งผลให้แกนเครื่องปฏิกรณ์หลอมละลายถึง 23 ครั้ง หรือเฉลี่ย เกิดอุบัติเหตุใหญ่หนึ่งครั้งทุกๆ 624 ปีของเครื่องปฏิกรณ์
อย่างไรก็ตาม ตามข้อกำหนดการออกแบบอุบัติเหตุในระดับนี้ควรเกิดขึ้นเพียงหนึ่งครั้งในทุกๆ 20,000 ปีของเครื่องปฏิกรณ์ แต่ในความเป็นจริงอัตราการเกิดอุบัติเหตุสูงกว่าค่าทางทฤษฎีถึง 32 เท่า
บางคนโต้แย้งว่าคำวิจารณ์นี้ไม่เป็นธรรม เพราะอุบัติเหตุ 17 ครั้งจาก 23 ครั้ง เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ซึ่งเป็นปัจจัยที่ยากต่อการนำมาคำนวณ อย่างไรก็ตามความผิดพลาดของมนุษย์เป็นสิ่งที่ไม่สามารถกำจัดออกไปได้โดยสิ้นเชิงและไม่อาจมองข้ามเมื่อต้องตัดสินใจเชิงนโยบายที่สำคัญ
แม้ว่าเราจะไม่นับอุบัติเหตุที่เกิดจากความผิดพลาดของมนุษย์ แต่ความล้มเหลวทางเทคนิคยังคงทำให้เกิดแกนเครื่องปฏิกรณ์หลอมละลายทุกๆ 2,461 ปีของเครื่องปฏิกรณ์ซึ่งยังคงสูงกว่าการคำนวณทางทฤษฎีถึง 8 เท่า
บทเรียนจากสหรัฐอเมริกา รัสเซีย และญี่ปุ่น
สหรัฐอเมริกาและอดีตสหภาพโซเวียตได้ดำเนินการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เป็นเวลา 267 ปีของเครื่องปฏิกรณ์ (reactor-years) และ 162 reactor-years ตามลำดับ ก่อนที่จะเกิดอุบัติเหตุครั้งใหญ่ ส่วนญี่ปุ่นสามารถดำเนินการไปได้ถึง 1,442 reactor-years ก่อนเกิดภัยพิบัติที่ฟุกุชิมะ
ในช่วงที่เกิดอุบัติเหตุที่ Three Mile Island ในปี 1979 สหรัฐฯ มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 52 แห่ง ที่ดำเนินการรวมกันเป็นเวลา 267 reactor-years หรือเฉลี่ย 5.1 ปีต่อเครื่องปฏิกรณ์ ในขณะที่ตอนเกิดภัยพิบัติที่เชอร์โนบิลในปี 1986 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ของโซเวียตมีอายุเฉลี่ยเพียง 3.5 reactor-years
ทำไมสหรัฐฯ และโซเวียตจึงเกิดอุบัติเหตุได้เร็ว?
1. สหรัฐฯ สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากกว่า 50 แห่งอย่างรวดเร็ว ยิ่งมีจำนวนมาก ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้น
2. ในฐานะประเทศแรกที่เผชิญอุบัติเหตุครั้งใหญ่ สหรัฐฯ ยังมีประสบการณ์น้อยมาก
3. ในกรณีของโซเวียต ปัญหาสำคัญคือความล้มเหลวด้านการออกแบบเทคโนโลยี
หลังจากเหตุการณ์เหล่านี้ มีการปรับปรุงมาตรฐานความปลอดภัยนิวเคลียร์ทั่วโลกโดยเฉพาะในสหรัฐฯ ซึ่งใช้มาตรการหลัก 5 ข้อ ได้แก่
1. ชะลอการขยายตัวของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และหยุดโครงการใหม่ทั้งหมดในสมัยประธานาธิบดีจิมมี คาร์เตอร์
2. ปรับปรุงเทคโนโลยีอย่างมากเพื่อลดโอกาสเกิดอุบัติเหตุ
3. พัฒนาเครื่องปฏิกรณ์แบบใหม่ที่ปลอดภัยขึ้น
4. ส่งออกเทคโนโลยีนิวเคลียร์ทำให้สามารถสังเกตมาตรฐานความปลอดภัยของประเทศอื่นจากระยะไกล
5. เสริมสร้างการบริหารความปลอดภัย
ด้วยมาตรการเหล่านี้ สหรัฐฯ และอดีตสหภาพโซเวียตไม่มีอุบัติเหตุร้ายแรงอีกเลยตั้งแต่ปี 1986 แต่ประเทศอื่นไม่ได้โชคดีแบบเดียวกัน แม้ว่าญี่ปุ่นจะได้รับบทเรียนจากอดีตและมีความล่าช้าในการพัฒนาโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ แต่ก็ยังคงประสบอุบัติเหตุครั้งใหญ่หลังจากผ่านไป 1,442 reactor-years
ประเทศเดียวที่มีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มากกว่า 50 แห่ง แต่ยังไม่เคยเกิดอุบัติเหตุใหญ่คือฝรั่งเศส ซึ่งมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 58 แห่งและดำเนินการรวมกันเป็น 1,519 reactor-years เหตุใดฝรั่งเศสจึงปลอดภัยกว่าประเทศอื่น?
1. มีประวัติศาสตร์ยาวนานด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์และการวิจัยภายในประเทศ
2. มีโรงงานแปรรูปเชื้อเพลิงนิวเคลียร์ที่ดีเยี่ยม
3. มีนโยบายพัฒนานิวเคลียร์ที่ครอบคลุมและรอบคอบ
4. ไม่มีแผ่นดินไหวรุนแรง สภาพภูมิอากาศปานกลาง และได้รับผลกระทบจากภาวะโลกร้อนน้อยกว่าประเทศอื่น
อย่างไรก็ตาม หลายคนคาดการณ์ว่าฝรั่งเศสอาจเผชิญกับภัยคุกคามจากการก่อการร้ายที่อาจทำให้เกิดภัยพิบัตินิวเคลียร์ครั้งใหญ่ หลังเหตุการณ์ฟุกุชิมะ ฝรั่งเศสได้เพิ่มมาตรการรักษาความปลอดภัยแต่ยังเร็วเกินไปที่จะบอกว่าสิ่งนี้จะช่วยให้ปลอดภัยไปอีก 60 ปีข้างหน้าหรือไม่
จีนจะสามารถรักษาความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ได้นานแค่ไหน?
จีนมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 15 แห่ง และมีแผนจะเพิ่มเป็น 41 แห่งในปี 2015 โรงไฟฟ้าเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีจากฝรั่งเศส รัสเซีย สหรัฐฯ และแคนาดา รวมถึงโรงไฟฟ้าหลายแห่งที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์พัฒนาโดยจีนเอง ส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีรุ่นที่สอง (Gen II) คาดว่าภายในปี 2020 จีนจะมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 71 แห่ง ซึ่งตามสถิติของอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ จีนมีแนวโน้มสูงที่จะเผชิญกับอุบัติเหตุครั้งใหญ่ภายใน 69 ปีข้างหน้า
แม้ว่าเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของจีนจะเข้าใกล้มาตรฐานระดับโลก ในด้านการออกแบบความปลอดภัยและการดำเนินงาน แต่เพื่อลดต้นทุน จีนมักลดมาตรการด้านความปลอดภัย เช่น ในอดีตโครงสร้างกันแผ่นดินไหวของจีนต่ำกว่ามาตรฐานของญี่ปุ่น
ศาสตราจารย์ เฉียน เส้าจุน แห่งสถาบันวิศวกรรมแห่งชาติจีน กล่าวย้ำหลายครั้งว่า “ความปลอดภัยของนิวเคลียร์ขึ้นอยู่กับประสบการณ์จริง” ซึ่งจีนยังมีประสบการณ์เพียง 1 ใน 10 ของญี่ปุ่น
นอกจากนี้ จีนยังมีโอกาสเผชิญภัยธรรมชาติในระดับเดียวกับญี่ปุ่น แต่คุณภาพบุคลากรด้านนิวเคลียร์ของจีนยังตามหลังญี่ปุ่น แม้ว่าจะไม่ได้ด้อยด้านการออกแบบ แต่ขาดประสบการณ์ทั้งในด้านการออกแบบและการบริหารจัดการ หากอ้างอิงจากสถิติของญี่ปุ่น จีนมีแนวโน้มสูงที่จะเผชิญภัยพิบัตินิวเคลียร์ร้ายแรงราวปี 2050 แต่หากจีนดำเนินแผนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รุ่นที่สาม (Gen III) เพิ่มอีก 30 แห่งระหว่างปี 2015-2020 ความเสี่ยงจะเพิ่มขึ้นอย่างมาก
เครื่องปฏิกรณ์แบบ AP1000 ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักของรุ่นที่สามยังไม่เคยถูกใช้งานจริงที่ไหนในโลก ไม่มีแม้แต่ reactor-year เดียวเป็นข้อมูลอ้างอิง ดังนั้น ตัวเลขที่พอใช้เป็นเกณฑ์ได้คือ 267 reactor-years จาก Three Mile Island และ 162 reactor-years จากเชอร์โนบิล
หากอ้างอิงจากตัวเลขนี้ จีนมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุใหญ่ระหว่างปี 2020-2030 บางคนอาจโต้แย้งว่า “ตามทฤษฎีแล้ว” เครื่องปฏิกรณ์รุ่นที่สามปลอดภัยกว่ารุ่นที่สอง แต่ในความเป็นจริง เครื่องปฏิกรณ์เหล่านี้ยังไม่เคยผ่านการทดสอบจริง และยังมีปัญหาหลายด้าน เช่น
• โรงไฟฟ้ารุ่นที่สามของจีนถูกสร้าง ในพื้นที่แผ่นดินใหญ่ ที่มีปัญหาเรื่องแหล่งน้ำ
• บางโครงการ ทุจริตในกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่น โรงไฟฟ้าเผิงเจ๋อ (Jiangxi) และเถาหัวเจียง (Hunan)
เพื่อความปลอดภัย จีนควรหยุดที่ 41 โรงไฟฟ้า ตามเป้าหมายปี 2015
“การก้าวกระโดดครั้งใหญ่” กับความเสี่ยงนิวเคลียร์ของจีน
เหตุผลสำคัญที่สหรัฐฯ และโซเวียตประสบอุบัติเหตุเร็ว คือ ความเร่งรีบในการพัฒนาเพื่อชิงความเป็นมหาอำนาจในช่วงสงครามเย็น จีนในปัจจุบันมีแนวคิดเดียวกัน ตั้งเป้าสร้าง 500 โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ภายในปี 2050 ซึ่งจะมากกว่าจำนวนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลกในปัจจุบัน (443 แห่ง) แนวคิดนี้เป็นเพียง “การก้าวกระโดดครั้งใหญ่” (Great Leap Forward) แบบเดิม และหากยังคงดำเนินแนวทางนี้ “แนวโน้มที่เป็นไปได้มากที่สุด” อาจกลายเป็น “ความจริง”
