
สำหรับ “Oppenheimer” ที่กำลังฉายในโรงภาพยนตร์ขณะนี้
กลุ่มทำงานรณรงค์ยุติโรงไฟฟ้านิวเคลียร์และการปลดอาวุธนิวเคลียร์(nuclear disarmament) ได้วิจารณ์ตรงไปตรงมาว่า ภาพยนตร์ละเลยเรื่องราวความสูญเสียของชาวญี่ปุ่นหลายแสนคนจากผลพวงของ “สิ่งประดิษฐ์” ของออพเพนไฮเมอร์
แม้จะเข้าใจถึงข้อโต้แย้งของผู้กำกับภาพยนตร์ คริสโตเฟอร์ โนแลน ว่าเรื่องราวในภาพยนตร์เน้นไปที่ประสบการณ์และมุมมองของนักวิทยาศาสตร์เพียงอย่างเดียว ประสบการณ์ดังกล่าวมีความแตกต่างและแยกออกจากเรื่องราวของเหยื่อระเบิดนิวเคลียร์
กลุ่ม the Campaign for Nuclear Disarmament บอกว่า ภาพยนตร์เผยถึงความสงสัยทางจริยธรรมของออพเพนไฮเมอร์เกี่ยวกับสิ่งประดิษฐ์ของเขา และการถูกกดขี่ข่มเหงจากรัฐบาลสหรัฐฯ ในภายหลัง แต่ผลคือเขากลายเป็นฮีโร่ในภาพยนตร์
ภาพยนตร์เรื่องนี้ช่วยดึงความสนใจของผู้คนไปที่ “อันตรายที่แท้จริงและในปัจจุบัน” ของอาวุธนิวเคลียร์ที่เกิดขึ้นจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาที่มีการอภิปรายในที่สาธารณะอย่างจำกัด เช่น การเพิ่มการสะสมหัวรบนิวเคลียร์ของบรรดาประเทศต่างๆ ที่ขับเคลื่อนโดยกลุ่มผลประโยชน์อุตสาหกรรมนิวเคลียร์ทั้งหลาย(Nuclear Village)
ส่วนกลุ่ม the Basic Think Thank ในสหราชอาณาจักรบอกว่า “ภาพยนตร์เรื่องนี้อาจช่วยดึงให้เกิดการถกเถียงทางนิวเคลียร์ผ่านงานศิลปะซึ่งขาดหายไปในช่วงสามทศวรรษที่ผ่านมา เพราะมี “ความรู้สึกไม่แยแสอย่างลึกซึ้ง” ในหมู่สาธารณชน
แน่นอนครับ ไม่มีภาพยนตร์เรื่องใดเรื่องหนึ่งต้องรับผิดชอบในการอธิบายมุมมองของชาวญี่ปุ่นผู้สูญเสียที่ฮิโรชิมาและนางาซากิ แต่ภาพยนตร์ “Oppenheimer” ก็แทบไม่ได้ท้าทายประวัติศาสตร์ที่เน้นแต่เชิดชูผลงาน(ระเบิดนิวเคลียร์)ของชายผิวขาว
หรืออีกนัยหนึ่ง อย่าคาดหวังว่าฮอลลีวูดจะเล่าเรื่องราวของเหยื่อนิวเคลียร์ชาวญี่ปุ่นที่แตกต่างและลึกซึ้ง และใส่ใจกับรายละเอียด ในฐานะสถาบัน ฮอลลีวูดเองก็มีทั้งอำนาจและอิทธิพลในการให้คุณค่ากับเรื่องราวของผู้ชายอย่างออพเพนไฮเมอร์ เช่นเดียวกับทรูแมน มากกว่าที่จะให้คุณค่ากับชุมชนชาวเอเชียและชุมชนพื้นเมืองที่ต้องทนทุกข์เพราะการตัดสินใจของพวกผู้ชายผิวขาวเหล่านั้น
