
คำสมาส “perma-crisis” เป็นคำแห่งปีที่ผ่านมาและจะเป็นคำที่อยู่ในความคุ้นชินของเราในขณะนี้ ไม่ว่าจะรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม ความไร้สมดุล ความไม่มั่นคงที่ต่อเนื่องยาวนานเรื้อรัง อันเป็นผลมาจากเหตุการณ์หายนะที่มาเป็นชุดต่อกัน ไม่ว่าจะเป็นโรคระบาด สงคราม ความสุดขั้วสุดขีดของสภาพอากาศที่เสริมแรงจากวิกฤตโลกเดือด
อีกไม่ถึง 100 วัน การประชุมเจรจาสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศครั้งที่ 28 หรือ “เวทีเจรจาโลกเดือด” ครั้งแรก ที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์จะเริ่มขึ้น ท่ามกลางภาวะฉุกเฉินสภาพภูมิอากาศที่ก่อหายนะต่อระบบเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและการพัฒนามนุษย์ในทุกภูมิภาคของโลก
ในทางวิทยาศาสตร์โดยเฉพาะคณิตศาสตร์ ถ้าเราจริงจังกับการหลีกเลี่ยงหายนะในยุคโลกเดือดนี้ เราต้องยุติเหมืองถ่านหิน หยุดขุดเจาะฟอสซิลรวมถึงโครงสร้างพื้นฐานที่เกี่ยวข้อง เรารุกล้ำพรมแดนเชื้อเพลิงฟอสซิลจนหมดสิ้นแล้ว
ความหวังเดียว คือ การจัดการกับภาวะขาลงของแหล่งเชื้อเพลิงฟอสซิลที่มีการผลิตไปแล้ว และนำทรัพยากร(คน/เงิน)เพื่อลงทุนปฏิวัติระบบพลังงานหมุนเวียนที่สะอาด ยั่งยืนและเป็นธรรม
อาจกล่าวได้ว่า นโยบายสภาพภูมิอากาศที่ทรงพลังมากที่สุดที่จะต่อกรกับวิกฤตโลกเดือด อยู่ที่ปฏิบัติการที่เรียบง่ายที่สุด นั่นคือ หยุดขุดเจาะเชื้อเพลิงฟอสซิลใหม่ และกลุ่มประเทศร่ำรวย/อุตสาหกรรมฟอสซิลยักษ์ใหญ่ทั้งหลาย(Carbon majors)จ่ายหนี้นิเวศน์ให้กับ loss & damage
ประเทศไทยของเรามีความเสี่ยงต่อหายนะจากวิกฤตโลกเดือดเป็น 10 อันดับต้นของโลก “โลกเดือด” คุกคามความมั่นคงทางอาหาร การเข้าถึงน้ำสะอาด อากาศที่ดี
อุณหภูมิในฤดูร้อนที่เพิ่มสูงขึ้นเพียง 1 ส่วนของส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(standard deviation) ของค่าเฉลี่ยระยะยาวของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกนำไปสู่ความขัดแย้งทางสังคมเพิ่มมากขึ้น ฤดูร้อน 2566 นี้ อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกมีส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน(standard deviation) อยู่ที่ 6
“โลกเดือด” นำไปสู่การพังทลายของระบบนิเวศที่สนับสนุนค้ำจุนสรรพชีวิต ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางสังคมที่ทวีความรุนแรงขึ้น ความยากจน และโรคระบาดในอนาคต
เราใช้ต้นทุนนิเวศน์ของประเทศหมดไปตั้งแต่ปี 2530 หนี้นิเวศน์ของเราเพิ่มพูนขึ้นหลังจากนั้น เราต้องใช้โลกอีกเกือบ 2 ใบ เพื่อคงไว้ซึ่งความสามารถของระบบนิเวศที่จะสร้างทรัพยากรชีวภาพที่มีประโยชน์ขึ้นมาใหม่และดูดซับของเสียที่เกิดจากกิจกรรมทางเศรษฐกิจของประเทศ (Biocapacity)
โชคดีที่เรามีนโยบายสภาพภูมิอากาศ โชคร้ายที่นโยบายดังกล่าวยังไม่ได้สัดส่วน ไม่พูดถึง “ความเป็นธรรม(Climate Justice)” ซ้ำร้าย แผน Net Zero และความเป็นกลางทางคาร์บอนซึ่งเดิมจำกัดอยู่ในแวดวงวิทยาศาสตร์ก่อน COP26 ที่สหราชอาณาจักรเมื่อ 2 ปี ความท้าทายในการดำเนินการ ทรัพยากรมหาศาลที่ลงไปกับการดักจับและกักเก็บคาร์บอน กลลวงชดเชยคาร์บอนภาคป่าไม้ยังเป็นคำถามใหญ่ ในขณะที่ผู้ก่อมลพิษยังคงปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่อไปได้
ในขณะที่เราทุกคนช่วยกันปกป้องโลก กลยุทธ์ “การฟอกเขียว” เพื่อสร้างภาพลักษณ์ดูเป็นมิตรต่อโลกและเพิ่มกำไร/สะสมความมั่งคั่งให้กับคนกลุ่มเล็กๆ ไม่กี่กลุ่ม กลับแพร่หลายเพิ่มมากขึ้น
มีความจำเป็นที่เราต้องรู้เท่าทันการฟอกเขียว(greenwashing literacy)
การฟอกเขียวคือการดำเนินธุรกิจตามปกติพร้อมกับแสร้งว่าตนใส่ใจสิ่งแวดล้อมไปด้วย เมื่อพิจารณาการก่อมลพิษที่แฝงในห่วงโซ่อุปทาน เท่ากับการฟอกเขียวไม่ได้ทำอะไรเพื่อสิ่งแวดล้อมเลย
การฟอกเขียวเป็นภัยต่อระบบเศรษฐกิจ สังคมและโลกมากกว่าที่เราคิด การฟอกเขียวทำให้กระบวนการเปลี่ยนผ่านระบบที่ยั่งยืนต่อผู้คนและโลกช้าลง การบริโภคสินค้าที่มีฉลากอีโคหรือมีแนวทางชดเชยคาร์บอนอาจจะทำให้ใครหลายคนรู้สึกดีขึ้น แต่เราทุกคนสามารถทำอะไรที่มากกว่าการเป็นผู้บริโภคที่มีความตระหนัก
กลยุทธ์ฟอกเขียวเบี่ยงเบนความสนใจของผู้บริโภค และกล่อมเกลาให้เราเชื่อว่าเราจะพ้นไปจากวิกฤตโลกเดือด การฟอกเขียวอาจทำให้เราไม่ได้สนับสนุนหน่วยธุรกิจที่ตั้งใจลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างจริงจัง และพลาดที่จะเปิดรับข้อมูลเพื่อรู้เท่าทันกลยุทธ์ฟอกเขียวอันแยบยล
กลยุทธ์ฟอกเขียวจะกลายเป็นประวัติศาสตร์ หากเราหาคำตอบร่วมกันถึง “พื้นที่ปลอดภัยและเป็นธรรมของสังคมไทย และของมนุษยชาติ”

คำถามคือความปลอดภัยและเป็นธรรมภายในขีดจำกัดทางนิเวศวิทยาของโลกอยู่ที่ไหน?
เราอาจพูดถึงความปลอดภัย/เป็นธรรมในแง่ของการเรียกร้องให้ขยายและรับรองสิทธิของคนจนผู้ด้อยโอกาสในการดำรงชีวิต หรือการลดทอนสิทธิที่เหนือกว่าในการเข้าถึงทรัพยากรของประเทศอุตสาหกรรมที่ร่ำรวย
เราอาจพูดถึงสิทธิในการดำรงชีวิตของชุมชนท้องถิ่น ที่มักขัดแย้งกับผลประโยชน์ของชนชั้นผู้บริโภคในเมืองและบรรษัทที่แสวงหากำไรและสะสมความมั่งคั่ง ความขัดแย้งเหล่านี้จะยิ่งเพิ่มพูนตราบเท่าที่แบบแผนการผลิตและการบริโภคที่ทำลายล้างในโลกนี้ยังเป็นไปตามเดิม
การปกป้องสิ่งแวดล้อมมิได้ขัดแย้งกับการขจัดความยากจน หากเอื้อต่อกัน สำหรับคนจนผู้ด้อยโอกาสแล้ว จะไม่มีความเป็นธรรมโดยปราศจาก “ระบบนิเวศที่สนับสนุนค้ำจุนชีวิต” และเมื่อพูดถึงสิทธิชุมชนในการจัดการทรัพยากร ก็จะไม่มีระบบนิเวศที่สนับสนุนค้ำจุนชีวิตโดยปราศจาก “ความเป็นธรรม”
การขจัดความยากจนซึ่งเป็นหนึ่งในเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนก็คือการยกระดับและกระจายความมั่งคั่ง แต่พื้นที่สิ่งแวดล้อมของโลกถูกแบ่งไม่เท่าเทียมกัน การทำให้ผู้ด้อยโอกาสเข้าถึงฐานทรัพยากรได้มากขึ้น เราต้องลดการอ้างสิทธิในทรัพยากรของการบริโภคที่ล้นเกินทั้งในซีกโลกเหนือและใต้ ความมั่งคั่งต้องเป็นรูปแบบความมั่งคั่งที่ลดการใช้ทรัพยากร ซึ่งมิใช่เรื่องเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม หากแต่เป็นเรื่องของความเป็นธรรม
ด้วยวิกฤตทางนิเวศวิทยากลายมาเป็นภัยคุกคามต่อความก้าวหน้าทางสังคมของมนุษย์เอง Kate Raworth นักเศรษฐศาสตร์และผู้เชี่ยวชาญด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนจากสหราชอาณาจักรนำเสนอแนวคิดเศรษฐกิจโดนัท เป็นแนวทางเพื่อบรรลุเป้าหมายการพัฒนาเศรษฐกิจที่ยั่งยืนและปรับปรุงสภาพสังคมให้ดีขึ้นโดยเคารพข้อจำกัดทางนิเวศวิทยา
ขอบด้านนอกของโดนัทคือพรมแดนแห่งพิภพ(planetray boundaries)ซึ่งมี 9-10 ด้าน คือวิกฤตโลกเดือด(Climate Change) การดึงน้ำจืดมาใช้(Freshwater Use) การทะลักของไนโตรเจนและฟอสฟอรัส(Nitrogen and Phosphorus Loading) การกลายเป็นกรดของมหาสมุทร (Ocean Acidification) มลพิษจากสารเคมี(Chemical Pollution) มลพิษทางอากาศ (Atmospheric Pollution) การลดลงของชั้นโอโซน(Ozone Depletion), การสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ(Biodiversity Loss) และการเปลี่ยนแปลงการใช้ที่ดิน(Land Use Change) และสสารใหม่
เกินจากขีดจำกัดเหล่านี้ไปคือหายนะทางนิเวศวิทยาที่ไม่อาจรับได้
ขอบด้านในของโดนัทคือรากฐานทางสังคม 12 ด้านคือ สุขภาพ (Health) อาหาร(Food) น้ำ(Water) พลังงาน(Energy) การศึกษา(Education) รายได้/การงาน(Income/Work) สันติภาพ/ความยุติธรรม(Peace/Justice) สิทธิในการแสดงความคิดเห็น(Political Voice) ความเป็นธรรมทางสังคม(Social Equity) ความเท่าเทียมทางเพศสภาพ (Gender equality) ที่อยู่อาศัย(Housing) และข่ายใยทางสังคม(Networks) การละเลยและขาดแคลนรากฐานทางสังคมเหล่านี้นำมาซึ่งความทุกข์ยาก และความโกลาหลอย่างไม่มีที่สิ้นสุดในสังคมมนุษย์
แม้จะเป็นโจทย์ยากและท้าทาย ผมคิดว่านี่เป็นแนวโน้มที่เราทุกคนสามารถค้นหาคำตอบร่วมกัน สวัสดีครับ
