เรียบเรียงจาก Why 2024 could become the hottest year on record
https://www.economist.com/graphic-detail/2024/07/25/why-2024-could-become-the-hottest-year-on-record
from The Economist

สําหรับชาวยุโรปบางคนอาจยากที่จะเชื่อว่าโลกได้ทําลายสถิติอุณหภูมิใหม่ ในขณะที่บางส่วนของอเมริกา เอเชีย ตะวันออกกลาง และยุโรปตอนใต้เผชิญกับคลื่นความร้อนที่ร้ายแรง หลายประเทศในยุโรปก็ชุ่มช่ำด้วยฝนที่ตกเป็นประวัติการณ์ที่ทําให้ฤดูร้อนรู้สึกหดหู่ อุณหภูมิในบางส่วนของยุโรปตะวันตกอยู่ที่ประมาณหรือต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในเดือนมิถุนายน แต่ข้อมูลจาก Copernicus ซึ่งเป็นโครงการ Earth-observation ของสหภาพยุโรป ระบุว่า ทั่วโลกกําลังร้อนระอุ บันทึกอุณหภูมิอากาศเฉลี่ยทั่วโลกถูกทําลายสถิติสองวันติดต่อกัน ในวันที่ 22 กรกฎาคม อุณหภูมิอากาศขึ้นไปถึง 17.16°C (62.89°F) ทําลายสถิติที่ 17.09°C เมื่อวันก่อน(21 กรกฎาคม) สถิติอุณหภูมิก่อนหน้านี้ที่ 17.08°C เกิดขึ้นในวันที่ 6 กรกฎาคม 2566

ปัจจัยหลักที่มีอิทธิพลต่ออุณหภูมิผิวโลก นอกเหนือจากภาวะโลกร้อนคือ El Niño-Southern Oscillation (enso) ซึ่งเป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติที่ส่งผลต่อแบบแผนสภาพอากาศทั่วโลก เอลนีโญซึ่งเป็นช่วงที่ร้อนของ enso นําไปสู่อุณหภูมิผิวโลกที่ทําลายสถิติในปี 2566 และเพิ่งจะสิ้นสุดลง พื้นที่หนึ่งที่ขับเคลื่อนค่าเฉลี่ยอุณหภูมิผิวโลกคือแอนตาร์กติก อุณหภูมิรอบขั้วโลกใต้เพิ่มสูงกว่าปกติมาก(ดูแผนที่) ซึ่งเป็นปัจจัยให้ขอบเขตทะเลน้ําแข็งต่ำเป็นประวัติการณ์ในช่วงฤดูหนาวในซีกโลกใต้

การทำลายสถิติมักจะไม่มาเดี่ยวๆ ในปี 2566 อุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไปถึงจุดสูงสุดใหม่ 4 วันติดต่อกัน ในปี 2559 สถิติถูกทําลาย 7 ครั้ง และ 6 ครั้งในปี 2541 นี่ถือเป็นปีที่สามซึ่งสถิติที่ตั้งไว้เมื่อหนึ่งปีก่อนถูกทําลาย (การเก็บบันทึกอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกอย่างเป็นระบบเริ่มขึ้นในปี 2483)

ขณะนี้เราเป็นประจักษ์พยานต่ออุณหภูมิเฉลี่ยรายเดือนสูงเป็นประวัติการณ์ต่อเนื่องกัน 13 เดือน ทุกๆ เดือนตั้งแต่เดือนกรกฎาคม 2566 มีอุณหภูมิปกติของเดือนนั้นๆ ในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 มากกว่า 1.5 องศาเซลเซียส เมื่อพิจารณาถึงความตกลงปารีสในปี 2558 ผู้นําโลกกําหนดพันธะกรณีที่จะ “จํากัดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไว้ที่ 1.5°C เมื่อเทียบกับระดับก่อนยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม” นี่หมายความว่า ความพยายามของพวกเขาล้มเหลวอย่างแน่นอนหรือไม่? ยังไม่เสียทีเดียวนัก เป็นที่ยอมรับกันอย่างกว้างขวางว่า ต้องมีแนวโน้มอุณหภูมิเฉลี่ยเกิน 1.5°C ต่อเนื่องหลายปี จึงจะถือว่าผ่านขีดจํากัดดังกล่าว

ครึ่งหลังของปี 2567 อาจไม่มีลักษณะพิเศษเท่าช่วงครึ่งแรกของปี องค์การอุตุนิยมวิทยาโลกคิดว่ามีโอกาส 70% ที่ La Niña ซึ่งเป็นช่วงเย็นของ enso อาจเริ่มต้นในช่วงระหว่างเดือนสิงหาคมถึงพฤศจิกายนซึ่งจะส่งผลให้มีอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกที่เย็นลง แต่ก็ยังมีโอกาสที่โดยรวมที่ปี 2567 จะร้อนกว่าปี 2566