เรียบเรียงจาก https://johnmenadue.com/nyt-confirms-war-ending-russian-ukraine-peace-agreement-sabotaged-by-west/?fbclid=IwZXh0bgNhZW0CMTEAAR04rRtIHvol-Op0a5Z64uNIYN_BAhPAhUR21GtvIuS_Wko5PsMFfpxdL4Y_aem_mqL5SU-oTJS41yok4IUAyw เขียนโดยเกรกอรี คลาก

ด้วยความดราม่าน้อยกว่ากรณีเอกสารเพนตากอนปี 1971 อย่างมาก The New York Times ได้เปิดเผยเอกสารสามฉบับที่ยืนยันว่ารัสเซียและยูเครนเคยใกล้บรรลุข้อตกลงยุติสงครามในช่วงครึ่งแรกของปี 2022 ไม่นานหลังจากที่มอสโกเริ่มปฏิบัติการที่เรียกว่า ‘ปฏิบัติการพิเศษ’ โจมตียูเครนเมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2022

หนังสือพิมพ์ระบุว่าได้รับและตรวจสอบเอกสารสามฉบับ ซึ่งเป็นร่างข้อตกลงสันติภาพที่มอสโกและเคียฟเจรจากันในช่วงเดือนแรก ๆ ของความขัดแย้งในยูเครน

การเจรจาเกี่ยวกับข้อตกลงฉบับแรกเริ่มขึ้นตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ในเบลารุส แต่จบลงโดยไม่มีผลลัพธ์ ไม่นานหลังจากนั้น ในวันที่ 10 มีนาคม การเจรจาย้ายไปยังเมืองอันตัลยา ประเทศตุรกี เมื่อดมีโตร คูเลบา รัฐมนตรีต่างประเทศยูเครนพบกับเซอร์เกย์ ลาฟรอฟ รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซีย และกล่าวถึง ‘แนวทางแก้ไขที่เป็นระบบและยั่งยืน’ สำหรับยูเครน ต่อมาในวันที่ 17 มีนาคม ยูเครนได้นำเสนอร่างสนธิสัญญาสันติภาพ โดยให้คำมั่นว่าจะคงความเป็นกลางถาวร พร้อมรับหลักประกันความมั่นคงจากสหรัฐฯ สหราชอาณาจักร ฝรั่งเศส รัสเซีย และจีน”

มีการถกเถียงกันอย่างมากเกี่ยวกับลักษณะของหลักประกันความมั่นคงที่ยังไม่ได้ข้อสรุป แต่กลับมีการพูดคุยเกี่ยวกับข้อเรียกร้องด้านดินแดนน้อยอย่างน่าประหลาดใจ เมื่อวันที่ 29 มีนาคม คณะเจรจาของรัสเซียและยูเครนได้จัดทำ Istanbul Communiqué หรือ ‘ข้อกำหนดสำคัญของสนธิสัญญาว่าด้วยหลักประกันความมั่นคงของยูเครน’ ซึ่งเป็นกรอบสำหรับข้อตกลงที่เป็นไปได้

ภายในวันที่ 15 เมษายน การเจรจาได้พัฒนาไปถึงขั้นร่างสนธิสัญญาฉบับใหม่ โดยมีความหวังว่าจะสามารถบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายได้ภายในสิ้นเดือน ภายใต้เงื่อนไขของข้อตกลง ยูเครนจะยังคงมีสถานะเป็นกลางและไม่เข้าร่วม NATO แต่สามารถเข้าร่วมสหภาพยุโรปได้ ซึ่งถือเป็นการยอมอ่อนข้อครั้งใหญ่ของรัสเซีย สถานะของ ‘ดินแดนที่รัสเซียยึดครอง’ ในยูเครน (จังหวัดโดเนตสค์และลูฮันสค์ในภูมิภาคดอนบาสที่ใช้ภาษารัสเซียเป็นหลัก) จะถูกตัดสินในภายหลัง ขณะที่ประเด็นเรื่องไครเมียจะถูกเลื่อนออกไปเป็นเวลา 10-15 ปี ซึ่งถือเป็นการประนีประนอมครั้งใหญ่ของยูเครน

“ในช่วงกลางเดือนเมษายน 2022 เราเข้าใกล้การยุติสงครามผ่านข้อตกลงสันติภาพอย่างมาก” โอเล็กซานเดอร์ ชาลี หนึ่งในคณะเจรจาของยูเครน กล่าวระหว่างการปรากฏตัวในที่สาธารณะหนึ่งปีให้หลัง

ตามคำกล่าวของผู้เจรจาอีกคนหนึ่งในขณะนั้น “ปูตินและเซเลนสกีทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยความเต็มใจร่วมกันที่จะพิจารณาการประนีประนอมในระดับลึกเพื่อยุติสงคราม

น่าเสียดายที่จุดจบนั้นไม่ได้เกิดขึ้น โอเล็กซานเดอร์ ชาลี ระบุว่า “แทนที่จะยอมรับ Istanbul Communiqué และกระบวนการทางการทูตที่ตามมา ตะวันตกกลับเพิ่มการสนับสนุนทางทหารแก่เคียฟ และเพิ่มแรงกดดันต่อรัสเซีย รวมถึงการคว่ำบาตรที่เข้มงวดขึ้นเรื่อย ๆ””

สหราชอาณาจักร ซึ่งมีท่าทีต่อต้านรัสเซียมาโดยตลอด เป็นผู้นำในการขัดขวางข้อตกลง โดยบอริส จอห์นสันเดินทางไปเคียฟเมื่อวันที่ 9 เมษายน ก่อนที่ร่างสนธิสัญญาจะได้ข้อสรุป มีรายงานว่าเขาเตือนเซเลนสกีว่า ข้อตกลงใด ๆ ก็ตาม “จะถือเป็นชัยชนะบางส่วนของ [ปูติน]: ถ้าคุณให้เขาอะไรไป เขาก็จะเก็บมันไว้ ใช้มันเป็นแต้มต่อ แล้วเตรียมการโจมตีครั้งต่อไป

ดาวิด อาราคามียา หัวหน้าคณะเจรจาของยูเครนในการประชุมที่อิสตันบูล เปิดเผยว่าจอห์นสันเดินทางไปเคียฟโดยเฉพาะเพื่อโน้มน้าวให้โวโลดีมีร์ เซเลนสกีถอนตัวจากการเจรจา

เคียฟยังเผชิญแรงกดดันจากสหรัฐฯ ซึ่งสงสัยในกระบวนการเจรจามาโดยตลอด และลังเลเกี่ยวกับหลักประกันความมั่นคงที่ตนเองต้องให้การสนับสนุน”

ภายในเดือนพฤษภาคมของปีนั้น การพูดคุยเกี่ยวกับข้อตกลงสันติภาพที่เป็นไปได้ดูเหมือนจะยุติลงทั้งหมด

และไม่เพียงแค่ยุติลงเท่านั้น ข้อเสนอของรัสเซียในการประนีประนอมเรื่องดินแดนในร่างข้อตกลงสันติภาพกลับถูกทำให้ไร้ความหมายโดยสิ้นเชิง เมื่อรัสเซียภายหลังเรียกร้องเพิ่มอีกสองจังหวัด ได้แก่ เคอร์ซอนและซาโปริฌเฌีย นอกเหนือจากสองจังหวัดในดอนบาสที่ก่อนหน้านี้ตกลงจะชะลอการตัดสินใจไว้ อย่างไรก็ตาม บางฝ่ายให้เหตุผลว่าข้อเรียกร้องที่เพิ่มขึ้นนี้เป็นเพียงกลยุทธ์เพื่อให้ได้ ‘แลนด์บริดจ์’ เชื่อมต่อไปยังไครเมีย ซึ่งเกิดจากการควบคุมสองจังหวัดเพิ่มเติมดังกล่าว

หมายเหตุ: ในระหว่างการค้นคว้าบทความนี้ ข้าพเจ้ารู้สึกประหลาดใจอย่างยิ่งที่พบว่า Wikipedia ซึ่งเคยเป็นแหล่งข้อมูลที่มีคุณค่าและเป็นกลาง กลับกลายเป็นแหล่งข้อมูลที่ถูกบิดเบือนอย่างหนักในเชิงสนับสนุนตะวันตก ดูเหมือนว่าการแทนที่สื่อข่าวสารที่เป็นกลางด้วยสื่อที่มีอคติจะกลายเป็นอาวุธใหม่ใน ‘สงครามซอฟต์พาวเวอร์’ ระหว่างตะวันออกกับตะวันตก

The Japan Times ซึ่งข้าพเจ้าเคยเขียนบทความให้เป็นประจำ ก็เป็นเหยื่อรายล่าสุด หลังจากการเปลี่ยนแปลงเจ้าของที่ไม่ชัดเจน ข้าพเจ้าพร้อมกับนักเขียนคนอื่น ๆ อีกหลายคนก็ถูกปลดออกในทันที ข้าพเจ้าอาจไม่ได้เป็นตัวแทนประชาสัมพันธ์ของ Pearls and Irritations แต่ความจำเป็นของสื่อก้าวหน้าประเภทนี้กำลังเร่งด่วนมากขึ้นทุกที”

เกี่ยวกับผู้เขียน : เกรกอรี คลาร์ก เป็นนักการทูตออสเตรเลียยุคหลังสงครามโลกคนแรกที่ได้รับการฝึกฝนด้านภาษาจีน โดยเคยประจำการที่ฮ่องกง มอสโก และองค์การสหประชาชาติก่อนจะลาออกจากราชการเพื่อประท้วงสงครามเวียดนาม

หลังจากศึกษาระดับปริญญาเอกที่มหาวิทยาลัยแห่งชาติออสเตรเลีย (ANU) เขาได้เป็นผู้สื่อข่าวประจำญี่ปุ่นของ The Australian จากนั้นจึงทำงานในกรมนายกรัฐมนตรีของออสเตรเลีย ก่อนจะได้รับตำแหน่งศาสตราจารย์ที่มหาวิทยาลัยโซเฟียในโตเกียว และดำรงตำแหน่งประธานกิตติมศักดิ์ของมหาวิทยาลัยทามะในโตเกียว ต่อมาเขาเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อตั้ง Akita Kokusai Daigaku ซึ่งเป็นมหาวิทยาลัยที่ใช้ภาษาอังกฤษประสบความสำเร็จอย่างสูง

ปัจจุบันเขาเกษียณแล้ว และย้ายไปใช้ชีวิตในละตินอเมริกา (เปรู) พร้อมกับทำสวนกีวีที่คาบสมุทรโบโซ ทางตอนใต้ของโตเกียว

ผลงานของเขารวมถึง In Fear of China (1969) และหนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับนโยบายการศึกษาและการต่างประเทศในญี่ปุ่น

เขาเคยพูดภาษาจีนและรัสเซียได้อย่างคล่องแคล่ว ปัจจุบันพูดภาษาญี่ปุ่นและสเปน