เรียบเรียงจาก https://www.theworldmind.org/briefing-archive/failure-after-failure-lets-ditch-small-modular-reactors2025/2/25 

ลองจินตนาการถึงเครื่องชงกาแฟนวัตกรรมใหม่—เครื่องที่สามารถชงกาแฟได้มากขึ้นเป็นสองเท่าจากปริมาณเมล็ดกาแฟเท่าเดิม เครื่องนี้จะช่วยให้การชงกาแฟที่บ้านถูกลง รวมถึงราคากาแฟในร้านอย่าง Dunkin’ และ Starbucks ก็จะถูกลงด้วย เครื่องนี้เริ่มได้รับความสนใจจากบริษัทใหญ่ในอุตสาหกรรมกาแฟ เช่น Keurig และ Nespresso โดยมีแผนเปิดตัวในช่วงฤดูร้อนปี 2025 แต่แล้วกลางฤดูใบไม้ผลิ มีการประกาศเลื่อนเปิดตัวเป็นฤดูหนาวปี 2027 และหลังจากนั้นก็เลื่อนอีกครั้ง โดยระบุว่าคาดว่าจะแล้วเสร็จในปี 2030 Keurig และ Nespresso จึงถอนตัวจากโครงการ ซึ่งยิ่งทำให้โครงการล่าช้าออกไปอีก จนกลายเป็นปี 2035 หลังจากล่าช้ามา 10 ปี คุณยังจะลงทุนในเครื่องนี้อยู่อีกไหม? ก็คงไม่ แล้วทำไมเราถึงยังลงทุนในเทคโนโลยีพลังงานที่อาศัยคำสัญญาแบบเดียวกันอยู่อีกล่ะ?

เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMRs) ไม่เหมือนกับเครื่องชงกาแฟ เพราะเป็นเทคโนโลยีจริงที่ให้คำมั่นว่าจะทำให้พลังงานนิวเคลียร์มีราคาถูกลงและเข้าถึงได้ง่ายขึ้น ในทางทฤษฎี ขนาดที่เล็กกว่าทำให้สามารถติดตั้งได้รวดเร็วกว่า และใช้ได้ในหลากหลายพื้นที่ ซึ่งถือเป็นข้อได้เปรียบเมื่อเทียบกับพลังงานแสงอาทิตย์ กังหันลม หรือพลังงานคลื่นทะเลที่มีข้อจำกัดด้านสถานที่ นอกจากนี้ เครื่องปฏิกรณ์บางแบบยังสามารถนำเชื้อเพลิงใช้แล้วกลับมาใช้ใหม่ได้ (เรียกว่า “วงจรเชื้อเพลิงปิด”) ซึ่งช่วยให้สามารถสกัดพลังงานได้มากกว่าที่เครื่องปฏิกรณ์แบบดั้งเดิมทำได้จากปริมาณเชื้อเพลิงเท่ากัน ด้วยเหตุนี้ หลายคนจึงยกย่องเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เหล่านี้ว่าเป็นกุญแจสำคัญในการแก้ปัญหาวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เพราะดูเหมือนจะตอบโจทย์ข้อจำกัดเดิมหลายอย่างที่พลังงานนิวเคลียร์เคยเผชิญมา

ในระดับนานาชาติ ฝรั่งเศสและอินเดียได้ประกาศแผนการเริ่มก่อสร้างเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กร่วมกัน โดยชื่นชมแหล่งพลังงานนี้ว่ามีศักยภาพในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่อนาคตที่ปล่อยคาร์บอนต่ำ อินเดียยังคาดว่าจะร่วมมือกับบริษัทจากสหรัฐฯ เพื่อเพิ่มการลงทุนในเทคโนโลยีนี้เช่นกัน ในทำนองเดียวกัน คริส ไรท์ ซึ่งได้รับเลือกจากทรัมป์ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีพลังงาน เคยดำรงตำแหน่งกรรมการของบริษัท Oklo Inc. ซึ่งมุ่งเน้นเทคโนโลยีนิวเคลียร์ขั้นสูง และกำลังผลักดันให้เกิดการลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ (ควบคู่กับเชื้อเพลิงฟอสซิล) ขณะที่รัฐบาลทรัมป์หันหลังให้พลังงานหมุนเวียนและหันไปเน้นพลังงานฟอสซิลกับนิวเคลียร์ หลายฝ่ายรวมถึงไรท์มองว่านี่คือเวลาของ “ยุคนิวเคลียร์ฟื้นคืนชีพ”

แต่น่าเสียดายที่ดูเหมือนว่าเครื่องปฏิกรณ์เหล่านี้จะไม่สามารถทำตามที่สัญญาไว้ได้จริง กระแสพูดถึงการติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กมีมาเป็นเวลากว่าทศวรรษแล้ว และแม้จะมีการออกแบบอยู่ราวร้อยแบบ แต่มีเพียงสองเครื่องเท่านั้นที่ถูกนำมาใช้งานจริง—หนึ่งเครื่องในจีน และอีกหนึ่งในรัสเซีย ในสหรัฐฯ แม้บริษัทเอกชนและรัฐบาลกลางจะลงทุนไปหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อพัฒนาเทคโนโลยีนี้ แต่โครงการกลับเผชิญกับความล่าช้าและการยกเลิกซ้ำแล้วซ้ำเล่า เวลาการก่อสร้างที่ยาวนาน ปัญหาด้านการควบคุมคุณภาพ และต้นทุนพลังงานที่สูงเกินไป (ทั้งสำหรับผู้ผลิตและผู้บริโภค) ได้ทำให้หลายฝ่ายสรุปว่านี่เป็นคำสัญญาที่ว่างเปล่า เมื่อยอมรับถึงความล้มเหลวนี้ บริษัทพลังงานรายใหญ่หลายราย เช่น Babcock & Wilcox และ Westinghouse จึงถอนการลงทุนออกจากโครงการ ทำให้นักลงทุนรายอื่นลังเลที่จะนำเงินไปลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์ แม้ว่าในทางทฤษฎี โมเดลเหล่านี้จะดูน่าตื่นเต้น แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ก็ยังเลือกที่จะหันไปหาทางเลือกอื่นแทน

ยิ่งไปกว่านั้น เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็กยังมาพร้อมกับความเสี่ยงอีกประการหนึ่ง: การเพิ่มโอกาสในการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ SMRs เป็นเทคโนโลยีแบบสองทาง (dual-use) กล่าวคือ หลังจากที่เครื่องปฏิกรณ์สกัดพลังงานจากแท่งเชื้อเพลิงแล้ว (ซึ่งเปรียบได้กับเมล็ดกาแฟในตัวอย่างก่อนหน้า) ก็จะหลงเหลือพลูโทเนียมเกรดอาวุธอยู่ในกากนิวเคลียร์ ซึ่งสามารถนำไปใช้สร้างอาวุธนิวเคลียร์ที่ทรงพลังได้

ความเสี่ยงนี้จะยิ่งรุนแรงขึ้นในเครื่องปฏิกรณ์ที่สามารถรีไซเคิลเชื้อเพลิงเพื่อผลิตพลังงานเพิ่ม เนื่องจากกากนิวเคลียร์ที่หลงเหลือจะมีศักยภาพสูงและเหมาะสมยิ่งกว่าสำหรับการนำไปผลิตอาวุธนิวเคลียร์ นี่จึงกลายเป็นความท้าทายสำคัญ เพราะหากต้องการให้ SMRs สร้างประโยชน์ตามที่กล่าวอ้างไว้จริง พวกมันต้องมีความแตกต่างจากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์รุ่นเดิมอย่างชัดเจน นั่นหมายความว่า เครื่องออกแบบใหม่เหล่านี้จะต้องมีประสิทธิภาพสูงกว่า และใช้จุดเด่นด้านความยืดหยุ่นให้เกิดประโยชน์ ซึ่งโดยมากแล้วจะหมายถึงการมีเครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กจำนวนมากที่สามารถรีไซเคิลเชื้อเพลิงได้ ยิ่งมีวัสดุนิวเคลียร์ฟิชชัน (ทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ) ออกมาจากเครื่องปฏิกรณ์มากเท่าไร การติดตามตรวจสอบเส้นทางของกากเชื้อเพลิงเหล่านี้ก็จะยิ่งยากขึ้น

สถานการณ์ยิ่งซับซ้อนเข้าไปอีก เพราะแม้แต่ระบบตรวจสอบที่มีอยู่แล้วก็ยังมีปัญหา โดยเฉพาะในกระบวนการขนส่งวัสดุนิวเคลียร์จากโรงงานไปยังสถานที่กำจัดขยะ การเบี่ยงเบนเส้นทางของวัสดุเหล่านี้สามารถเกิดขึ้นได้โดยง่าย และอาจเปิดทางให้กับรัฐที่มีความทะเยอทะยานด้านนิวเคลียร์มานานอย่างอิหร่าน (ซึ่งยังอยู่ในสงครามตัวแทนกับศัตรูที่มีอาวุธนิวเคลียร์) หรือแม้แต่องค์กรที่ไม่ใช่รัฐ เช่น กลุ่มหัวรุนแรงในประเทศหรือนักรบก่อการร้ายอย่าง ISIS ได้ครอบครองอาวุธนิวเคลียร์ในที่สุด

น่าเสียดายสำหรับผู้ที่สนับสนุนเทคโนโลยีนี้ เพราะดูเหมือนว่าสหรัฐฯ จะไม่สามารถควบคุมหรือเฝ้าระวังการแพร่กระจายของเทคโนโลยี SMRs ได้อย่างมีประสิทธิภาพ สหรัฐฯ ไม่อาจกำหนดมาตรฐานให้กับ SMRs ได้ในเมื่อยังตามหลังรัสเซียและจีนในด้านการผลิต แม้ในอนาคตจะพัฒนาได้ แต่ประเทศที่อยู่ในโครงการโครงสร้างพื้นฐานระดับโลกของจีนอย่าง “หนึ่งแถบหนึ่งเส้นทาง” (Belt and Road Initiative) ก็คงไม่มีเหตุผลที่จะรอซื้อแบบเครื่องปฏิกรณ์จากสหรัฐฯ เมื่อสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีของจีนได้ทันทีในตอนนี้

เทคโนโลยีพลังงานของจีนยังน่าจะมีความสามารถในการใช้งานร่วมกับโครงสร้างพื้นฐานเดิมได้ดีกว่าแบบของสหรัฐฯ ซึ่งยิ่งจำกัดส่วนแบ่งทางการตลาดของสหรัฐฯ ลงไปอีก แม้แต่พันธมิตรใกล้ชิดของสหรัฐฯ ก็อาจไม่ต้องการแบบของอเมริกา เพราะบางประเทศ เช่น เยอรมนีและญี่ปุ่น ก็ได้ละทิ้งพลังงานนิวเคลียร์ไปแล้ว เมื่อพิจารณาถึงความลังเลและความล่าช้าเหล่านี้ เครื่องปฏิกรณ์ขนาดเล็กจึงอาจไม่สามารถถูกติดตั้งได้ในขนาดที่ใหญ่พอจะช่วยรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศได้ หรืออีกทางหนึ่ง อาจถูกเร่งสร้างจนขาดความรอบคอบ ซึ่งนั่นจะเพิ่มความเสี่ยงที่รัฐหรือกลุ่มที่ไม่ใช่รัฐจะสามารถเข้าถึงอาวุธนิวเคลียร์ได้

แม้บางคนอาจโต้แย้งว่าการลงทุนในพลังงานหมุนเวียนทุกรูปแบบถือเป็นผลบวกโดยรวมในการต่อสู้กับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แต่การลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์กลับเป็นการจำกัดทางเลือกของรัฐบาลในอนาคต การลงทุนในพลังงานนิวเคลียร์อาจก่อให้เกิดปรากฏการณ์ “ใบอนุญาตทางศีลธรรม” ที่อันตราย ซึ่งทำให้ผู้นำในอนาคตรู้สึกว่าไม่จำเป็นต้องลงทุนในแหล่งพลังงานหมุนเวียนอื่น ๆ ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า เพราะพวกเขาคิดว่าพลังงานนิวเคลียร์เพียงอย่างเดียวก็เพียงพอแล้ว

ในทางประวัติศาสตร์ ภายใต้แผนพลังงานสะอาด (Clean Power Plan) รูปแบบการจัดสรรเงินอุดหนุนกลับส่งผลให้พลังงานนิวเคลียร์ไปบั่นทอนการพัฒนาพลังงานประเภทอื่นโดยตรง เพื่อทำให้ราคาพลังงานนิวเคลียร์สามารถแข่งขันได้ รัฐบาลสหรัฐฯ จึงให้เงินอุดหนุน ซึ่งทำให้เงินส่วนนี้ถูกเบี่ยงเบนออกจากพลังงานแสงอาทิตย์ ลม และคลื่นทะเล

ในขณะที่พลังงานแสงอาทิตย์กำลังกลายเป็นตัวเลือกที่ถูกที่สุด การให้เงินอุดหนุนเพิ่มเติมแก่พลังงานประเภทนี้ หรือพันธมิตรพลังงานสะอาดอื่น ๆ อาจช่วยเสริมความแข็งแกร่งของพลังงานหมุนเวียนในตลาด แต่หากปราศจากเงินอุดหนุนเหล่านี้ พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิลก็อาจยังคงรักษาฐานที่มั่นของตนไว้ในตลาดต่อไปได้อีกนาน เมื่อพิจารณาถึงภัยคุกคามต่อสภาพภูมิอากาศที่เรากำลังเผชิญอยู่ ความเสี่ยงที่เกิดจากแนวโน้มนี้ไม่อาจมองข้ามได้เลย

แม้ผู้สนับสนุนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMRs) จะพูดถูกว่าพลังงานหมุนเวียนจำเป็นต้องถูกนำมาใช้โดยเร็ว แต่การเร่งรีบผลักดันเครื่องปฏิกรณ์เหล่านี้ออกสู่ตลาดโลกอย่างเร่งด่วนโดยไม่มีความรอบคอบ อาจกลายเป็นการแลกวิกฤตหนึ่งกับอีกวิกฤตหนึ่ง และเปิดประตูสู่ยุคใหม่ของการแพร่กระจายอาวุธนิวเคลียร์

ในทำนองเดียวกัน หากรัฐบาลทรัมป์ต้องการรักษาคำมั่นเรื่องราคาพลังงานที่ต่ำ ทางเลือกที่ดีที่สุดคือเลิกลงทุนในอุตสาหกรรมนิวเคลียร์ และเปิดทางให้พลังงานแสงอาทิตย์และพลังงานลมเข้ามามีบทบาทแทน

เช่นเดียวกับเครื่องชงกาแฟสมมุติในตัวอย่างก่อนหน้า ประโยชน์ของ SMRs ก็อาจเป็นได้แค่แนวคิดที่ดูดี แต่ไม่มีอะไรเป็นรูปธรรมมากกว่านั้น และเมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศใกล้เข้ามาทุกขณะ เราไม่มีเวลาหลงเชื่อคำมั่นสัญญาที่ว่างเปล่าอีกต่อไป—ถึงเวลาที่ต้องเลิกหวังกับ SMRs แล้ว