
หวุดหวิดที่จะเป็นผู้ประสบวิกฤตรถติดบางนา-ตราดจากฝนถล่มเมื่อวานเย็นที่ผ่านมา ยังดีที่ฝ่าออกมาได้ทันหลังจาก onsite interview(สะพานแดง สมุทรสาคร/คลองส่งน้ำสุวรรณภูมิ-สมุทรปราการ) ในสารคดี the Last Jigsaw ของ TPBS ว่าด้วยเรื่องคลาสิค “กรุงเทพฯ จะจมน้ำไหม?”
ปี 2564 กรีนพีซ ประเทศไทยร่วมกับทีมกรีนพีซ เอเชียตะวันออกสังเคราะห์ข้อมูลเรื่องความเสียหายทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์จากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลแบบสภาวะสุดขีดใน 7 เมืองของเอเชียภายในปี 2573 ซึ่งระบุว่า พื้นที่มากกว่าร้อยละ 96 ของกรุงเทพมหานครเป็นพื้นที่ลุ่มต่ำ หากระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นจะเสี่ยงต่อการเกิดน้ำท่วม เมื่อพิจารณาถึงอุทกภัยคาบอุบัติซ้ำ 10 ปี (ten-year flood) ที่จะเกิดขึ้นจนถึงปี 2573 เหตุการณ์น้ำท่วมชายฝั่งที่เกิดจากคลื่นพายุซัดฝั่งและระดับน้ำทะเลขึ้นสูงสุดโดยมีโอกาสเกิดขึ้นร้อยละ 10 ต่อปี ที่จะเกิดน้ำท่วมสูงเกินระดับน้ำทะเล
ความเสี่ยงต่อน้ำท่วมจะส่งผลความเสียหายทางเศรษฐกิจให้แก่กรุงเทพมหานครคิดเป็นมูลค่ารวม 512,280 ล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 96 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมกรุงเทพมหานคร หรือร้อยละ 60 ของมูลค่าผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศไทย และประชากร 10.45 ล้านคนในพื้นที่กรุงเทพมหานครอาจได้รับผลกระทบจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเลและน้ำท่วมชายฝั่งในปี พ.ศ.2573
คำถามจากคุณคริสโตเฟอร์ ไรท์ ผู้ดำเนินรายการ – “จากข้อมูลของกรีนพีซที่ให้ไว้เมื่อกลางปี 64 ว่าภายในปี 2573 (อีก 5 ปีจากนี้) แนวโน้มเป็นไปตามที่คาดการณ์ไว้ไหม”
คำตอบคือ เรายังบอกไม่ได้ เหตุผลคือการสังเคราะห์ที่ว่านี้ใช้ฉากทัศน์ที่เลวร้ายที่สุด (RCP8.5 ซึ่งเป็นหนึ่งใน 4 ของฉากทัศน์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกแบบ Representative Concentration Pathway หมายถึง สถานการณ์ที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกในระดับที่สูงโดยที่การเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยพื้นผิวโลกช่วงปลายศตวรรษที่ 21 จะอยู่ระหว่าง 2.6-4.8 องศาเซลเซียส) ทั้งหมดทั้งมวลขึ้นอยู่กับสิ่งที่เราทำในเรื่องนโยบายสภาพภูมิอากาศ (climate policy) ในทุกระดับ
แต่ที่แน่นอน ในอีก 5 ปี กรุงเทพฯ จะยังไม่จมอยู่ใต้ทะเล (การสังเคราะห์ของเราไม่ได้ระบุเช่นนั้น)
เรากำลังเผชิญกับความปั่นป่วนของสภาพภูมิอากาศ (climate chaos) หรือ อาจเรียกว่า ปรากฏการณ์ ‘climate whiplash’ – สภาพอากาศที่เปลี่ยนแปลงรุนแรงระหว่างน้ำท่วมและภัยแล้ง นักวิชาการบางคนใช้คำ climate hazard flips โดยสภาพภูมิอากาศทั่วโลกเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงและรุนแรง ไม่มีแนวทางเดียวที่ใช้ได้กับทุกที่
กรุงเทพฯ และปริมณฑลเจอความเสี่ยงจากการเพิ่มขึ้นของระดับน้ำทะเล(sea level rise) น้ำหลากจากลุ่มน้ำตอนบน(runoff) และน้ำฟ้า(precipitation) และต้องเผชิญกับน้ำท่วมชายฝั่ง (coastal flooding) น้ำท่วมฉับพลัน(flash flood) และน้ำท่วมเป็นบริเวณ(local flood) เพียงแค่อย่างใดอย่างหนึ่ง กรุงเทพฯ และปริมณฑลก็สามารถก่อวิกฤตรถติด (traffic gridlock) อย่างที่เห็นกรณีบางนาตราดวันทีี 16 พฤษภาคมที่ผ่านมา
การเลือกตั้งผู้ว่า กทม. ที่ผ่านมา ทีมกรีนพีซรวมหัวกันกับผู้เชี่ยวชาญอิสระด้านนโยบายสาธารณะจัดทำข้อเสนอโดยตั้งความหวังว่ากรุงเทพมหานครเป็นเมืองที่จะได้รับผลกระทบลดลงจากความเสี่ยงเมืองจมน้ำ และจะมีศักยภาพและขีดความสามารถในการปรับตัวเผชิญภัยพิบัติต่างๆ ที่จะส่งผลให้พื้นที่เมืองมีน้ำท่วมขังเป็นเวลานาน
การบริหารจัดการจำเป็นต้องเร่งดำเนินการและใช้เวลามากกว่า 4 ปี ในแต่ละสมัยของการทำงานของผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร แต่การวางแนวทางและแผนแบบที่ดีจะนำไปสู่การลดทอนปัญหาลงได้ในอนาคตและเกิดความยืดหยุ่นต่อการพัฒนา กระบวนการดำเนินงานของกรุงเทพมหานครที่คาดหวังภายใน 4 ปี คือ
- ยกระดับกลุ่มงานยุทธศาสตร์การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ แผนแม่บทการเปลี่ยนสภาพอากาศของ กทม. โดยอาจให้ไปอยู่ภายใต้ผู้ว่าฯ ที่เป็นโครงสร้างพิเศษ ทีมเฉพาะกิจ หรืออยู่ภายใต้ปลัดกทม. เพื่อให้มีอำนาจ สามารถทำงานร่วมกับหน่วยงานอื่น ๆ ของกรุงเทพมหานครได้สะดวกและคล่องตัว สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง พร้อมพัฒนาศักยภาพของทีมเพื่อให้สามารถดำเนินการเรื่องวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่เป็นเรื่องซับซ้อนเกี่ยวพันกับหลายส่วนและหลายหน่วยงานได้
- ประชาชนต้องมีส่วนร่วมอย่างแท้จริงไม่ใช่ public hearing ที่มุบมิบทำเพราะปัญหาเกี่ยวพันกับหลายส่วนและกระทบทุกคน/เปิดเผยข้อมูลสู่สาธารณะ/ประสานความร่วมมือกับภาคประชาชน
- ทำตัวชี้วัดโดยผู้เชี่ยวชาญภายนอกที่ตรงกับปัญหา ตั้งเป้าหมายที่ทะเยอทะยานและสอดคล้อง ไม่ใช้เพียงแค่ระดับที่มีศักยภาพผ่านได้ง่ายแต่ไม่สอดคล้องกับขนาดของปัญหา และมีการประเมินและวัดผลโดยบุคคลภายนอกและสาธารณะ
- ปกป้องฟื้นฟูพื้นที่และระบบนิเวศชายฝั่งทะเลของกรุงเทพมหานครและพื้นที่จังหวัดที่ต่อเนื่องกับกรุงเทพมหานครโดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่ป่าชายเลน
- ออกข้อบัญญัติการใช้ประโยชน์ที่ดินในพื้นที่ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นพื้นที่น้ำท่วมขัง จัดทำแผนยุทธศาสตร์การใช้พื้นที่ที่เป็นแหล่งน้ำและเส้นทางน้ำสาธารณะของภาคเอกชน ระดมสำรวจศักยภาพพื้นที่รับน้ำธรรมชาติและการฟื้นคืนพื้นที่สาธารณะบางส่วนให้มีความสามารถรองรับภาวะน้ำท่วมชายฝั่ง (coastal flooding) น้ำท่วมฉับพลัน(flash flood) และน้ำท่วมเป็นบริเวณ(local flood)
