เรียบเรียงจาก https://reccessary.com/en/research/taiwan-nuclear-free-moment-milestone-in-energy-transition โดย Taiwan Climate Action Network (TCAN)

เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เครื่องสุดท้ายของไต้หวันที่ยังใช้งานอยู่ถูกปิดลงเมื่อวันที่ 17 พฤษภาคม ทำให้ไต้หวันกลายเป็น “เขตปลอดนิวเคลียร์” อย่างเป็นทางการ (ภาพ: บริษัทไฟฟ้าไต้หวัน)
เมื่อเวลาประมาณ 22.00 น. ของวันที่ 17 พฤษภาคม เครื่องปฏิกรณ์เครื่องสุดท้ายของโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เหมาหนาน (Maanshan Nuclear Power Plant หรือ NPP3) ได้ถูกตัดออกจากระบบสายส่งไฟฟ้า และด้วยการกระทำที่เงียบงันเพียงครั้งเดียวนี้ ไต้หวันได้ปิดฉากยุคนิวเคลียร์อย่างเป็นทางการ—บรรลุวิสัยทัศน์อันยาวนานของการเป็น “เขตปลอดนิวเคลียร์” ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ถูกระบุไว้ในทั้งพระราชบัญญัติสิ่งแวดล้อมพื้นฐานและพระราชบัญญัติตอบสนองการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของประเทศ
นี่ไม่ใช่แค่การปลดระวางโรงไฟฟ้า แต่คือช่วงเวลาแห่งประวัติศาสตร์ในความขัดแย้งยาวนานหลายทศวรรษว่าด้วยอนาคตของระบบพลังงานของไต้หวัน—ทางเลือกที่อยู่ระหว่างสองแนวทางการพัฒนาที่แตกต่างกัน นับตั้งแต่เริ่มใช้นโยบายเปลี่ยนผ่านพลังงานในไตรมาสแรกของปี 2016 สัดส่วนของพลังงานนิวเคลียร์ในการผลิตไฟฟ้าของประเทศลดลงจาก 17% เหลือเพียง 3% ถ่านหินซึ่งเคยเป็นแหล่งหลักก็ลดลงจาก 47% เหลือ 35% ขณะที่พลังงานหมุนเวียน—ส่วนใหญ่คือพลังงานลมและแสงอาทิตย์—เพิ่มขึ้นเกือบสิบเท่าจาก 1.3% เป็น 12% และก๊าซเหลว (LNG) กลายเป็นแหล่งผลิตไฟฟ้าหลักคิดเป็น 46% ของทั้งระบบ
ประเด็นเรื่องพลังงานนิวเคลียร์ในไต้หวันเป็นประเด็นอ่อนไหวทางการเมืองมาโดยตลอด มีการลงประชามติระดับชาติถึงสองครั้ง—ในปี 2018 และ 2021—ที่มุ่งเน้นเรื่องนโยบายด้านนิวเคลียร์ และเพียงไม่กี่วันก่อนการปิดโรงไฟฟ้าเหมาหนาน ในวันที่ 13 พฤษภาคม ฝ่ายนิติบัญญัติซึ่งสนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติได้แก้ไขพระราชบัญญัติควบคุมโรงงานเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ โดยเปิดทางให้เจ้าของโรงไฟฟ้าสามารถยื่นขอต่ออายุการใช้งานแม้ใบอนุญาตจะหมดอายุแล้ว ขณะนี้ กลุ่มเดียวกันนี้กำลังผลักดันให้มีการจัดประชามติเรื่อง NPP3 อีกครั้งในเดือนสิงหาคม ซึ่งอาจเป็นการเปิดประตูที่เพิ่งปิดไปกลับขึ้นมาอีกครั้ง
ในขณะที่ไต้หวันเริ่มต้นบทใหม่ของการเปลี่ยนผ่านพลังงาน จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องตั้งคำถามกับความเข้าใจผิดที่ยังฝังรากลึกเกี่ยวกับการยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์—ความเข้าใจผิดที่บิดเบือนผลกระทบที่แท้จริงของการเปลี่ยนผ่านนี้
- คุณภาพอากาศดีขึ้น ไม่ได้แย่ลง หนึ่งในข้อกล่าวอ้างที่ได้ยินบ่อยที่สุดคือ การยุติการใช้พลังงานนิวเคลียร์จะทำให้มลพิษทางอากาศเลวร้ายลง แต่ในความเป็นจริงกลับตรงกันข้าม ระหว่างปี 2016 ถึง 2024 ค่าฝุ่นละออง PM2.5 เฉลี่ยรายปีของไต้หวันลดลงจาก 20 µg/m³ เหลือ 12.8 µg/m³ ขณะที่บริษัทไฟฟ้าไต้หวัน (Taipower) ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจ ได้ลดการปล่อยมลพิษทางอากาศทั้งหมดลงถึง 70% ในช่วงเวลาเดียวกัน การลดการใช้ถ่านหินร่วมกับการบังคับใช้กฎระเบียบที่เข้มงวดขึ้นและการใช้พลังงานสะอาดมากขึ้น เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้อากาศดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
- ราคาค่าไฟเพิ่มขึ้นจริง—แต่เรื่องนี้มีรายละเอียดมากกว่าที่คิด ใช่แล้ว ค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 33% ระหว่างปี 2016 ถึง 2024 แต่สิ่งสำคัญคือต้องดูบริบท: การปรับราคาส่วนใหญ่มาเกิดขึ้นภายหลังวิกฤตพลังงานโลกในปี 2022 สำหรับครัวเรือนและธุรกิจขนาดเล็ก ราคาค่าไฟเพิ่มขึ้นเพียง 7.1% เท่านั้น ขณะที่สัดส่วนรายได้ครัวเรือนที่ใช้ไปกับค่าไฟกลับลดลงจาก 1.1% เหลือ 0.9% เบื้องหลังคือการปฏิรูประบบอุดหนุนเชื้อเพลิงฟอสซิล—โดยเฉพาะที่เคยเอื้อประโยชน์ต่อภาคอุตสาหกรรม—เพื่อเปิดทางสู่ระบบพลังงานที่เป็นธรรมมากขึ้น
- ระบบสายส่งมีเสถียรภาพมากขึ้น ไม่ใช่น้อยลง เหตุการณ์ไฟดับครั้งใหญ่ในปี 2018 และ 2021 ได้บั่นทอนความเชื่อมั่นของสาธารณชนต่อความมั่นคงด้านพลังงาน อย่างไรก็ตาม ในความเป็นจริง ระบบพลังงานของไต้หวันกลับมีเสถียรภาพมากขึ้น ในปี 2016 มีเพียง 126 วันที่ระบบมีสำรองไฟฟ้าเพียงพอ แต่ในปี 2024 จำนวนนี้เพิ่มขึ้นเป็น 347 วัน การลงทุนในระบบกักเก็บพลังงานด้วยแบตเตอรี่ (1.5 กิกะวัตต์) และระบบตอบสนองความต้องการใช้ไฟฟ้า (2.7 กิกะวัตต์) ยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการความต้องการพลังงานสูงสุดของประเทศ ซึ่งอยู่ที่ 43 กิกะวัตต์
ทำไมเรายังยืนยันที่จะ “ไม่เอา” พลังงานนิวเคลียร์
นักวิจารณ์มักลดทอนเหตุผลของฝ่ายที่คัดค้านพลังงานนิวเคลียร์ให้เหลือเพียงเรื่องความปลอดภัยและปัญหากากกัมมันตรังสี ซึ่งแม้จะเป็นประเด็นจริง แต่ก็ไม่ใช่เหตุผลทั้งหมด ประเด็นที่ลึกกว่านั้นคือผลกระทบที่เรียกว่า crowding-out effect หรือ “ผลเบียดบังเชิงนโยบายและการลงทุน”
งานวิจัยหลายชิ้น—รวมถึงการศึกษาของ Sovacool และคณะในปี 2020—ชี้ให้เห็นว่า พลังงานนิวเคลียร์และพลังงานหมุนเวียนมักแข่งขันกันทั้งในด้านความสนใจเชิงนโยบายและงบประมาณ ไต้หวันคือกรณีศึกษาคลาสสิก ภายใต้นโยบายยุตินิวเคลียร์ในปัจจุบัน ประเทศตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียนเป็น 20% และพลังงานจากก๊าซเป็น 50% เพื่อให้สัดส่วนถ่านหินลดลงเหลือ 30% เส้นทางนี้กำลังเป็นจริง: พลังงานหมุนเวียนกำลังจะไปถึงเป้าหมาย 20% ภายในปี 2027 และสัดส่วนถ่านหินอาจลดลงเหลือ 30% ได้เร็วที่สุดภายในปีนี้
ตรงกันข้าม กลุ่มที่สนับสนุนพลังงานนิวเคลียร์มีแผนในปี 2025 ที่ตั้งเป้าพลังงานหมุนเวียนไว้เพียง 10% และยังคงพึ่งพาถ่านหินถึง 44% พูดง่าย ๆ คือ: ที่ใดที่พลังงานนิวเคลียร์ยังอยู่ การลดคาร์บอนมักชะลอตัว
นี่ไม่ใช่แค่ประเด็นในเชิงวิชาการ กลุ่มการเมืองเดียวกันที่ต้องการหวนกลับไปใช้พลังงานนิวเคลียร์ ยังได้เสนอให้ตัดงบประมาณสำหรับโซลาร์รูฟท็อป พลังงานลม และโครงการเพิ่มประสิทธิภาพพลังงานของภาคครัวเรือน พวกเขาโทษพลังงานหมุนเวียนว่าเป็นสาเหตุของค่าไฟที่สูงขึ้น และขู่ว่าจะยกเลิกกลไก Feed-in Tariff ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการส่งเสริมการลงทุนด้านพลังงานหมุนเวียน
สารจากไต้หวันถึงโลก: อนาคตที่ปลอดคาร์บอนและไร้นิวเคลียร์เป็นจริงได้
เมื่อผู้คนรวมตัวกันหน้าสำนักงานใหญ่ของบริษัทไฟฟ้าไต้หวัน (Taipower) ในวันที่ 17 พฤษภาคม บรรยากาศอบอวลไปด้วยความรู้สึกแห่งชัยชนะ—แต่ก็เต็มไปด้วยความตื่นตัว ท่ามกลางผู้ร่วมงานหลายร้อยคนที่มาร่วมเฉลิมฉลองช่วงเวลาประวัติศาสตร์นี้ ยังมีผู้สนับสนุนจากทั่วทั้งเอเชีย: ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ อินเดีย ฟิลิปปินส์ และประเทศอื่น ๆ การปรากฏตัวของพวกเขาสะท้อนว่าเรื่องราวด้านพลังงานของไต้หวันส่งแรงกระเพื่อมเกินพรมแดนของประเทศ
ช่วงเวลานี้ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการต่อสู้—แต่คือจุดเริ่มต้นของระยะใหม่ เส้นทางสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน (net-zero) ยังคงสูงชัน แต่ไต้หวันได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การลดคาร์บอนไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพลังงานนิวเคลียร์ ด้วยการผสมผสานที่ลงตัวระหว่างเจตจำนงทางการเมือง การสนับสนุนจากสาธารณชน และการลงทุนที่ชาญฉลาด อนาคตที่ปลอดคาร์บอนและไร้นิวเคลียร์ไม่ใช่แค่ความเป็นไปได้—แต่มันกำลังเกิดขึ้นจริง
ขอให้ข้อความนี้ไม่เพียงส่งถึงไต้หวัน แต่ส่งถึงทั่วทั้งโลก
Note - Taiwan Climate Action Network (TCAN) composes of the five most active and progressive environmental NGOs that are concerned about the climate crisis both globally and in Taiwan, the member organizations including the Green Citizens Action Alliance (GCAA), Citizens of Earth in Taiwan (CET), Environmental Rights Foundation (ERF), Homemakers United Foundation (HUF), and Taiwan Environment & Planning Association (TE&P)
