ชัดเจนว่าเรามีช่องว่างใหญ่ในการกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศ รัฐบาลและผู้เล่นที่ไม่ใช่รัฐมีจำนวนเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ที่ให้คำมั่นว่าจะมุ่งสู่ความเป็นกลางทางคาร์บอน – และแน่นอนว่านั่นเป็นข่าวดีปัญหาคือเกณฑ์และมาตรฐานสำหรับคำมั่นสัญญาเหล่านี้มีระดับความเข้มงวดที่แตกต่างกันและมีช่องโหว่ใหญ่พอที่จะขับรถดีเซลผ่านได้ เราต้องไม่ยอมให้มีการฟอกเขียว Net Zero 

-อันโตนิโอ กูเตอร์เรส เลขาธิการ UN ในการเปิดตัวรายงานของคณะผู้เชี่ยวชาญระดับสูงว่าด้วย net zero-

อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลมีประวัติที่ยาวนานและสกปรกในการฟอกเขียวเพื่อปกปิดการดำเนินงานที่เป็นอันตรายของตน แต่กลยุทธ์เหล่านี้กลับฟื้นคืนชีพใหม่ท่ามกลางวิกฤตสภาพภูมิอากาศ เมื่อผู้คนเริ่มเรียกร้องให้มีการดำเนินการเร่งด่วนต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ บริษัทน้ำมันและก๊าซจึงหันมาใช้โฆษณาหลอกลวงรูปแบบใหม่ที่ออกแบบมาเพื่อหลอกล่อให้คุณเชื่อว่าพวกเขากำลังทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นต่อการปกป้องโลกของเรา—แต่พวกเขาไม่ได้ทำจริง

อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลไม่ได้หมายถึงเพียงผู้ผลิตน้ำมันและก๊าซเท่านั้น แต่ยังรวมถึงธุรกิจอื่นๆ ที่มีผลประโยชน์ในการรักษาเศรษฐกิจให้ยังพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลอยู่

  • บริษัทสาธารณูปโภคก๊าซ
  • ผู้ผลิตเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • บริษัทรถยนต์ เช่น Kia และ Volkswag
  • บริษัทการบิน
  • สมาคมอุตสาหกรรมและกลุ่มล็อบบี้ที่ทำงานในนามของกลุ่มผลประโยชน์ดังกล่าว

แล้วการฟอกเขียวคืออะไร?

เมื่ออุตสาหกรรมฟอสซิลทำการแถลงที่หลอกลวง ไม่เป็นความจริง หรือขาดหลักฐานเพื่อแสดงว่าตนเองเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมหรือวางตนเป็นผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ ขณะเดียวกันการกระทำและการลงทุนของบริษัทอุตสาหกรรมกลับยังคงเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อมและเร่งเร้าวิกฤตสภาพภูมิอากาศ นี่เป็นกลยุทธ์ทางการตลาดของบริษัทที่ใช้เมื่อคำพูดของบริษัทไม่สอดคล้องกับการกระทำ

การฟอกเขียวของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลคือการปฏิเสธวิกฤตสภาพภูมิอากาศรูปแบบใหม่

รายงานของ Greenpeace Netherlands ในปี 2022 ที่นำโดยนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดพบว่ามีการฟอกเขียวใน 72% ของโพสต์ในโซเชียลมีเดียโดยอุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซ โดยใช้เทคนิคการตลาดที่ฉลาด ใช้ภาษาที่คลุมเครือ ภาพลักษณ์ที่สดใส และการสนับสนุนที่คำนวณไว้แล้ว

อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลพยายามทำให้ลืมข้อเท็จจริงสามประการหลักคือ:

  • การปล่อยก๊าซของอุตสหากรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นตัวกระตุ้นวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และได้เป็นเช่นนั้นมานานกว่าศตวรรษ
  • แม้ว่าจะเป็นกลุ่มแรกๆ ที่รู้ในช่วงปี 1980 ว่าการเผาไหม้น้ำมัน ถ่านหิน และก๊าซจะทำให้เกิดภาวะโลกร้อน แต่อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลกลับทำแคมเปญประชาสัมพันธ์ยาวนานหลายสิบปีเพื่อปฏิเสธการมีอยู่ของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
  • เมื่อไม่อาจปฏิเสธความจริงได้อีกต่อไป อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลจึงเปลี่ยนไปใช้กลยุทธ์การหลอกลวงเพื่อปกป้องผลกำไร โดยเป็นอุปสรรคและชะลอปฏิบัติการกู้วิกฤตสภาพภูมิอากาศอย่างจริงจัง

การฟอกเขียวเป็นเพียงหนึ่งในกลยุทธ์ในตำราประชาสัมพันธ์ที่กว้างขึ้นของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลในการถ่วงเวลาและการหลอกลวง วิธีการอื่นๆ ที่อุตสาหกรรมนี้ใช้ได้แก่:

  • การฟอกวัฒนธรรม (Culture-Washing): การสนับสนุนกิจกรรมทางศิลปะ วัฒนธรรม และดนตรีช่วยเชื่อมโยงบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลกับภาพลักษณ์ที่ก้าวหน้าและให้ความรู้ เพื่อล้างภาพลักษณ์ของตน
  • การฟอกกีฬา (Sport-Washing): การแข่งขันกีฬาและทีมกีฬา ตั้งแต่ระดับมืออาชีพจนถึงระดับเยาวชน ต่างก็เต็มไปด้วยการสนับสนุนจากอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล โดยน่าขันที่พวกเขายังสนับสนุนกีฬาฤดูหนาวซึ่งถูกคุกคามจากภาวะโลกร้อนด้วย นี่เป็นอีกวิธีหนึ่งที่พวกเขาใช้ซื้อใบอนุญาตทางสังคมในราคาถูก

การฟอกเขียวทำร้ายเราและโลกอย่างไร?

  • ช่วยให้อุตสาหกรรมปกปิดอันตรายของผลิตภัณฑ์ของตนได้ เช่นเดียวกับที่บริษัทบุหรี่โกหกเกี่ยวกับความเสี่ยงต่อสุขภาพจากการสูบบุหรี่ บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลอย่าง Exxon ปฏิเสธการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศมานานหลายสิบปี ปัจจุบัน ผู้คนทั้งในแคนาดาและทั่วโลกต้องเผชิญกับความสูญเสียทั้งชีวิตและที่อยู่อาศัยจากภัยพิบัติทางสภาพอากาศและมลพิษจากเชื้อเพลิงฟอสซิล
  • ทำให้เชื้อเพลิงฟอสซิลเป็นเรื่องปกติ การฟอกเขียวได้ถ่วงเวลาในการเปลี่ยนไปสู่ตัวเลือกพลังงานที่ยั่งยืนมากขึ้น อุตสาหกรรมรู้ดีว่าผู้คนให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม การวางตนอย่างผิดๆ ว่าเป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหาจึงอาจทำให้ผู้บริโภคเชื่อผิดๆ ว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลยังมีที่ทางในอนาคตที่ปลอดภัยต่อสภาพภูมิอากาศ
  • ถ่วงเวลาในการออกนโยบาย โฆษณาเชิงสนับสนุนที่มุ่งมีอิทธิพลต่อผู้มีอำนาจตัดสินใจสามารถช่วยให้รัฐบาลล่าช้าในการดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศและสนับสนุนการคงเงินอุดหนุนที่จะช่วยให้นักก่อมลพิษรายใหญ่ดำเนินกิจการต่อไปได้ โดยร่วมกับกลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้น สิ่งนี้กำหนดทางเลือกด้านพลังงานที่มีให้ผู้บริโภค รวมถึงทำให้พลังงานเหล่านั้นราคาถูก น่าดึงดูด และสะดวก”

กลยุทธ์การฟอกเขียวหลักของ Big Oil

1 การเลือกพูดความจริงบางส่วน (Paltering): การคัดเลือกบางส่วนของความจริง

สหราชอาณาจักรสั่งห้ามโฆษณาของ Big Oil ที่กล่าวเกินจริงเกี่ยวกับการลงทุนในพลังงานหมุนเวียน

ในเดือนมิถุนายน 2023 สำนักงานมาตรฐานการโฆษณาของสหราชอาณาจักร (ASA) ได้สั่งห้ามโฆษณาของ Shell, Repsol และ Petronas หลังจากกลุ่มเคลื่อนไหว Adfree Cities ยื่นคำร้อง โดยโฆษณาของ Shell อ้างอย่างเกินจริงว่า: “จากการชาร์จยานพาหนะไฟฟ้าจนถึงไฟฟ้าหมุนเวียนสำหรับบ้านของคุณ Shell กำลังให้ลูกค้ามีทางเลือกคาร์บอนต่ำมากขึ้นและช่วยขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงพลังงานของสหราชอาณาจักร” หน่วยงานกำกับดูแลของสหราชอาณาจักรได้ตัดสินว่าโฆษณานี้เป็นการหลอกลวง โดยชี้ว่า 95% ของธุรกิจของ Shell ในช่วงเวลานั้นยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิล

BP ถอนแคมเปญโฆษณาที่ไม่น่าไว้วางใจ : ในปี 2019 องค์กรกฎหมายสิ่งแวดล้อมของสหราชอาณาจักร ClientEarth ได้ยื่นคำร้องต่อแคมเปญ “Possibilities Everywhere” และ “Keep Advancing” ของ BP ซึ่งโปรโมตผลิตภัณฑ์พลังงานต่ำ แม้ว่า 96% ของรายจ่ายประจำปีของ BP ในขณะนั้นจะไปยังธุรกิจน้ำมันและก๊าซ คำร้องนี้ถูกยื่นภายใต้แนวทางขององค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) สำหรับวิสาหกิจข้ามชาติ

ในการตอบสนอง BP ได้ถอนโฆษณาของตนและให้คำมั่นว่าจะไม่ทำการโฆษณาเพื่อเสริมสร้างชื่อเสียงขององค์กรอีกต่อไป และจะเปลี่ยนการใช้จ่ายในการโฆษณาไปสนับสนุนการกำหนดนโยบายด้านสภาพภูมิอากาศที่ก้าวหน้า กรณีนี้พิสูจน์ว่าองค์กรระหว่างประเทศสามารถช่วยให้ Big Oil ต้องรับผิดชอบ การกล่าวอ้างเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ บริการ หรือบริษัททั้งหมดโดยอิงจากแง่มุมบางอย่างของผลิตภัณฑ์ บริการ หรือบริษัทนั้นเป็นการหลอกลวง การเน้นกิจกรรมที่ยั่งยืนบางอย่างเพื่อให้เกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อมของธุรกิจคือการฟอกเขียว นอกจากนี้ ข้อกล่าวอ้างด้านสิ่งแวดล้อมทั้งหมดต้องคำนึงถึงวงจรชีวิตทั้งหมดของผลิตภัณฑ์

ก๊าซธรรมชาติหมุนเวียน : เป็นการเบี่ยงเบนความสนใจ ก๊าซฟอสซิล (ที่เรียกกันว่า “ก๊าซธรรมชาติ” ในอุตสาหกรรม) เป็นไฮโดรคาร์บอนที่ประกอบด้วยมีเทนเป็นหลัก ซึ่งเป็นก๊าซเรือนกระจกที่ส่งผลต่อภาวะโลกร้อน ปัจจุบันบริษัทก๊าซกำลังส่งเสริม “ก๊าซธรรมชาติหมุนเวียน” (RNG) ที่ผลิตจากไบโอมีเทนซึ่งได้จากอินทรียวัตถุ เป็นการแก้ปัญหาที่ผิดพลาดและเป็นการเบี่ยงเบนความสนใจจากข้อเท็จจริงที่ว่าก๊าซเรือนกระจกยังคงเป็นส่วนสำคัญในธุรกิจของพวกเขา

ในปี 2022 กรีนพีซฝรั่งเศสและกลุ่มสิ่งแวดล้อมอื่นๆ ได้ฟ้องร้อง TotalEnergies ซึ่งมีฐานอยู่ในฝรั่งเศสในข้อหาการฟอกเขียว (การโฆษณาหลอกลวง) โดยแท้จริงแล้ว บริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังใช้โฆษณาหลอกลวงเพื่อทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าบริษัทสามารถบรรลุความเป็นศูนย์สุทธิได้ภายในปี 2050

นี่เป็นการเลือกพูดความจริงบางส่วน เพราะการปล่อยก๊าซคาร์บอนทั่วโลกของ Total สูงกว่าเกือบทั้งประเทศฝรั่งเศส และบริษัทก็ยังคงลงทุนหลายพันล้านในเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำให้ห่างไกลจากเส้นทางสู่ความเป็นศูนย์สุทธิภายในปี 2050 คดีความนี้ยังมุ่งไปที่โฆษณาหลอกลวงเกี่ยวกับข้อดีด้านสภาพภูมิอากาศของก๊าซฟอสซิลและเชื้อเพลิงชีวภาพ

2 การหลอกลวงด้วยการชดเชยคาร์บอน

แนวคิดที่ว่าทั่วโลกสามารถเผาเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อไปได้โดยไม่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมนั้นเป็นเรื่องที่ถูกสร้างขึ้นมาล้วนๆ แต่บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลกำลังพยายามโน้มน้าวให้สาธารณชนเชื่อว่ามันเป็นความจริง การชดเชยคาร์บอนคือการลดการปล่อยก๊าซที่ใช้ชดเชยการปล่อยก๊าซที่เกิดขึ้นที่อื่น บริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิลพยายาม “ชดเชย” การปล่อยก๊าซของตนโดยการซื้อเครดิตคาร์บอนจากการปลูกต้นไม้หรือการอนุรักษ์ป่า โดยมีเป้าหมายให้ตัวเลขการปล่อยก๊าซเรือนกระจกออกไปจากบัญชีของตน จากการบัญชีที่น่าสงสัยนี้ พวกเขาพยายามทำการตลาดให้ผลิตภัณฑ์ของตนเป็น “คาร์บอนเป็นกลาง” แต่ความเป็นจริงคือ โครงการเหล่านี้ล้มเหลว หรือแย่กว่านั้น คือเป็นการหลอกลวงอย่างชัดเจน

โฆษณา “Drive Carbon Neutral” ของ Shell ที่ไม่โปร่งใส เริ่มต้นในปี 2020 แคมเปญ “Drive Carbon Neutral” ของ Shell ทำให้ลูกค้าเข้าใจผิดว่าการซื้อน้ำมันของพวกเขาสามารถชดเชยได้ด้วยโครงการชดเชยคาร์บอนจากการอนุรักษ์ป่าของบริษัท ในปี 2021 กรีนพีซแคนาดาได้ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อ Shell ต่อ Competition Bureau ในข้อหาโฆษณาหลอกลวง คำร้องนี้เน้นถึงข้อกล่าวอ้างที่น่าสงสัยของโครงการชดเชยคาร์บอน และยืนยันว่าการ “ขับรถที่เป็นกลางทางคาร์บอน” นั้นเป็นไปไม่ได้หากยังคงใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล โฆษณาที่คล้ายกันนี้ก็ถูกวิจารณ์ในเนเธอร์แลนด์เช่นกัน โดยหน่วยงานกำกับดูแลของเนเธอร์แลนด์ได้สั่งให้ Shell ถอนโฆษณาออก เนื่องจากบริษัทไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าโครงการชดเชยคาร์บอนของพวกเขาทำงานได้จริงตามที่กล่าวอ้าง

สหภาพยุโรปสั่งห้ามการกล่าวอ้างความเป็นกลางทางคาร์บอนที่อิงกับการชดเชยคาร์บอน เนื่องจากมีการเปิดเผยว่าการชดเชยคาร์บอนเป็นเรื่องหลอกลวง สหภาพยุโรป (EU) ได้สั่งห้ามการกล่าวอ้างความเป็นกลางทางคาร์บอนเมื่ออิงกับการชดเชยคาร์บอน กฎหมายใหม่ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในปี 2026 จะห้ามการกล่าวอ้างที่คลุมเครือ เช่น “เป็นกลางทางคาร์บอน” เว้นแต่ว่าจะมีหลักฐานสนับสนุน กฎหมายนี้เป็นความก้าวหน้าที่สำคัญ เนื่องจากจะทำให้สหภาพยุโรปเป็นภูมิภาคที่มีท่าทีที่เข้มงวดที่สุดในการต่อต้านการฟอกเขียว

แนวทางที่แนะนำ: การกล่าวอ้างว่าการซื้อเครดิตคาร์บอนจะชดเชยการปล่อยก๊าซที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์ บริการ หรือบริษัทนั้นถือเป็นการหลอกลวง เราจำเป็นต้องกำจัดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกทั้งหมด ไม่ใช่อนุญาตให้การลดในบางภาคส่วนกลายเป็นข้ออ้างที่จะไม่ลดในภาคอื่นๆ ปริมาณการปล่อยก๊าซในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลมีมากกว่าที่แหล่งกักเก็บคาร์บอนธรรมชาติ (เช่น ป่าไม้) หรือแหล่งกักเก็บคาร์บอนเทียม (เช่น การดักจับและจัดเก็บคาร์บอน) จะสามารถเก็บได้อย่างปลอดภัยและถาวร

3 วิทยาศาสตร์น้ำมันแนวสมมติและการกล่าวอ้างอันมุ่งมั่น

เมื่ออุตสาหกรรมพึ่งพาถ้อยคำที่มุ่งเน้นอนาคตเพื่อสร้างภาพลวงตา เราเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการกล่าวอ้างอันมุ่งมั่น และเมื่อบริษัทต่างๆ โปรโมทเทคโนโลยีที่คาดการณ์ไว้แต่ยังไม่ได้รับการพิสูจน์ (ซึ่งมักไม่คุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์) เราเรียกสิ่งนี้ว่าเป็น “วิทยาศาสตร์น้ำมันแนวสมมติ” กลยุทธ์นี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เนื่องจากแคมเปญสนับสนุนประเด็นของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลมักถูกใช้เพื่อดึงเงินอุดหนุนหลายพันล้านจากรัฐบาลสำหรับเทคโนโลยีที่ไร้อนาคตเหล่านี้ โดยการเสริมสร้างภาพลักษณ์ในฐานะผู้ริเริ่มนวัตกรรมสีเขียว บริษัทพยายามทำให้ผู้บริโภคเชื่อว่าเราไม่จำเป็นต้องลดการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล เพราะทุกอย่างจะ “ได้รับการแก้ไขในอนาคต”

ในปี 2022 กลุ่ม Pathways Alliance (พันธมิตรของผู้ผลิตน้ำมันจากทรายน้ำมันรายใหญ่ที่สุด 6 แห่งในแคนาดา) ได้เปิดตัวแคมเปญโฆษณาชื่อ “Let’s Clear the Air” แคมเปญนี้โปรโมท “เส้นทางสู่การเป็นกลางทางคาร์บอน” ของพวกเขา และออกอากาศระหว่างการแข่งขัน FIFA World Cup 2022 และ Super Bowl 2023 รวมถึงโฆษณาบนรถบัสทั่วประเทศ อย่างไรก็ตาม ปัญหาคือกลุ่มพันธมิตรนี้พึ่งพาเทคโนโลยีการดักจับและกักเก็บคาร์บอน (CCS) ที่ “ยังไม่ได้รับการพิสูจน์อย่างกว้างขวาง” เพื่อจัดการกับน้ำมันหลายล้านบาร์เรลที่ผลิตทุกวันในทรายน้ำมัน ซึ่งในปี 2021 มีปริมาณถึง 2.84 ล้านบาร์เรลต่อวัน

CCS ประกอบด้วยชุดเทคโนโลยีที่ดักจับและขนส่งคาร์บอน แล้วนำไปฉีดไว้ใต้ชั้นหินเพื่อกักเก็บอย่างถาวร แม้ว่าทฤษฎีจะดูตรงไปตรงมา แต่เทคโนโลยีหลายอย่างยังอยู่ในขั้นพัฒนา ตามข้อมูลของ Center for International Environmental Law ซึ่งเป็นองค์กรไม่แสวงผลกำไรของสหรัฐฯ ระบุว่า “[โครงการ CCS ที่มีอยู่ในปัจจุบัน] สามารถดักจับการปล่อยคาร์บอนได้ไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ของการปล่อยคาร์บอนทั่วโลก”

การฟอกเขียวด้วยเชื้อเพลิงสังเคราะห์สามารถเห็นได้ในโฆษณายานยนต์หลายแห่ง โฆษณาล่าสุดจาก ExxonMobil ซึ่งถือว่าเป็นโฆษณาต่อต้าน EV ครั้งแรกในรอบหลายทศวรรษ แสดงภาพผู้คนที่ทำงานและเล่นโดยถูกผูกติดกับสายไฟ มีคำโฆษณาว่า “การถอดปลั๊กก็เหมือนกับการหลุดพ้น” และเชิญชวนให้ผู้บริโภคหนีจากสายไฟของตน “เพื่อความรักในการขับขี่”

ที่แคนาดา คอลัมน์ “Motor Mouth” ฉบับล่าสุดของ Postmedia ได้พูดถึง “การเติบโตของข้อสนับสนุนสำหรับเชื้อเพลิงสังเคราะห์” โดยกล่าวว่าเชื้อเพลิงสังเคราะห์ “เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเหมือนกับ EV” ซึ่งไม่เป็นความจริงเลย ตามข้อมูลจาก Transport & Environment ความไม่มีประสิทธิภาพของเชื้อเพลิงสังเคราะห์หมายความว่ามีเพียง 16% ของพลังงานที่ผลิตได้ถูกใช้ในการขับเคลื่อนยานพาหนะ เมื่อเทียบกับ 77% ในยานยนต์ไฟฟ้าแบบใช้แบตเตอรี่

ในปี 2011 สหราชอาณาจักรได้สั่งห้ามโฆษณาของ ExxonMobil ที่โปรโมตเชื้อเพลิงชีวภาพจากสาหร่ายซึ่งยังอยู่ในขั้นทดลอง เนื่องจากกล่าวเกินจริงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม Exxon อ้างว่าเทคโนโลยีนี้ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ทั้งที่ CEO Rex Tillerson ยอมรับว่ามันอาจต้องใช้เวลามากกว่า 25 ปีกว่าจะผลิตเชื้อเพลิงที่ใช้งานได้จริง ทศวรรษต่อมา การวิจัยเกี่ยวกับสาหร่ายของ Exxon ถูกยุติในปี 2023 เนื่องจากไม่มีความคุ้มค่าในเชิงเศรษฐศาสตร์ แม้ Exxon จะโปรโมตการวิจัยสาหร่ายในการตลาดที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมเป็นเวลาหลายปี แต่ค่าใช้จ่ายประจำปีในด้านการสร้างภาพลักษณ์ด้านสภาพภูมิอากาศในปี 2018 ของ Exxon เกือบสองเท่าของการลงทุนประจำปีในการวิจัยเชื้อเพลิงชีวภาพในปี 2020 แท้จริงแล้วการวิจัยนี้มุ่งเน้นที่การเสริมสร้างชื่อเสียงด้านสิ่งแวดล้อมของ Exxon มากกว่าการปกป้องสภาพภูมิอากาศ ซึ่งทำให้ Bill McKibben นักสิ่งแวดล้อมกล่าวล้อเลียนว่าเป็น “scum scam” อย่างแท้จริง

4 คำโฆษณา “สีเขียว” ที่คลุมเครือ

กลยุทธ์การฟอกเขียวแบบพื้นฐานนี้ยังคงมีอยู่ในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล คำที่คลุมเครือและทั่วไป เช่น สีเขียว สะอาด มีประสิทธิภาพ ยั่งยืน เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม และธรรมชาติ ถูกนำมาใช้บ่อยๆ เพื่ออธิบายผลิตภัณฑ์ กระบวนการ และบริษัทเชื้อเพลิงฟอสซิล

Competition Bureau of Canada แนะนำให้ธุรกิจ “หลีกเลี่ยงการใช้คำกล่าวอ้างที่คลุมเครือ เช่น ‘เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม’ หรือ ‘ปลอดภัยต่อสิ่งแวดล้อม’ ซึ่งอาจทำให้เกิดการตีความที่หลากหลาย ความเข้าใจผิด และการหลอกลวง” แต่หากไม่มีการบังคับใช้ คำแนะนำดังกล่าวมักไม่ถูกปฏิบัติตาม คำที่ไม่ชัดเจนเหล่านี้ถูกใช้โดยเจตนาเพราะสามารถสร้างความประทับใจเชิงบวกให้กับผู้บริโภคโดยไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตามมาตรฐานที่เข้มงวดและบังคับใช้ได้

ในเดือนพฤศจิกายน 2022 Competition Bureau ได้เริ่มการสอบสวนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับแคมเปญโฆษณา “Fuelling Canada” ของ Canadian Gas Association ซึ่งนำเสนอเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็น “สะอาด” และ “ราคาย่อมเยา” ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่ปลอดภัย

ในคำร้องเรียน แพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากสมาคม Canadian Association of Physicians for the Environment เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า มีเทนในเชื้อเพลิงฟอสซิลมีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า นอกจากนี้ เชื้อเพลิงฟอสซิลยังทำให้น้ำและอากาศปนเปื้อนในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิต ตั้งแต่การสกัด การแปรรูป ไปจนถึงการเผาไหม้ และเตาแก๊สก็ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศภายในอาคาร ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงร้ายแรงต่อสุขภาพระบบทางเดินหายใจของเด็กๆ ซึ่งหมายความว่าเชื้อเพลิงก๊าซไม่สามารถถูกอธิบายว่าเป็น “สะอาด” ที่ปลอดมลพิษได้อย่างแท้จริง

ในเดือนพฤศจิกายน 2022 Competition Bureau ได้เริ่มการสอบสวนอย่างเป็นทางการเกี่ยวกับแคมเปญโฆษณา “Fuelling Canada” ของ Canadian Gas Association ซึ่งนำเสนอเชื้อเพลิงฟอสซิลเป็น “สะอาด” และ “ราคาย่อมเยา” ซึ่งอาจทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นสิ่งที่ปลอดภัย

ในคำร้องเรียน แพทย์และผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจากสมาคม Canadian Association of Physicians for the Environment เน้นย้ำถึงความจริงที่ว่า มีเทนในเชื้อเพลิงฟอสซิลมีศักยภาพในการทำให้โลกร้อนมากกว่าคาร์บอนไดออกไซด์ถึง 80 เท่า นอกจากนี้ เชื้อเพลิงฟอสซิลยังทำให้น้ำและอากาศปนเปื้อนในทุกขั้นตอนของวงจรชีวิต ตั้งแต่การสกัด การแปรรูป ไปจนถึงการเผาไหม้ และเตาแก๊สก็ทำให้เกิดมลพิษทางอากาศภายในอาคาร ซึ่งก่อให้เกิดความเสี่ยงร้ายแรงต่อสุขภาพระบบทางเดินหายใจของเด็กๆ ซึ่งหมายความว่าเชื้อเพลิงก๊าซไม่สามารถถูกอธิบายว่าเป็น “สะอาด” ที่ปลอดมลพิษได้อย่างแท้จริง

5 การทำสิ่งที่จำเป็นให้ดูเหมือนเป็นการทำความดี (Double Dipping)

เทคนิคการฟอกเขียวนี้เปรียบเสมือนบริษัทผลิตรถยนต์ที่โอ้อวดว่ารถของพวกเขาปลอดภัยเพราะมีเข็มขัดนิรภัย ซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องมี บริษัทไม่ควรได้รับคำชื่นชมเพียงเพราะทำสิ่งที่กฎหมายกำหนดขั้นต่ำ และไม่ควรได้รับอนุญาตให้โปรโมทสิ่งที่ถูกบังคับให้ทำตามกฎหมายเสมือนว่าเป็นการริเริ่มของบริษัทเอง สิ่งนี้อาจทำให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดว่าบริษัทมีความจริงจังในการเป็นผู้นำด้านการรักษาสิ่งแวดล้อม ซึ่งอาจส่งผลต่อการตัดสินใจซื้อและการรับรู้ต่อบริษัทของผู้บริโภค

ในช่วงปี 1980 แคมเปญโฆษณา “People Do” ของ Chevron ใช้กลยุทธ์หลายอย่างในการดึงดูดกลุ่มผู้ชมที่มีจิตสำนึกทางสังคม ซึ่งอาจมีท่าที “ไม่ชอบ” บริษัท ในฐานะส่วนหนึ่งของแคมเปญ บริษัทโปรโมทโครงการสิ่งแวดล้อมจำนวนหนึ่งซึ่งกฎหมายกำหนดให้ต้องทำ เช่น การปกป้องหมีกริซลี่ในมอนแทนาและสุนัขจิ้งจอกคิทในแคลิฟอร์เนีย นักวิจารณ์โต้แย้งว่าโฆษณาเหล่านี้สนับสนุนการยกเลิกกฎระเบียบ เนื่องจากสร้างความเข้าใจว่าบริษัทสามารถจัดการทุกอย่างได้เอง ทั้งที่จริงๆ แล้วการกระทำของพวกเขาเป็นไปตามกฎหมายที่บังคับ

Chevron ใช้เงินในการโฆษณามากกว่าในโครงการจริง และผลลัพธ์ก็คุ้มค่า สองปีหลังจากที่แคมเปญออกอากาศ โพลของ Chevron เองแสดงให้เห็นว่าพวกเขากลายเป็นบริษัทน้ำมันที่ผู้คนในแคลิฟอร์เนียไว้วางใจมากที่สุดในการปกป้องสิ่งแวดล้อม สิ่งนี้ส่งผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้น: “ในกลุ่มผู้ที่เห็นโฆษณา ยอดขายของ Chevron เพิ่มขึ้น 10% ในขณะที่ยอดขายในกลุ่มเป้าหมายที่มีจิตสำนึกทางสังคมเพิ่มขึ้นถึง 22%” ขณะเดียวกันบริษัทก็ยังคงละเมิดกฎข้อบังคับด้านการปกป้องสิ่งแวดล้อมเป็นจำนวนมากจนก่อให้เกิดความเสียหายมหาศาลในช่วงหลายทศวรรษที่โฆษณาเหล่านี้ออกอากาศ ไม่น่าแปลกใจที่ “People Do” ถือเป็นมาตรฐานทองของการฟอกเขียว

6 การใช้ธรรมชาติเป็นภาพลวง (Nature Rinsing)

โดยการวางผลิตภัณฑ์ในสภาพแวดล้อมทางธรรมชาติ (เช่น ป่าไม้ ชายหาด หรือถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์) ผู้ก่อมลพิษพยายามสร้างภาพลักษณ์ให้ดูเหมือนใส่ใจสิ่งแวดล้อมผ่านการเชื่อมโยงภาพเหล่านั้น กลยุทธ์นี้ใช้ประโยชน์จากค่านิยมร่วมของผู้คน เช่น การใช้เวลานอกบ้านกับคนที่รัก โดยมุ่งหวังให้เกิดความรู้สึกประทับใจและความเชื่อมโยงทางอารมณ์กับบริษัท การใช้ธรรมชาติเป็นภาพลวงช่วยลบล้างความเชื่อมโยงระหว่างเชื้อเพลิงฟอสซิลกับการทำลายสิ่งแวดล้อมในจินตนาการของผู้บริโภค

โฆษณา “Beachcomber” ปี 2022 ของ Kia สำหรับรถ Kia Sportage X-Pro SUV (รถอเนกประสงค์) แสดงภาพคนขับ SUV บนชายหาดและใช้รถในการเก็บขยะเพื่อให้เต่าทะเลสามารถคลานจากทะเลไปยังที่ทำรังที่สะอาดบนผืนทรายได้ โฆษณากล่าวว่า “ทำสิ่งดีๆ มากขึ้น” ทั้งๆ ที่ความจริงแล้วรถขนาดใหญ่ที่กินน้ำมันอย่าง SUV มีส่วนในการทำให้โลกร้อน ซึ่งกำลังเป็นอันตรายต่อประชากรเต่าทะเล ทำไม? เพราะไข่เต่าทะเลจะฟักเป็นตัวผู้ในอุณหภูมิเย็นและเป็นตัวเมียในอุณหภูมิที่ร้อนขึ้น เมื่ออุณหภูมิของโลกเพิ่มสูงขึ้น เต่าทะเลจึงฟักออกมาเป็นตัวเมียมากขึ้นเรื่อยๆ — ในบางพื้นที่ 99% ของลูกเต่าเป็นเพศเมีย

7 การโกหกแบบตรงไปตรงมา

การฟอกเขียวบางครั้งไม่ได้ใช้เพียงการทำให้สาธารณชนเข้าใจผิด แต่เป็นการโกหกโดยตรง เพราะบริษัทน้ำมันส่วนใหญ่ไม่ได้ซื่อตรงเหมือน Humble Oil (ปัจจุบันคือ ExxonMobil) ในโฆษณานิตยสาร Life ปี 1962 ด้านบนนี้

การสอบสวนล่าสุดเปิดเผยว่าในช่วงปี 1970s และ 1980s Exxon ทำการวิจัยผลกระทบของเชื้อเพลิงฟอสซิลต่อสภาพภูมิอากาศอย่างแม่นยำ แต่แทนที่จะเตือนและทำการเปลี่ยนแปลงที่จำเป็นเพื่อหลีกเลี่ยงภัยพิบัติ Exxon กลับทำให้วิทยาศาสตร์ดูไม่น่าเชื่อถือ เพื่อไม่ให้สาธารณชนเชื่อมโยงระหว่างเชื้อเพลิงฟอสซิลกับภาวะโลกร้อน

เมื่อการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศกลายเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง Exxon ได้เปลี่ยนท่าที โดยกล่าวว่าธุรกิจของตนกำลังพัฒนาโซลูชันด้านสภาพภูมิอากาศ แต่การโกหกโดยตรงของบริษัทได้ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อสุขภาพมนุษย์ สิ่งแวดล้อม และความปลอดภัยของชุมชนทั่วโลกแล้ว

การหลอกลวงนี้ได้จุดชนวนให้เกิดการฟ้องร้องโดยรัฐและเทศบาลในสหรัฐฯ ต่อ Exxon และผู้มีบทบาทในอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิลรายอื่นๆ รวมถึงการสอบสวนของสภาเกี่ยวกับการหลอกลวงของ Big Oil ล่าสุด รัฐแคลิฟอร์เนียได้ยื่นฟ้อง โดยโต้แย้งว่าการหลอกลวงของบริษัททำให้การดำเนินการด้านสภาพภูมิอากาศล่าช้าและทำให้รัฐต้องเผชิญกับภัยพิบัติจากสภาพอากาศ ในแคนาดา ขณะนี้มีการฟ้องร้องเกี่ยวกับสภาพภูมิอากาศ 35 คดีต่อรัฐบาล และผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าบริษัทต่างๆ จะเป็นเป้าหมายต่อไป ในขณะนี้มีการหารือเพื่อถือ Big Oil ให้รับผิดชอบบนโต๊ะสภาเมืองในแวนคูเวอร์และโตรอนโต

Volkswagen ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ที่สุดของโลก เลือกที่จะไม่ลดการปล่อยมลพิษของรถยนต์ดีเซล แต่กลับตั้งใจใช้ซอฟต์แวร์หลอกลวงเพื่อโกงการทดสอบมลพิษในรถยนต์ 11 ล้านคันทั่วโลก ส่งผลให้รถยนต์เหล่านี้ปล่อยก๊าซพิษในระดับที่สูงกว่าขีดจำกัดของไนโตรเจนออกไซด์ถึง 40 เท่า ในขณะที่บริษัทโฆษณาว่าเป็น “ดีเซลสะอาด” ก๊าซเสียจากดีเซลและไนโตรเจนออกไซด์เชื่อมโยงโดยตรงกับมะเร็งปอดและมีส่วนในการเสียชีวิตที่ป้องกันได้หลายพันรายทุกปี

การโกงของ Volkswagen ถูกค้นพบโดยหน่วยงานปกป้องสิ่งแวดล้อมสหรัฐฯ ในปี 2015 ซึ่งได้ตัดสินว่า Volkswagen ละเมิดกฎหมาย Clean Air Act บริษัทได้จ่ายเงินกว่า 32 พันล้านยูโรในสหรัฐฯ และยังคงต้องจ่ายอีกหลายพันล้านทั่วโลก

Competition Bureau of Canada ยังได้บรรลุข้อตกลงกับ Volkswagen ในคดีสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดของแคนาดา โดยรวมถึงการชดเชยลูกค้าที่ได้รับผลกระทบ แต่บริษัทไม่ได้ถูกลงโทษทางอาญาสำหรับการโกหกของตนหรือรับผิดชอบต่อผลกระทบต่อสุขภาพและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นแก่สาธารณะ และบริษัทก็กลับมาทำกำไรอีกครั้งในปีถัดไป

ประเทศต่างๆ ทำอะไรเพื่อหยุดการฟอกเขียว?

สหภาพยุโรป : ในปี 2023 สหภาพยุโรป (EU) ได้กำหนดแนวทาง Green Claims Directive ใหม่ ซึ่งมีเป้าหมายเพื่อป้องกันการฟอกเขียวและให้ความรู้แก่ผู้บริโภคสำหรับการเปลี่ยนผ่านไปสู่การใช้พลังงานที่ยั่งยืน มาตรการนี้ห้ามการปฏิบัติที่หลอกลวงซึ่งระบุไว้ในการนำเสนอนี้อย่างชัดเจน

ฝรั่งเศส : ในปี 2022 ฝรั่งเศสกลายเป็นประเทศแรกที่ห้ามโฆษณาผลิตภัณฑ์เชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงถ่านหิน น้ำมัน และก๊าซธรรมชาติ โฆษณารถยนต์ต้องมีข้อควรระวังเพื่อสนับสนุนการขนส่งที่ยั่งยืน เช่น การปั่นจักรยานและการขนส่งสาธารณะ พร้อมแฮชแท็ก #SeDéplacerMoinsPolluer และหนึ่งในสามข้อความต่อไปนี้: “สำหรับการเดินทางระยะสั้น เดินหรือปั่นจักรยาน”; “คิดถึงการใช้รถร่วมกัน”; “ใช้การขนส่งสาธารณะทุกวัน”

สหราชอาณาจักร : Competition and Markets Authority ได้จัดตั้งหน่วยงานด้านความยั่งยืนและเผยแพร่แนวทาง Green Claims Code ที่ปรับปรุงใหม่เพื่อช่วยธุรกิจปฏิบัติตามเมื่อทำการอ้างอิงเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อม

เนเธอร์แลนด์ : ในปี 2020 อัมสเตอร์ดัม (เนเธอร์แลนด์) กลายเป็นเมืองแรกในโลกที่ห้ามโฆษณาเชื้อเพลิงฟอสซิลและการเดินทางทางอากาศจากเมืองนั้น อีกเจ็ดเมืองในเนเธอร์แลนด์ได้ผ่านมติห้ามโฆษณาเชื้อเพลิงฟอสซิล รวมถึงสภาในออสเตรเลีย 15 แห่ง เมืองลิเวอร์พูล และเมืองอื่นๆ ในสหราชอาณาจักร สตอกโฮล์มก็ได้ให้คำมั่นที่จะห้ามโฆษณาและการสนับสนุนจากเชื้อเพลิงฟอสซิลเช่นเดียวกัน

อ้างอิง : https://www.greenpeace.org/static/planet4-canada-stateless/2023/12/14cf92b2-greenwashing-toolkit-doc-1-1.pdf