มุ่งสู่วัฒนธรรมการเมืองแบบใหม่
แปลเรียบเรียงจาก The Millennium Curse: Why Activism is Failing https://www.amazon.com/stores/Tony-Saghbiny/author/B00D1RCX68?ref=ap_rdr&isDramIntegrated=true&shoppingPortalEnabled=true

โครงสร้างของความเป็นจริงเป็นสิ่งที่ให้กำเนิดวัฒนธรรมซึ่งเป็นความเข้าใจเฉพาะเกี่ยวกับวิธีที่โลกทำงาน ระบบของชีวิต และพลวัตต่าง ๆ ในทางกลับกัน วัฒนธรรมก็หล่อหลอมวิธีคิดและยุทธวิธีในการลงมือปฏิบัติ มันกลายเป็นเครื่องมือที่เราเชื่อว่าจะใช้เปลี่ยนแปลงและปรับแต่งความเป็นจริงที่อยู่ตรงหน้าได้ ดังนั้น วัฒนธรรมจึงกลายเป็นองค์ประกอบสำคัญในการปรับโฉมความเป็นจริงที่สร้างมันขึ้นมาเอง
แต่ความเป็นจริงของเราทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมากในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา ขณะที่วัฒนธรรมการเมืองยังล้าหลัง วัฒนธรรมที่ครอบงำโลกในปัจจุบัน โดยเฉพาะในมิติทางการเมืองนั้นล้าสมัยและไม่เพียงพอที่จะรับมือกับโลกยุคใหม่
วัฒนธรรมการเมืองเกี่ยวข้องกับการจัดระเบียบและปกครองตนเองในระดับรวมหมู่ มันยังนิยามสิ่งที่เราทำกับทรัพยากรที่มีอยู่ การจัดการความสัมพันธ์ระหว่างกลุ่ม คน กับรัฐ หรือกับกลุ่มอื่น ๆ วัฒนธรรมการเมืองกำหนดวิธีที่เราเข้าใจการเมือง กระบวนการ และเป็นกรอบที่ระบุว่ายุทธศาสตร์และการกระทำแบบไหนที่เราจะเลือกเมื่อต้องการการเปลี่ยนแปลง
ในอดีต วัฒนธรรมการเมืองที่มีสุขภาพดีคือวัฒนธรรมที่ผู้คนจำนวนมากเข้าใจรูปแบบของรัฐ กระบวนการทางการเมือง และรูปแบบของแรงกดดัน เช่น การเลือกตั้ง การล็อบบี้ การยื่นคำร้อง ฯลฯ และกระบวนการในการร่างและปรับใช้กฎหมาย โดยตั้งอยู่บนสมมติฐานชุดหนึ่ง เช่น
- การเติบโตอย่างไม่มีที่สิ้นสุดไม่ใช่แค่เป้าหมายของเศรษฐกิจและการเมือง แต่เป็น “ความเป็นจริงสูงสุด” ทางเศรษฐกิจและการเมือง
- รัฐมีอำนาจทางกฎหมาย การเงิน สังคม และการทหารสูงสุดซึ่งทำให้รัฐบาลเป็นศูนย์กลางของพลังทางการเมือง
- ชาติคือหน่วยพื้นฐานของการจัดระเบียบทางการเมืองโดยมีเขตแดนที่แน่นอน
- การเมืองคือสิ่งที่นำเศรษฐกิจและการเงิน
- กฎหมายคือรูปแบบสูงสุดของการเมืองและเป็นหลักประกันสิทธิมนุษยชน
- สังคมพลเมืองมีเหตุผล มีข้อมูล และตัดสินใจอย่างมีวิจารณญาณเกี่ยวกับอนาคต
- ทุกปัญหาจะแก้ได้ หากเราเปลี่ยนรัฐบาลหรือระบอบการปกครอง
- นโยบายสามารถเปลี่ยนได้ผ่านกลไกการเมืองแบบเดิม เช่น การล็อบบี้ การเลือกตั้ง การประท้วง การไม่ร่วมมือ ฯลฯ
สมมติฐานเหล่านี้อาจใช้ได้ในอดีต แต่วันนี้กลายเป็นเพียงคำพูดกลวงเปล่า อารยธรรมอุตสาหกรรมกำลังพังทลายจากวิกฤตพลังงานและสิ่งแวดล้อม การเติบโตถาวรไม่อาจหวนกลับ และการล่มสลายอาจกลายเป็นความจริงทางเศรษฐกิจในระยะยาว
รัฐบาลทั่วโลกเหมือนซากศพที่ไม่สามารถชี้นำมนุษยชาติให้พ้นจากวิกฤตร้ายแรงที่สุด เช่น วิกฤตสภาพภูมิอากาศ จุดสูงสุดของวิกฤตน้ำมัน หรือหายนะทางนิเวศ ชาติกลายเป็นพิพิธภัณฑ์ภายใต้โลกที่การสื่อสารไร้พรมแดนและเศรษฐกิจไร้พรมแดนทำให้พรมแดนเป็นเรื่องตลก
กฎหมายไร้พลัง เป็นเครื่องมือในมือของชนชั้นสูง แม้แต่ในเมืองหลวงของประเทศตะวันตกที่มั่งคั่งที่สุด สังคมพลเมืองกลายเป็นเพียงภาพเงา ถูกแทนที่ด้วยกลุ่มพลังดิบแบบดั้งเดิม เช่น ศาสนา ชนชาติ ครอบครัว แก๊งค์ การเงินปิด ระบบเครือญาติ แม้แต่คำนิยามของ “สังคม” ก็กำลังเปลี่ยนไป
เราไม่ได้อยู่ใน “สังคม” อีกต่อไป เราเป็นเพียงเครือข่ายของปัจเจกที่แยกขาดจากกัน มีภาวะซึมเศร้าและความเฉยเมินเป็นปรากฏการณ์การเมืองที่โดดเด่นที่สุด เศรษฐกิจแยกตัวจากกระบวนการเมือง การเงินแยกออกจากทั้งสอง แม้ทั้งคู่จะสามารถและได้สร้างหายนะอย่างใหญ่หลวงให้กับมนุษยชาติ กฎหมาย การเติบโต ความยุติธรรมทางสังคม และความเท่าเทียมทางเศรษฐกิจ กลายเป็นเพียงภาพลวงตาท่ามกลางโลกที่ไม่มีสิ่งเหล่านี้เหลืออยู่อีกต่อไป
ตัวแปรทั้งหมดนี้ได้เปลี่ยนกระบวนการทางการเมืองโดยสิ้นเชิง และเปลี่ยนภูมิทัศน์ทางการเมืองไปอย่างไม่อาจย้อนคืน แต่พวกเราส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่ามันเกิดอะไรขึ้น เราส่วนใหญ่ยังคิดและปฏิบัติอยู่ภายในกรอบของวัฒนธรรมการเมืองแบบเก่า ที่ไม่สอดคล้องกับโลกใหม่อีกต่อไปแล้ว
นั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องการการเปลี่ยนกรอบคิดอย่างสิ้นเชิงในวัฒนธรรมการเมือง ไม่ใช่แค่การปรับยุทธศาสตร์เดิมให้แหลมคมขึ้น หรือใช้เทคโนโลยีสื่อสารให้ได้ผลมากขึ้น หรือคิดหาวิธีการใหม่ ๆ ที่ยังคงอยู่ภายใต้กรอบเดิม แต่เราจำเป็นต้องสร้างวัฒนธรรมการเมืองชุดใหม่ทั้งหมด ที่สามารถบ่มเพาะและหล่อเลี้ยงรูปแบบใหม่ของการคิดและการลงมือทำ วัฒนธรรมการเมืองใหม่นี้ไม่สามารถสรุปเป็นแค่แผ่นพับ หรือสร้างจากศูนย์ได้ในคราวเดียว แต่มาจากการลองผิดลองถูกยาวนาน เราอาจเริ่มจากการกำหนดคุณลักษณะบางประการที่สามารถสร้างความแตกต่างได้จริงในโลกยุคใหม่
วัฒนธรรมการเมืองแบบพลวัตสำหรับศตวรรษที่ 21 ควรเป็นดังนี้
- วัฒนธรรมที่กล้าคิด กล้าปรับ กล้าทำ เราต้องการวัฒนธรรมที่สามารถประเมิน วิเคราะห์ ปฏิบัติ และคิดเชิงยุทธศาสตร์ได้พร้อมกัน ไม่ใช่ติดอยู่ในกรอบแคบของการเคลื่อนไหวแบบเดิมที่ไม่มีเขี้ยวเล็บ
- เราต้องการวัฒนธรรมที่กล้าเสี่ยง กล้าลอง และกล้าทบทวนวิธีการเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย วัฒนธรรมสหวิทยาการ ไม่ใช่แค่การเมืองเท่านั้น เราต้องเข้าใจระบบนิเวศ สังคมวิทยา เศรษฐศาสตร์ จิตวิทยา ชีววิทยา มานุษยวิทยา และอื่น ๆ เพื่อสร้างวิสัยทัศน์องค์รวมที่จะหล่อหลอมอนาคตได้จริง วัฒนธรรมที่มีวิสัยทัศน์ในยุคที่เราต้องคิดใหม่ ทำใหม่ และอยู่แบบใหม่
- เราต้องการวัฒนธรรมการเมืองที่มีวิสัยทัศน์ แต่ก็ต้องระวังไม่ให้กลายเป็นอุดมคติแข็งทื่อหรือศาสนาใหม่ วัฒนธรรมที่เหมาะกับโลกหลังอุตสาหกรรม โลกที่ GDP ไฟฟ้า เมืองใหญ่ และสิทธิมนุษยชนอาจกลายเป็นเรื่องของหนังสือประวัติศาสตร์
- เราต้องการวัฒนธรรมที่เข้าใจการล่มสลายอย่างช้าๆ ของโลกอุตสาหกรรม และสามารถเปลี่ยนแปลงหรือปรับตัวได้กับโลกใหม่นี้ วัฒนธรรมที่ใช้วิธีการเชิงระบบ พอแล้วกับโซลูชันเฉพาะจุด การเปลี่ยนแปลงชั่วคราว และการวิเคราะห์แบบแยกส่วน ถึงเวลาต้องจัดการกับระบบทั้งระบบ
- วัฒนธรรมที่เชื่อในการลงมือเปลี่ยนแปลงเอง ไม่รอรัฐบาลหรือบรรษัทอีกต่อไป เพราะสิ่งเหล่านี้คือแหล่งกำเนิดของปัญหา เราต้องไม่หวังว่าคนเหล่านี้จะมาช่วยโลก เราต้องลุกขึ้นมาเปลี่ยนโลกด้วยตัวเอง
- วัฒนธรรมที่ไม่เทิดทูนความรุนแรงหรือสันติวิธี แต่ประเมินอย่างมียุทธศาสตร์ตามบริบท เราต้องประเมินว่ากลยุทธ์ไหนเหมาะสมในสถานการณ์ใด ไม่ยึดติดตายตัว
- วัฒนธรรมที่ไม่แบ่งแยก รวมทุกคนเข้ามาในกระบวนการเปลี่ยนแปลง ไม่เปลี่ยนการเคลื่อนไหวให้กลายเป็นอาชีพ หรือสร้างเส้นแบ่งจอมปลอมระหว่างนักเคลื่อนไหวกับคนธรรมดา
- วัฒนธรรมที่สมดุลระหว่างการสร้างผู้นำกับการปฏิเสธอำนาจนิยม จัดองค์กรอย่างมียุทธศาสตร์ แต่ก็เปิดพื้นที่ให้ทุกคนได้เคลื่อนไหวในจังหวะของตัวเอง วัฒนธรรมที่เห็นคุณค่าของการเชื่อมโยงระหว่างมนุษย์มากกว่าเทคโนโลยี
- สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราต้องการวัฒนธรรมที่กล้าหาญ—วัฒนธรรมที่ไม่กลัวการไม่ถูกต้องทางการเมือง ในยุคที่ “ความถูกต้องทางการเมือง” กลายเป็นชื่อเรียกใหม่ของความจำนน เราต้องการวัฒนธรรมที่กล้าพอจะระบุชื่อคู่ต่อสู้และต่อสู้ให้ถึงที่สุด
- วัฒนธรรมที่เน้นการปกป้องชีวิตและอนาคตของเรา ไม่ใช่การชนะเลือกตั้ง การได้เวลาออกทีวีห้านาที หรือการสะสมยอดไลก์ในเฟซบุ๊ก
- เราต้องการวัฒนธรรมที่กล้าเผชิญความจริงว่าระบบอุตสาหกรรมของเราได้เข้าสู่ช่วงสุดท้ายของความเสื่อมถอยแล้ว และโลกของเรากำลังเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง เราต้องการวัฒนธรรมที่สามารถกระทำตามความจริงนี้ได้ แทนที่จะปฏิเสธมัน
- วัฒนธรรมที่หลอมรวมการคิดยุทธศาสตร์อย่างเยือกเย็นเข้ากับความกล้าหาญที่มั่นคง วัฒนธรรมที่มีเป้าหมายเพื่อ “ชนะการต่อสู้” ไม่ใช่แค่ “ส่งเสียงให้ได้ยิน”
- พอแล้วกับแค่การส่งเสียง เราต้องการวัฒนธรรมที่ลงมือทำจริง ไม่ใช่วัฒนธรรมที่คิดว่าการตะโกนคือการเมือง ถึงเวลาหยุดเดินวนอยู่กับที่ และเริ่มการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริงบนผืนดิน
- เราต้องการวัฒนธรรมแห่งการต่อต้าน ถึงเวลาแล้วที่จะหยุดทวีต และเริ่มต้นการต่อต้าน
