การไร้ความสามารถในการเข้าถึงจิตวิญญาณในฐานะพลังที่มีชีวิต

แปลเรียบเรียงจาก The Millennium Curse: Why Activism is Failing https://www.amazon.com/stores/Tony-Saghbiny/author/B00D1RCX68?ref=ap_rdr&isDramIntegrated=true&shoppingPortalEnabled=true

วิธีที่เรามองโลกและตีความว่าเราอยู่ตรงไหนในโลกนี้เป็นประเด็นทางจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ ไม่ว่าเราจะเชื่อว่าโลกถูกสร้างขึ้นเพื่อมนุษย์ และเป้าหมายของมนุษย์คือการพิชิตโลก (ตามถ้อยคำของ Daniel Quinn) หรือว่าเรามนุษย์เป็นเพียงหนึ่งห่วงโซ่ในสายใยชีวิตอันยิ่งใหญ่ — มุมมองเหล่านี้ล้วนเป็นโลกทัศน์ทางจิตวิญญาณในแง่ที่ว่ามันพาเราข้ามพ้นกาลเวลาและพื้นที่ เพื่อพูดถึงบทบาทของมนุษยชาติในรูปแบบนามธรรม

จิตวิญญาณคือคุณสมบัติเฉพาะของมนุษย์ พวกเรามีความสามารถในการรับรู้สิ่งที่อยู่เหนือวัตถุ (เมตาฟิสิกส์) ทั้งในระดับภายใน (ตัวตนของเรา) และระดับภายนอก (เวลา อวกาศ ความเชื่อมโยงกับผู้อื่น…) ความตระหนักรู้ในตนเองและการใคร่ครวญนี้เองที่ทำให้เรามีความเป็นมนุษย์ มันคือความสามารถในการเชื่อมโยงกับตนเอง ผู้อื่น และโลกในแบบที่ลึกซึ้งเกินกว่าสายใยชีวภาพใดๆ

ในระดับกว้าง มุมมองนี้มอบแนวคิด วิสัยทัศน์ โลกทัศน์ และทิศทางแก่เรา — เข้าใจโลก เข้าใจว่า “เราควรมีชีวิตอย่างไร” และ “อะไรคือบทบาทของเราในชีวิต” ในอดีต มนุษย์ใช้ความสามารถด้านจิตวิญญาณเพื่อเข้าใจว่าโลกทำงานอย่างไร กล่าวอีกนัยหนึ่ง จิตวิญญาณเป็นแง่มุมที่ลึกซึ้งในความเป็นมนุษย์ และส่งผลอย่างมากต่อสิ่งที่เราทำร่วมกันในฐานะพลังหมู่

ถ้าเรามองว่ามนุษย์คือสิ่งสูงสุดบนโลก และโลกนี้เป็นของเราเพื่อใช้สอย — เราก็จะหันพลังของเราไปที่การพิชิตและแปลงทุกสิ่งในธรรมชาติให้กลายเป็นสินค้าเพื่อความบันเทิงของเรา (และนั่นคือสิ่งที่กำลังเกิดขึ้น) แต่ถ้าเรามองว่ามนุษย์เป็นหนึ่งในสิ่งมีชีวิตร่วมจักรวาล เราจะหันพลังของเราไปสู่การอยู่ร่วมกับโลกอย่างกลมกลืน

หากเราเชื่อว่าเราเป็น “ผู้ถูกเลือก” หรือมนุษย์แบ่งระดับกันตามเชื้อชาติ เพศ หรือชนชั้น — เราก็จะยอมให้มีสังคมที่เต็มไปด้วยการเลือกปฏิบัติ การกดขี่ และความอยุติธรรม

ความเป็นจริงของเรา และคำตอบของเราต่อคำถามเกี่ยวกับโลกนี้ ได้หล่อหลอมโลกทัศน์ของเรา — และโลกทัศน์ของเรากลับมากำหนดการตัดสินใจและการกระทำของเราอีกครั้ง นั่นคือวัฏจักรแห่งการหล่อหลอมโลกและจิตใจ

Daniel Quinn เขียนไว้ว่า “ไม่มีอะไรผิดพื้นฐานกับผู้คน ถ้าให้พวกเขาเรื่องเล่าที่สอดคล้องกับโลก พวกเขาจะใช้ชีวิตอย่างสอดคล้องกับโลก แต่ถ้าให้เรื่องเล่าที่ขัดแย้งกับโลก พวกเขาก็จะใช้ชีวิตอย่างขัดแย้งกับโลก… และถ้าให้เรื่องเล่าที่บอกว่าโลกเป็นศัตรูที่ต้องพิชิต พวกเขาก็จะพิชิตมันเหมือนศัตรู และสุดท้าย โลกก็จะบาดเจ็บล้มตายเพราะเรื่องเล่านั้น เหมือนที่กำลังเป็นอยู่ตอนนี้”

โครงการที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ เช่น การสร้างวิหารแรกที่ Gobekli Tepe เริ่มต้นจากวิสัยทัศน์ มุมมองโลก และเป้าหมายทางจิตวิญญาณ แต่พลังแห่งจิตวิญญาณในมนุษย์นั้น ถูกสถาบันอำนาจในประวัติศาสตร์นำไปใช้ในทางที่ผิด สร้างความหายนะอย่างใหญ่หลวงต่อมนุษยชาติและโลก นี่นำไปสู่การปฏิเสธจิตวิญญาณโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมันกลายเป็นสิ่งที่เกี่ยวโยงกับศาสนาแบบผูกขาดอำนาจอย่าง “ศาสนาเอกเทวนิยม” ในยุโรปและตะวันออกกลาง

กระแสดังกล่าวได้หล่อหลอมขบวนการฝ่ายซ้าย คอมมิวนิสต์ อนาธิปไตย และฆราวาสนิยมยุคใหม่ให้ปฏิเสธทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณ น่าเสียดายที่ขบวนการมิลเลนเนียลยุคใหม่หลายกลุ่ม ได้รับมรดกการปฏิเสธนี้มาโดยไม่รู้ตัว

การเติบโตของความรุนแรงและลัทธิคลั่งศาสนาในโลกยิ่งทำให้คนรุ่นใหม่กลัวที่จะเข้าใกล้ความเป็นจิตวิญญาณ ฝ่ายซ้ายและนักวิจารณ์ฆราวาสหลายคนตีความคำว่า “จิตวิญญาณ” และ “ศาสนา” อย่างหยาบเกินไป มองข้ามบริบททางวัฒนธรรมและประวัติศาสตร์ ในขณะที่คำวิจารณ์แบบนี้มีต้นกำเนิดมาจากยุโรปในช่วงสงครามศาสนาและความโหดร้ายของยุคกลาง — แต่ปัจจุบันกลับถูกใช้ทั่วไปในทุกกาละเทศะ โดยไม่คำนึงถึงความซับซ้อนของมนุษย์และวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน

ท่าทีการ “ปฏิเสธอย่างเด็ดขาด” ต่อจิตวิญญาณ ได้พรากเครื่องมือที่ทรงพลังที่สุดชิ้นหนึ่งออกจากขบวนการเปลี่ยนแปลงสังคม จิตวิญญาณเป็นทั้งมิติและพลังที่ทรงอิทธิพลที่สุดต่อมนุษย์ แต่กลับถูกเพิกเฉยปล่อยให้ถูกใช้งานโดยฝ่ายศัตรูแทน ความหายนะจากศาสนาในอดีตไม่อาจปฏิเสธได้ แต่ในขณะเดียวกัน ก็เป็นหลักฐานอันชัดเจนถึงพลังอันยิ่งใหญ่ของจิตวิญญาณที่สามารถสั่นสะเทือนโลกได้

จิตวิญญาณเคยเป็นหนึ่งในแรงบันดาลใจที่สำคัญที่สุดของมนุษยชาติ ขบวนการเปลี่ยนแปลงที่ประสบความสำเร็จหลายแห่งในประวัติศาสตร์ มีรากฐานจากพลังทางจิตวิญญาณที่มาพร้อมกับวิสัยทัศน์ที่ครอบคลุมเกี่ยวกับชีวิต มนุษยชาติ หรือกลุ่มผู้ถูกกดขี่ เช่น ขบวนการต่อต้านทาสในสหรัฐอเมริกา เทววิทยาแห่งการปลดปล่อยในอเมริกาใต้ และขบวนการต่อต้านจากทั่วโลกมากมาย

ปัญหาอีกประการคือ ระบบที่ครองโลกอยู่ทุกวันนี้ — ทุนนิยมอุตสาหกรรม — ก็มีวิสัยทัศน์ทางจิตวิญญาณเช่นกัน มันเป็นวิสัยทัศน์ที่แฝงอยู่ในวัฒนธรรมอย่างลึกซึ้ง มองโลกและสิ่งมีชีวิตทั้งหลายว่าเป็นทรัพยากรที่มนุษย์ (โดยเฉพาะชายผิวขาวในกลุ่มชนชั้นสูง) มีสิทธิ์ในการควบคุมและครอบครอง — มอบ “สิทธิ์ศักดิ์สิทธิ์” แก่มนุษย์ในการพิชิตและปราบธรรมชาติ ถ้านี่ไม่ใช่วิสัยทัศน์เชิงจิตวิญญาณแล้ว มันคืออะไร?

นอกจากนี้ ศาสนาแบบรวมศูนย์และลำดับชั้น ก็ยังเป็นเครื่องมือในการกดขี่และล้างสมองได้อย่างมีประสิทธิภาพ การทิ้งพลังของจิตวิญญาณเอาไว้ในมือของศัตรู โดยที่เราหลับหูหลับตาไม่ยอมมองเห็นมัน คือการลดโอกาสที่เราจะชนะการต่อสู้ครั้งนี้

การเปลี่ยนแปลงที่มนุษยชาติต้องการนั้นยิ่งใหญ่ มันเกี่ยวข้องกับ “วิธีใหม่ของการคิด การดำรงอยู่ และการมีชีวิตในโลก” การต่อสู้ของเราไม่ใช่แค่เพื่อสร้างเทคโนโลยีใหม่หรือผ่านกฎหมายฉบับหนึ่ง เราต้องการการเปลี่ยนแปลงเชิงระบบ และการเปลี่ยนแปลงนั้นจะเป็นไปไม่ได้เลยหากไม่มีโลกทัศน์ที่ครอบคลุม — โลกทัศน์ที่สามารถตอบคำถามสำคัญเกี่ยวกับบทบาทของมนุษย์ภายใต้ต้นไม้ใหญ่แห่งชีวิต

จิตวิญญาณเป็นสิ่งที่ฝังอยู่ในมนุษย์ และหากมีพลังใดที่สามารถเปิดประตูสู่ความเป็นจริงใหม่ได้ — พลังนั้นก็คือจิตวิญญาณ