เก็บความจากบทสุดท้ายของหนังสือ “Nuclear War : A Scenario” เขียนโดย Annie Jacobson - 2016 Pulitzer Prize finalist

กาลเวลาผ่านไป… หลายร้อยปี หลายพันปี หลายหมื่นปี

ความสามารถในการหล่อเลี้ยงชีวิตของสิ่งแวดล้อมบนโลก แม้จะลดลงอย่างมากในตอนแรก ก็กลับมาฟื้นตัวและมีชีวิตชีวาอีกครั้ง อุณหภูมิกลับคืนสู่ระดับก่อนสงครามโลกครั้งที่สาม สายพันธุ์ใหม่ๆ เริ่มวิวัฒน์และเติบโต

ถึงแม้ความเสียหายจะเกิดขึ้นมากมาย แต่โลกก็มีวิธีของเธอเองในการเยียวยาและฟื้นฟูตัวเองเสมอ — อย่างน้อยก็จนถึงตอนนี้ ดินกลับมาอุดมสมบูรณ์ เช่นเดียวกับคุณภาพของแหล่งน้ำ รังสีอัลตราไวโอเลตที่ครั้งหนึ่งเคยบังคับให้มนุษย์ต้องหลบซ่อนใต้ดิน บัดนี้ก็อ่อนกำลังลงและกลับมาเกื้อหนุนชีวิตได้อีกครั้ง

หากมนุษย์รอดชีวิต พวกเขาจะเริ่มต้นใหม่ได้อย่างไร? และมนุษย์ใหม่ในอนาคตเหล่านี้จะกลายเป็นนักโบราณคดีหรือไม่? พวกเขาจะเคยรู้หรือไม่ว่า พวกเราเคยมีชีวิตอยู่ที่นี่?

หนึ่งหมื่น… สองหมื่นปี…สองหมื่นสี่พันปีผ่านไปซึ่งเป็นระยะเวลาราวสองเท่าของเวลาที่มนุษย์ใช้ในการวิวัฒน์จากนักล่าสัตว์-เก็บของป่า มาสู่มนุษย์ยุคปัจจุบัน การปนเปื้อนจากรังสีนิวเคลียร์ในสงครามโลกครั้งที่สามได้เสื่อมสภาพไปตามกาลเวลา

มนุษย์ในอนาคตจะค้นพบร่องรอยของพวกเราหรือไม่? ร่องรอยของสังคมที่เราเคยสร้าง พัฒนา และทำให้รุ่งเรือง?

หากพบ บางทีการค้นพบนั้นอาจคล้ายกับเรื่องราวของนักโบราณคดีชาวเยอรมันชื่อ เคลาส์ ชมิดต์ และนักศึกษาปริญญาโทหนุ่มชื่อ ไมเคิล มอร์ช

วันหนึ่งในเดือนตุลาคม ปี 1994 ชมิดต์ค้นพบสถานที่แห่งหนึ่งในพื้นที่ห่างไกลของตุรกี ที่ทำให้ต้องเขียนเส้นเวลาของอารยธรรมขึ้นใหม่ ย้อนกลับไปอีกหลายพันปี การค้นพบนี้ยังคงเต็มไปด้วยปริศนาและความลี้ลับ แต่สถานที่แห่งนั้นดำรงอยู่เสมือนเป็นสัญลักษณ์สำหรับเราทุกคน

เคลาส์ ชมิดต์ คุ้นเคยกับพื้นที่นี้อยู่แล้ว เนื่องจากโครงการขุดค้นทางโบราณคดีที่เขากำลังทำอยู่ในขณะนั้น และเขาก็เกิดความสนใจจากเรื่องเล่าที่ได้ยินมาจากหมู่บ้านรอบๆ เมืองซานลิอูร์ฟา (Sanliurfa) ที่อยู่ใกล้เคียง มีคนเล่าว่ามีเนินเขาลูกหนึ่งอยู่ในหุบเขาไม่ไกลนัก เป็นสถานที่ซึ่งสามารถพบหินเหล็กไฟ (flint stone) จำนวนมากโผล่ขึ้นมาจากพื้นดิน


Göbekli Tepe แหล่งโบราณคดีสมัยหินใหม่ในประเทศตุรกี ถูกค้นพบอีกครั้งโดยนักโบราณคดี หลังจากถูกฝังอยู่ใต้ดินมานานเกือบ 12,000 ปี (ภาพถ่ายโดย ดร. โอลิเวอร์ ดีทริช)

หินเหล็กไฟ ซึ่งเป็นหินตะกอนชนิดหนึ่ง เคยถูกมนุษย์ยุคโบราณใช้ในการทำเครื่องมือหินและก่อไฟในยุคหิน

ชมิดต์จึงลองสอบถามชาวบ้านในหมู่บ้านต่างๆ ว่ามีใครรู้จักสถานที่แห่งนี้บ้างหรือไม่ ซึ่งต่อมาเขาพบว่า สถานที่นี้เมื่อหลายสิบปีก่อน เคยถูกนักโบราณคดีชาวอเมริกันชื่อ ปีเตอร์ เบเนดิกต์ ระบุผิดว่าเป็นสุสานยุคกลาง แล้วก็ถูกลืมเลือนไป

จนกระทั่งวันหนึ่ง ชายชราผู้หนึ่งในหมู่บ้าน Örencik ชื่อว่า ชาวัค ยิลดิซ บอกกับชมิดต์ว่า เขารู้จักสถานที่แห่งนี้ดี คนในท้องถิ่นเรียกมันว่า Göbekli Tepe Ziyaret หรือสถานแสวงบุญบนเนินพุงโต วิธีค้นหาสถานที่นี้ ยิลดิซบอกว่าให้มองหาต้นไม้โดดเดี่ยวบนยอดเขาเพราะต้นไม้ต้นนี้เป็นสิ่งเดียวที่เติบโตอยู่กลางผืนดินรกร้างว่างเปล่า มันจึงถูกเชื่อว่ามีพลังวิเศษ

ผู้คนเรียกมันว่า “ต้นไม้แห่งคำอธิษฐาน” และจะเดินทางมาที่นี่ ยิลดิซเล่าว่า “เพื่อขอพรสำคัญ ๆ โดยผูกคำปรารถนาไว้กับกิ่งไม้ แล้วให้สายลมพัดพาไป”

ในหนังสือของเขาชื่อ Göbekli Tepe: A Stone Age Sanctuary in South-Eastern Anatolia ชมิดต์เล่าว่ายิลดิซได้ช่วยจัดหาคนขับแท็กซี่ให้เขาไปยังสถานที่ลึกลับนี้ และให้เด็กวัยรุ่นท้องถิ่นคนหนึ่งมาเป็นคนนำทาง วันนั้น นักศึกษาโบราณคดีระดับบัณฑิตศึกษา ไมเคิล มอร์ช ก็ร่วมเดินทางไปด้วย

มอร์ชเล่าว่า บริเวณรอบนอกของเมืองซานลิอูร์ฟาที่คึกคักนั้น เป็นที่รกร้างว่างเปล่ากว้างใหญ่ “มีพื้นที่ร้อยๆ ตารางไมล์เต็มไปด้วยหินและผืนดินสีน้ำตาลแดง กับหย่อมหญ้าแห้งๆ” มอร์ชเล่าย้อนความ “มีสิ่งมีชีวิตน้อยมากที่สามารถเติบโตอยู่ที่นั่น หรืออย่างน้อยก็เหมือนเป็นเช่นนั้น มันเหมือนกับว่าไม่เคยมีใครอาศัยอยู่เลย”

พวกเขาขับรถไปไกลถึงแปดไมล์ จนกระทั่งถนนสิ้นสุดลง จากนั้นทั้งหมดก็ลงจากแท็กซี่ แล้วเริ่มเดินต่อไปตามเส้นทางแพะที่ว่ากันว่าอาจนำไปสู่แหล่งโบราณคดีที่เป็นเป้าหมาย

“เราผ่านภูมิประเทศประหลาด ที่เต็มไปด้วยหินสีเทาดำเป็นก้อนๆ ซึ่งสร้างเป็น [สิ่งกีดขวางเล็กๆ] ซ้ำแล้วซ้ำเล่า” ชมิดต์เขียนไว้ “ทำให้เราต้องเปลี่ยนทิศทางไปทางซ้ายแล้วขวา เดินแบบซิกแซก ราวกับกำลังเดินผ่านเขาวงกตที่สูงระดับข้อเท้าซึ่งสร้างจากหินธรรมชาติ” สุดท้าย กลุ่มของเขาก็มาถึงสุดเขตของภูมิประเทศแปลกตานั้น ซึ่งเปิดออกเป็นที่ราบกว้างไกลสุดสายตา มองไปได้ไกลนับไมล์จนถึงขอบฟ้า

เมื่อชมิดต์มองออกไปยังผืนดิน เขารู้สึกผิดหวัง “ไม่มี [แม้แต่] ร่องรอยทางโบราณคดีเพียงน้อยนิด… มีเพียงก้อนหินธรรมชาติเท่านั้น”

ฝูงแกะและแพะที่ถูกพามายังทุ่งหญ้าแห้งแล้งแห่งนี้ทุกวัน เขาคร่ำครวญถึงภาพเหล่านั้น แล้วเขาก็เห็นต้นไม้ต้นนั้น

“มันแทบจะเหมือนภาพจากโปสการ์ดเลยทีเดียว” ชมิดต์เขียนไว้ ต้นไม้แห่งคำอธิษฐาน ยืนเดี่ยวอยู่ “บนยอดเนินที่สูงที่สุด อย่างเห็นได้ชัดว่าเป็นจุดหมายของการแสวงบุญ (Ziyaret)”

ภาพต้นไม้แห่งคำอธิษฐานที่ Göbekli Tepe ในปี 2007 ปัจจุบันสถานที่นี้ได้ขึ้นทะเบียนเป็นแหล่งมรดกโลกของยูเนสโก (ภาพถ่ายโดย ดร. โอลิเวอร์ ดีทริช)

แน่นอนล่ะ มอร์ชคิด “สถานที่แสวงบุญ”

“พวกเราค้นพบ Göbekli Tepe แล้ว” มอร์ชเล่าย้อนถึงช่วงเวลานั้น

แต่…ที่นี่คืออะไร? ด้วยสายตาแบบนักวิทยาศาสตร์ ชมิดต์ตั้งคำถาม “พลังธรรมชาติใดกันที่สามารถสร้างกองดินนี้ขึ้นมา บนยอดสันหินปูนสูงสุดเช่นนี้?”

กล่าวอีกนัยหนึ่ง…อะไร—หรือใคร—กันที่สร้างเนินเขานี้ขึ้นมา?

นักธรณีวิทยาอาจบอกว่าเนินเขานี้เกิดจากการเคลื่อนตัวของแผ่นเปลือกโลก ชายผู้มีศรัทธาในศาสนาอาจอ้างถึงพระเจ้า แต่ชมิดต์ นักโบราณคดี กลับรู้ทันทีว่า สิ่งที่เขากำลังมองอยู่นั้นคือ “เทล” (Tel) เนินดินที่มนุษย์สร้างขึ้น

“เทล” (Tel) คือโครงสร้างภูมิประเทศที่มนุษย์สร้างขึ้น โดยเกิดจากวัสดุที่ทิ้งไว้จากคนรุ่นก่อนๆ ที่เคยอาศัยอยู่ ณ สถานที่นั้น

ความตื่นเต้นพุ่งพล่านในตัวเขา เพราะกลายเป็นว่า เขาได้ค้นพบอารยธรรมที่สูญหายไป อารยธรรมที่หายสาบสูญไปนานเกือบ 12,000 ปี และยิ่งไปกว่านั้น เคลาส์ ชมิดต์ ยังได้ค้นพบสิ่งที่อาจเปลี่ยนนิยามของคำว่า “อารยธรรม” สำหรับมนุษย์ยุคใหม่ — คำอธิบายถึงการก่อกำเนิดของวิทยาศาสตร์และระบบเทคโนโลยีครั้งแรกของมนุษยชาติ

ชมิดต์และทีมโบราณคดีเริ่มขุดค้นเนินเขา พวกเขาพบเศษภาชนะดินเผาและกำแพงหิน พบชิ้นส่วนหินจากเหมืองที่ถูกแกะสลักด้วยภาพสัตว์ป่า เช่น สุนัขจิ้งจอก แร้ง และนกกระเรียน และยังพบเสาหินขนาดยักษ์ทรงตัว T ที่ตั้งตระหง่านสูงเกือบ 20 ฟุต

แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดคือ พวกเขาพบระบบพื้นที่ขนาดใหญ่ ห้องโถงและลานพิธีแบบกลางแจ้ง พื้นที่ที่มีม้านั่งและแท่นบูชา ซึ่งถูกสลักอย่างประณีตจากหินชนิดเดียวกันนี้ และดูเหมือนจะถูกขนมายังที่นี่อย่างลึกลับจากเหมืองหินซึ่งอยู่ไกลออกไปหลายไมล์

ก่อนจะมีการค้นพบนี้ มุมมองโดยทั่วไปของนักวิทยาศาสตร์เกี่ยวกับอารยธรรมคือ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีถือกำเนิดจากเกษตรกรรม — จากการทำฟาร์ม แนวคิดเดิมคือ มนุษย์ต้องเรียนรู้การเพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ก่อน ถึงจะเปลี่ยนจากนักล่าสัตว์-เก็บของป่ามาเป็นผู้สร้างอารยธรรม สร้างชุมชนและสังคม และออกแบบระบบซับซ้อนต่างๆ

Göbekli Tepe ทำลายแนวคิดพื้นฐานอันยาวนานนั้น

สถานที่แห่งนี้ถูกสร้างขึ้นโดยสถาปนิก ช่างก่อสร้าง และวิศวกรในยุคก่อนประวัติศาสตร์ — คนเหล่านี้ดำรงอยู่ก่อนที่จะมีการเกษตร พวกเขาคือนักล่า-เก็บของป่าที่จินตนาการถึงโครงการเชิงวิทยาศาสตร์ขนาดใหญ่ที่เรารู้จักในปัจจุบันในชื่อ Göbekli Tepe พวกเขาจัดกลุ่มแรงงานเพื่อทำงานตามแผนที่ต้องดำเนินการอย่างรอบคอบ — วางระบบไว้อย่างเป็นขั้นตอน หรืออาจอยู่ในจินตนาการของพวกเขาเอง มนุษย์เหล่านี้คือ นักล่าสัตว์-เก็บของป่าที่มีระบบความคิดอันซับซ้อนด้วยความเข้าใจอย่างลึกซึ้งในโครงสร้างของระบบ — ระบบคำสั่งและการควบคุมแบบลำดับขั้น

ณ ต้นปี 2024 ยังไม่มีการค้นพบพื้นที่อยู่อาศัยที่ Göbekli Tepe ไม่มีสุสาน ไม่มีโครงกระดูก กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ ดูเหมือนว่าผู้คนไม่ได้อาศัยอยู่ที่นี่ แต่พวกเขามารวมตัวกันที่นี่ — นานนับศตวรรษ หรืออาจนานนับพันปี

ทำไม? เราไม่รู้ เพื่ออะไร? เราก็ไม่รู้

และยิ่งลึกลับเข้าไปอีก หลักฐานทางโบราณคดีระบุว่า ในช่วงระยะเวลาอันสั้นเมื่อหลายพันปีก่อนที่ Göbekli Tepe เกิดเหตุการณ์หายนะบางอย่างขึ้น — ไม่ใช่หายนะตามธรรมชาติ เช่น แผ่นดินไหว อุกกาบาตตก หรืออุทกภัย แต่สถานที่ทั้งแห่งกลับถูกยกเลิกใช้งานอย่างรวดเร็ว ถูกทิ้งร้าง ถูกฝังกลบด้วยดินและหิน

มันเกิดจากเจตนาหรือจากภัยพิบัติ? นักวิทยาศาสตร์ยังไม่สามารถระบุได้ การขุดค้นยังคงดำเนินต่อไป และความลึกลับก็ยังดำรงอยู่ จากช่วงเวลาอันน่าฉงนนี้ Göbekli Tepe ได้กลายเป็น “แคปซูลเวลา” ฝังตัวอยู่ใต้พื้นดินนานนับพันปี

เกิดอะไรขึ้นที่ Göbekli Tepe? อะไรทำให้มนุษย์เหล่านั้นถึงพบจุดจบกะทันหัน? ไมเคิล มอร์ชไม่มีคำตอบสำหรับปริศนานี้

“เราบอกคุณได้ว่าพวกเขากินอะไร” มอร์ชกล่าว โดยอ้างถึงความสามารถอันน่าทึ่งของมนุษย์สมัยใหม่ในการวิเคราะห์ DNA ของพืชจากเตาผิงและหลุมไฟเมื่อ 12,000 ปีก่อน “เราบอกได้ว่าสัตว์อะไรที่พวกเขาล่า แต่เราไม่อาจบอกได้ว่าพวกเขาคิดอะไร หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา”

สำหรับพวกเรา หลายพันปีหลังจากสงครามนิวเคลียร์เต็มรูปแบบ มันอาจเป็นแบบเดียวกัน มนุษย์ในอนาคตอาจพบเศษซากของอารยธรรมปัจจุบันของเรา และสงสัยว่ามันเสื่อมสลายได้อย่างไร? เกิดอะไรขึ้นกับพวกเขา?

ณ รุ่งอรุณแห่งยุคนิวเคลียร์ มีคนถาม อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ ว่าเขาคิดอย่างไรเกี่ยวกับสงครามนิวเคลียร์ซึ่งเขาตอบว่า “ผมไม่รู้ว่าสงครามโลกครั้งที่สามจะต่อสู้กันด้วยอาวุธแบบไหน แต่สงครามโลกครั้งที่สี่ จะต่อสู้กันด้วยไม้และก้อนหิน”

ไม้ที่ติดกับก้อนหิน (หรือหอก) คือวิธีที่มนุษย์ยุคหินใช้ในการทำสงคราม ยุคหิน – ช่วงเวลายาวนานในยุคก่อนประวัติศาสตร์ที่กินเวลาหลายล้านปีซึ่งมนุษย์ใช้หินในการสร้างเครื่องมือ — สิ้นสุดลงเมื่อราว 12,000 ปีก่อน ตรงกับช่วงที่เชื่อกันว่ามนุษย์นักล่าสัตว์-เก็บของป่าได้สร้าง Göbekli Tepe ขึ้นมา

อัลเบิร์ต ไอน์สไตน์ หวั่นเกรงว่า อาวุธนิวเคลียร์อาจและอาจจะสามารถทำลายอารยธรรมขั้นสูงที่มนุษยชาติใช้เวลากว่า 12,000 ปีในการสร้างขึ้นมา เขากลัวว่ามนุษย์จะต้องย้อนกลับไปเป็นนักล่าสัตว์-เก็บของป่าอีกครั้ง ทั้งหมดนี้เป็นเพราะอาวุธอันน่าสะพรึงกลัวที่มนุษย์ซึ่งเรียกตัวเองว่า “มีอารยธรรม” ได้สร้างขึ้นมาเพื่อใช้ต่อสู้กับมนุษย์ที่ “มีอารยธรรม” เหมือนกัน

เรื่องที่คุณเพิ่งอ่านจินตนาการถึงสิ่งนี้เอง เรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่าอารยธรรมซึ่งใช้เวลา 12,000 ปีในการก่อร่างสร้างตัวกลับพังทลายลงเหลือเพียงซากปรักหักพังในเวลาไม่กี่นาทีหรือไม่กี่ชั่วโมง — นี่คือความจริงของสงครามนิวเคลียร์ ตราบใดที่สงครามนิวเคลียร์ยังเป็นไปได้ มันก็ยังเป็นภัยคุกคามต่อมนุษยชาติ เสมือนคำพิพากษาแห่งอวสาน การอยู่รอดของเผ่าพันธุ์มนุษย์กำลังแขวนอยู่บนเส้นด้าย

หลังจากการแลกเปลี่ยนอาวุธนิวเคลียร์อย่างเต็มรูปแบบ ผู้รอดชีวิตจากสงครามนิวเคลียร์และฤดูหนาวนิวเคลียร์จะพบว่าตัวเองอยู่ในโลกที่โหดร้าย ซึ่งมนุษย์ในยุคปัจจุบันไม่อาจจินตนาการได้ — คาร์ล เซแกน เคยเตือนว่า หากไม่นับชนเผ่าไม่กี่กลุ่มในแอมะซอน หรือกลุ่มเตรียมพร้อมทางทหารแล้ว เกือบไม่มีใครในยุคนี้ที่มีทักษะการเอาตัวรอดแบบนักล่าสัตว์-เก็บของป่าเลย

หลังจากสงครามนิวเคลียร์ แม้แต่ผู้รอดชีวิตที่แข็งแกร่งที่สุด ก็จะต้องเผชิญความยากลำบากในการเอาชีวิตรอดในโลกที่เต็มไปด้วยรังสี ความอดอยาก โรคภัย และต้องใช้ชีวิตใต้ดินเป็นส่วนใหญ่ ท่ามกลางความหนาวและความมืด

“ขนาดประชากรของมนุษย์ (Homo sapiens) อาจลดลงจนเหลือในระดับยุคก่อนประวัติศาสตร์ หรืออาจต่ำกว่านั้น” เซแกนเขียนไว้

กลุ่มคนเล็ก ๆ จะต้องผสมพันธุ์กันเองเพื่อความอยู่รอด ทำให้ลูกหลานที่เกิดมามีความบกพร่องทางพันธุกรรม บางคนอาจตาบอด ทุกสิ่งที่เราทุกคนเคยเรียนรู้ร่วมกัน และสิ่งที่บรรพบุรุษของเราส่งต่อมา จะกลายเป็นเพียงตำนาน

เมื่อเวลาผ่านไปหลังสงครามนิวเคลียร์ ความรู้ในโลกยุคปัจจุบันจะเลือนหายไป รวมถึงความรู้ที่ว่า “ศัตรู” ที่แท้จริงไม่ใช่เกาหลีเหนือ รัสเซีย อเมริกา จีน อิหร่าน หรือใครก็ตามที่ถูกตราหน้าว่าเป็นภัยคุกคามในนามของชาติหรือกลุ่มใด

มันคืออาวุธนิวเคลียร์ต่างหากที่เป็นศัตรูของพวกเราทุกคนมาโดยตลอด