องค์กรไม่แสวงหากำไรดำรงอยู่มานานพอสมควร และมีความเป็นมืออาชีพมากพอ จนในวงการนี้ได้ก่อรูปเป็นธรรมเนียมปฏิบัติที่ฝังรากลึก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการกำกับดูแล โครงสร้างองค์กร การระดมทุน หรือด้านอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องกับการบริหารจัดการองค์กร แต่ภูมิปัญญาแบบดั้งเดิมเหล่านี้มักเปลี่ยนแปลงอย่างช้าๆ และถึงแม้จะอยู่ในสถานการณ์ที่ดีที่สุด—ซึ่งแทบไม่เกิดขึ้นเลย—ก็ยังล้าสมัยได้อย่างรวดเร็ว หลายสิ่งที่เคยเชื่อว่าเป็น “ความรู้ทั่วไป” กลับกลายเป็นสิ่งที่ทำให้เข้าใจผิด หรือแม้แต่ผิดพลาดโดยสิ้นเชิง

องค์กรที่ประสบความสำเร็จ ไม่ว่าจะอยู่ในภาคส่วนใด มักจะมีการตั้งคำถามอยู่เสมอ และไม่กลัวที่จะพลิกธรรมเนียมปฏิบัติแบบเดิมๆ การตั้งคำถามกับรูปแบบและวิธีการทำงานขององค์กรของคุณจึงเป็นเรื่องสำคัญ และคุณไม่ควรบอกว่า “เพราะเราเคยทำแบบนี้มาก่อน” หรือ “คนอื่นก็ทำแบบนี้” แล้วทึกทักเอาว่ามันเหมาะสมกับองค์กรของคุณ

องค์กรไม่แสวงหากำไรของคุณก็คือธุรกิจ

องค์กรไม่แสวงหากำไรของคุณมีรูปลักษณ์และการดำเนินงานเหมือนกับธุรกิจทั่วไป คุณจดทะเบียนมูลนิธิหรือสมาคมกับรัฐ รัฐจึงถือว่าคุณเป็นธุรกิจ คุณยื่นภาษีต่อกรมสรรพากร กรมสรรพากรก็มองว่าคุณเป็นธุรกิจ หากองค์กรของคุณใช้จ่ายเกินรายได้ ก็จะล้มละลายได้เช่นเดียวกับธุรกิจทั่วไป นั่นหมายความว่าองค์กรของคุณอยู่รอดหรือล้มเหลวขึ้นอยู่กับกระแสเงินสด เหมือนธุรกิจทั่วไปเช่นกัน

เช่นเดียวกับกิจการเอกชนส่วนใหญ่ ความสำเร็จของคุณขึ้นอยู่กับผู้สนับสนุนที่มุ่งมั่น และ “ข้อเสนอคุณค่า” ที่น่าสนใจ ในหลายด้านที่สำคัญ องค์กรไม่แสวงหากำไรของคุณก็คือแบบจำลองธุรกิจแบบหนึ่ง

ทำไมเราต้องชี้ให้เห็นเรื่องนี้?

เพราะองค์กรไม่แสวงหากำไรจำนวนมากยังติดกับดักความคิดว่า “เราไม่ใช่ธุรกิจจริงๆ” ที่แย่กว่านั้นคือ บางองค์กรใช้ข้ออ้างนี้ในการบริหารแบบไร้ระเบียบ ขาดความรอบคอบ และไม่มีประสิทธิภาพ

  • คุณจ่ายเงินเดือนแข่งขันกับตลาดไม่ได้? ไร้สาระ
  • คุณวัดผลลัพธ์เชิงคุณภาพไม่ได้? เหลวไหล
  • คุณไม่จำเป็นต้องบริหารกระแสเงินสดหรือจัดทำบัญชีอย่างรอบคอบ? น่าขัน
  • คุณไม่จำเป็นต้องฝึกอบรมทีมบริหารให้มีทักษะการจัดการ? ไม่มีเหตุผลเลย

มีองค์กรบริการสังคมแห่งหนึ่ง(ในสหรัฐอเมริกา)ในทศวรรษ 1990 ใช้แนวคิด “ใช้จนพัง” กับคอมพิวเตอร์ — ใช้เครื่องที่เก่า ช้า และไม่เสถียร แถมยังใช้ซอฟต์แวร์คนละเวอร์ชันกันในแต่ละเครื่อง ต่อมาเขาได้พบกับวิศวกรของบริษัทอินเทล ซึ่งบอกว่า ทีมของเขาเปลี่ยนคอมพิวเตอร์ทุก 12 เดือน เพราะการใช้เทคโนโลยีใหม่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานได้คุ้มค่ากว่าต้นทุน องค์กรบริการสังคมแห่งนี้ไม่เคยประเมินต้นทุน-ประสิทธิภาพในการเปลี่ยนเครื่องใหม่อย่างที่ภาคเอกชนทำ ส่งผลให้ประสิทธิภาพของทีมลดลง และเจ้าหน้าที่ต้องเสียเวลาทำงานง่ายๆ ที่ควรจะเสร็จเร็ว

อีกปัญหาหนึ่งขององค์กรไม่แสวงหากำไรคือทัศนคติแบบ “เสียสละจนสุดทาง” ที่เชื่อว่าความลำบากเป็นเครื่องพิสูจน์ความทุ่มเทต่อภารกิจ จึงไม่ลงทุนกับการพัฒนาศักยภาพขององค์กร เช่น การอบรมพนักงาน หรือสภาพแวดล้อมที่ดีขณะทำงาน เช่น ที่พักและอาหารที่เหมาะสมระหว่างเดินทาง สิ่งเหล่านี้กลับถูกมองว่าเป็นความฟุ่มเฟือย แทนที่จะเป็นการลงทุนที่สมเหตุสมผล

พนักงานจำนวนมากในองค์กรขนาดเล็กถึงกลางบ่นว่ารู้สึกไม่ได้รับการเห็นคุณค่า เพราะไม่มีงบให้อบรมหรือไปประชุม และเมื่อเดินทางก็ต้องนอนโซฟาและกินอาหารราคาถูก ความรู้สึกแบบนี้เป็นสูตรสำเร็จของการลดแรงจูงใจ ประสิทธิภาพและความมุ่งมั่น ซึ่งน่าเศร้า เพราะสิ่งเหล่านี้คือคุณสมบัติสำคัญของคนทำงานที่ดีในภาคสังคม

บางองค์กรยังหลีกเลี่ยงนโยบายที่ดีเพียงเพราะรู้สึกว่า “มันดูเป็นแนวธุรกิจเกินไป” เช่น การไม่ใส่บัญชีลูกหนี้ไว้ในระบบบัญชี เพราะคิดว่า “มันดูเป็นธุรกิจเอกชน” ทั้งที่ในความเป็นจริง แนวทางนี้คือสิ่งที่ช่วยให้องค์กรบริหารจัดการได้ดีขึ้น

องค์กรไม่แสวงหากำไรของคุณอาจดำรงอยู่ได้นานแม้จะมีการบริหารที่อ่อนแอ ซึ่งเรื่องนี้เกิดขึ้นในภาคธุรกิจด้วย— มีธุรกิจจำนวนไม่น้อยที่ผู้นำไร้ประสิทธิภาพ แผนธุรกิจไม่ชัดเจน หรือการดำเนินงานหละหลวม แต่ก็ยังอยู่รอดหรือแม้กระทั่งเติบโตได้ในระยะยาว

Jim Collins นักเขียนชื่อดังและที่ปรึกษาด้านธุรกิจได้กล่าวไว้ในหนังสือ Good to Great and the Social Sectors ทั้งภาคธุรกิจและภาคไม่แสวงหากำไรมักมีทั้งองค์กรที่ไร้ระเบียบ ไร้ประโยชน์ และน่าจะหายไปในไม่ช้า ไปจนถึงองค์กรที่มีประสิทธิภาพสูง จัดการดี และประสบความสำเร็จอย่างโดดเด่น

แต่อย่าลืมว่า ถ้าคุณบริหารองค์กรได้ไม่ดี ความเสี่ยงที่จะล้มเหลวก็เพิ่มขึ้น และที่สำคัญยิ่งกว่านั้นคือ คุณจะไม่สามารถผลักดันภารกิจเพื่อสังคมของคุณให้ก้าวหน้าได้เท่าที่ควร

กุญแจสู่ความเป็นเลิศ ไม่ใช่การเลียนแบบ “ภาคธุรกิจ” อย่างเคร่งครัด แต่คือการเรียนรู้แนวทางที่ดีที่สุดจากทุกภาคส่วน (เพราะการลอกเลียนแบบภาคธุรกิจโดยไม่คิดก็อันตรายพอๆ กับการไม่สนใจมันเลย)

เมื่อพูดถึงการบริหารองค์กรไม่แสวงหากำไรให้ประสบความสำเร็จ ความแตกต่างระหว่างภาคธุรกิจกับภาคสังคมอาจไม่สำคัญเท่าที่คุณคิด องค์กรไม่แสวงหากำไรของคุณอาจวัดความสำเร็จจาก “ผลกระทบทางสังคม” แทนที่จะเป็น “ผลกำไร” แต่ภารกิจหลักก็ยังเหมือนกัน: สร้างผลตอบแทนที่มีคุณค่าสูงที่สุดจากการลงทุนของผู้ให้ทุนและผู้สนับสนุน

รายได้ของคุณอาจไม่ได้มาจากการขายสินค้า/บริการโดยตรง แต่สำหรับองค์กรส่วนใหญ่ รายได้ก็ยังคงเกิดจากการสร้าง “คุณค่า” ไม่ว่าจะในรูปของการลดหย่อนภาษี ความรู้สึกดีจากการสนับสนุนเป้าหมายที่มีความหมาย วารสารที่น่าสนใจ บริการบางอย่าง หรือการเข้าถึงเครือข่ายทางสังคมหรือวิชาชีพ

องค์กรของคุณอาจได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพราะไม่มีเจ้าของ แต่สิทธิประโยชน์เหล่านี้ไม่ได้เปลี่ยนกฎพื้นฐานทางเศรษฐศาสตร์ของธุรกิจ รายรับต้องมากกว่าหรือเท่ากับรายจ่าย ไม่เช่นนั้นก็จะต้องปิดตัวลง

ยิ่งไปกว่านั้น แนวโน้มของธุรกิจเพื่อสังคม (social entrepreneurship) และองค์กรที่มีเป้าหมายทางสังคมชัดเจน กำลังทำให้เส้นแบ่งระหว่างภาคธุรกิจและองค์กรไม่แสวงหากำไรเลือนรางมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น แทนที่จะใช้สถานะ “องค์กรไม่แสวงหากำไร” มาเป็นข้ออ้างสำหรับการบริหารที่ไม่มีประสิทธิภาพและผลงานที่ไม่สม่ำเสมอ คุณควรเรียนรู้และประยุกต์ใช้แนวปฏิบัติที่ดีที่สุดจากทุกภาคส่วน คุณจะอยู่รอดได้นานขึ้น เติบโตได้มากขึ้น และขับเคลื่อนพันธกิจทางสังคมของคุณได้อย่างทรงพลังยิ่งขึ้น