เทคโนโลยีนิวเคลียร์ : ความจำเป็นและความพร้อมของไทย
คำถามนี้เป็นคำถามต่อทิศทางการพัฒนาประเทศที่สะท้อนอยู่ในนโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านพลังงานนิวเคลียร์ของประเทศ (2560-2569) ซึ่งได้รับความเห็นชอบจากคณะกรรมการพลังงานปรมาณูเพื่อสันติในวันที่ 30 สิงหาคม 2559 และได้รับความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรีในรัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชาเมื่อวันที่ 14 มีนาคม 2560
นโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านพลังงานนิวเคลียร์ของประเทศ (2560-2569) มีความพยายามจะยกระดับความพร้อมเชิงโครงสร้างและองค์กรที่แยกกันระหว่างการกำกับดูแลความปลอดภัยทางนิวเคลียร์และการใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีนิวเคลียร์
การปรับเปลี่ยนกฏหมายที่มีอยู่เดิมไม่ทันสมัยและไม่ครอบคลุมบริบทการใช้พลังงานนิวเคลียร์ในปัจจุบันอย่างเพียงพอ เช่น การมีพระราชบัญญัติพลังงานนิวเคลียร์เพื่อสันติ พ.ศ.2559 และการมีพระราชกฤษฎีกาจัดตั้งสถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ(องค์การมหาชน) (สทน.) เพื่อทำหน้าที่วิจัยพัฒนาด้านเทคโนโลยีและการใช้ประโยชน์และบริการทางเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ในปี 2549 นำไปสู่การปรับเปลี่ยนสำนักงานปรมาณูเพื่อสันติให้เป็น Regulator ที่มีหน้าที่เสนอแนะนโยบายและแผนยุทธศาสตร์และประสานงานการกำกับดูแลความปลอดภัยที่เป็นสากลมากขึ้น
อย่างไรก็ตาม การที่ประเทศไทยเข้าเป็นภาคีและเป็นสมาชิกองค์การระหว่างประเทศดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านนิวเคลียร์และรังสี รวมถึงการลงนามเป็นสมาชิกก่อตั้งทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ก็ไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยจะมีความพร้อมในการดำเนินการไม่ว่าจะเป็นโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ภายใต้แผนพัฒนาผลิตไฟฟ้า หรือเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย
ภาคีและองค์การระหว่างประเทศดำเนินความร่วมมือระหว่างประเทศทางด้านนิวเคลียร์และรังสีที่ประเทศไทยเข้าร่วม ได้แก่ สนธิสัญญาการไม่แพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์ (Nuclear Non-Proliferation Treaty: NPT) ความตกลงพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์และพิธีสารเพิ่มเติมแนบท้ายความตกลงพิทักษ์ความปลอดภัยทางนิวเคลียร์ (Comprehensive Safeguards Agreement and Additional Protocol) อนุสัญญาว่าด้วยการให้ความช่วยเหลือในกรณีเกิดอุบัติเหตุทางนิวเคลียร์หรือเหตุฉุกเฉินทางรังสี(Convention on Assistance in the Case of a Nuclear Accident or Radiological Emergency) อนุสัญญาว่าด้วยการแจ้งเหตุทางนิวเคลียร์โดยเร็ว(Convention on Early Notification of a Nuclear Accident) สนธิสัญญาว่าด้วยการห้ามทดลองนิวเคลียร์โดยสมบูรณ์(Comprehensive Nuclear-Test-Ban Treaty:CTBT) อนุสัญญาว่าด้วยการปราบปรามการก่อการร้ายทางนิวเคลียร์ (International Convention for the Suppression of Acts of Nuclear Terrorism: ICSANT)
แม้ว่า ประเทศไทยไม่เคยประสบอุบัติการณ์ร้ายแรงใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับนิวเคลียร์ แต่เหตุการณ์การแพร่กระจายของรังสีโคบอลต์-60 ในเดือนกุมภาพันธ์ 2543 และแท่งซีเซียม-137 หายไปอย่างไร้ร่องรอยในช่วงต้นปี 2566 ก็เป็นบทเรียนที่เพียงพอของ การไร้ซึ่ง “วัฒนธรรมความปลอดภัย” ในสังคม
เหตุการณ์การแพร่กระจายของรังสีโคบอลต์-60 เกิดขึ้นบริเวณร้านรับซื้อของเก่าในซอยวัดมหาวงศ์ อ.พระประแดง จ.สมุทรปราการ เนื่องจากมีบุคคลเก็บเอาแท่งโคบอลต์-60 ที่ใช้ในเครื่องฉายรังสีทางการแพทย์ ที่เสื่อมสภาพและถูกทิ้งไว้ในบริเวณลานจอดรถเก่ารกร้าง เจ้าของร้านและลูกจ้างได้ทำการ ตัดแยกชิ้นส่วนโลหะที่ห่อหุ้มสารกัมมันตภาพรังสี ไว้ภายใน ทำให้กัมมันตภาพรังสีแพร่ออกมาส่งผลกระทบต่อสุขภาพของบุคคลที่ทำงานและพักอาศัยในร้านรับซื้อของเก่า และผู้พักอาศัยในบริเวณใกล้เคียงเกิดอาการเจ็บป่วย และต้องเข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลสมุทรปราการ ผู้ได้รับผลกระทบยื่นฟ้องบริษัท กมลสุโกศล อีเล็คทริก จำกัด ต่อศาลแพ่งให้ชดเชยค่าเสียหายต่อสุขภาพของประชาชน
นโยบายและแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาด้านพลังงานนิวเคลียร์ของประเทศ (2560-2569) ยังระบุจุดอ่อนที่มีผลกระทบต่อนโยบายด้านพลังงานนิวเคลียร์ คือ การขาดแผนการรองรับเหตฉุกเฉินทางด้านนิวเคลียร์และรังสีที่ชัดเจน และความไม่โปร่งใส การทุจริตคอร์รัปชั่นในสังคมไทยซึ่งเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนาโครงการด้านเทคโนโลยีนิวเคลียร์
ในเอกสารดังกล่าวยังระบุอีกว่า “ประชาชนในประเทศขาดความรู้ความเข้าใจด้านพลังงานนิวเคลียร์ และเกิดความหวาดกลัวอย่างมากเมื่อพูดถึงพลังงานนิวเคลียร์และไม่ยอมรับในการใช้พลังงาน นิวเคลียร์”
นี่คือ “ชุดความคิด(mindset)” ที่ฝังรากของผู้กำหนดนโยบายและผู้มีส่วนในการวางแผนยุทธศาสตร์ที่มอง “ประชาชน” เป็นเพียงพลเมืองผู้เฉี่อยชา(passive citizen) และกลายเป็นประเด็นความไม่ไว้วางใจและความขัดแย้งทางสังคมที่มามีโดยตลอด
การขัดขืนและดื้อแพ่งต่อพลังงานนิวเคลียร์
โดยภาพรวม พลังงานนิวเคลียร์ในประเทศไทยถูกคัดค้านจากสาธารณะชนมาโดยตลอด นับจากโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 350-500 เมกะวัตต์ที่อ่าวไผ่ จังหวัดชลบุรี ในปี 2520 โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รวมกำลังผลิต 4,000 เมกะวัตต์ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า 2550 (PDP 2550-2564) โครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รวมกำลังผลิต 2,000 เมกะวัตต์ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า 2550 ฉบับปรับปรุงครั้งที่ 2 และโครงการโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รวมกำลังผลิต 5,000 เมกะวัตต์ภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า 2561 PDP 2561 (2561-2560) รวมถึงกรณีศูนย์วิจัยนิวเคลียร์องครักษ์ นับตั้งแต่ปี 2541 และล่าสุดคือโครงการจัดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยเครื่องใหม่เพื่อการแพทย์ เกษตรกรรมและอุตสาหกรรมขนาด 15-20 เมกะวัตต์ในพื้นที่สถาบันเทคโนโลยีนิวเคลียร์แห่งชาติ อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก
การประเมินความเสี่ยงภัยของเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย
แนวทางการประเมินใหม่ด้านความปลอดภัยเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยหลังจากกรณีหายนะภัยที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะ (Safety Reassessment for Research Reactors in the light of the accident at the Fukushima Diichi Nuclear Power Plant
ทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (International Atomic Energy Agency : IAEA) ตีพิมพ์เอกสาร Safety Reassessment for Research Reactors in the light of the accident at the Fukushima Diichi Nuclear Power Plant ในปี 2557 เพื่อให้ข้อมูลเชิงปฏิบัติเกี่ยวกับประสิทธิภาพของการประเมินความปลอดภัยขึ้นใหม่สำหรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย
ข้อมูลในเอกสาร Safety Reassessment for Research Reactors in the light of the accident at the Fukushima Diichi Nuclear Power Plant เกี่ยวข้องกับการประเมินความปลอดภัยสำหรับการติดตั้งโครงการนิวเคลียร์ทุกประเภทโดยพิจารณาถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเดือนมีนาคม 2554 ที่โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ฟุกุชิมะไดอิชิในญี่ปุ่นหลังจากเกิดแผ่นดินไหวรุนแรงนอกชายฝั่งและสึนามิตามมา เกิดน้ำท่วมโรงไฟฟ้าและความเสียหายต่ออุปกรณ์เนื่องจากคลื่นยักษ์สึนามิ ส่งผลให้สถานีไฟฟ้าดับ แกนเชื้อเพลิงนิวเคลียร์สูญเสียการระบายความร้อน เกิดการหลอมละลายของเชื้อเพลิง การระเบิดของไฮโดรเจน และปล่อยสารกัมมันตภาพรังสีไปยังพื้นที่โดยรอบ เกิดการปนเปื้อนในสิ่งแวดล้อมเป็นวงกว้างและผลกระทบระยะยาว การศึกษาวิจัยของกรีนพีซ สากล ยังชี้ให้เห็นถึงมิติของการละเมิดสิทธิมนุษยชนอีกด้วย
IAEA ระบุว่า บทเรียนจากหายนะภัยนิวเคลียร์ฟุกุชิมะจะเป็นประโยชน์ในการกำหนดและดำเนินมาตรการเพื่อป้องกันการเกิดอุบัติเหตุใดๆ ที่เกี่ยวข้องกับการปลดปล่อยสารกัมมันตภาพรังสีจำนวนมากในสถานประกอบการทางนิวเคลียร์ รวมถึงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยที่จะเกิดขึ้นในอนาคต นอกจากนี้ การวิเคราะห์ความปลอดภัยสำหรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยจำนวนมากยังไม่ได้รับการปรับปรุงให้คำนึงถึงการปรับเปลี่ยนโครงสร้างพื้นฐานและการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ไปตามเวลาในพื้นที่เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยและพื้นที่โดยรอบ
ถึงแม้ว่ารายการวัสดุกัมมันตภาพรังสี และผลที่ตามมาจากอันตรายที่อาจเกิดขึ้น จากเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยนั้นจะต่ำกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาก แต่การที่เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย ส่วนใหญ่ทั่วโลกออกแบบมาเมื่อหลายสิบปีก่อน และข้อกำหนดด้านการออกแบบก็ไม่สอดคล้องกับมาตรฐาน ความปลอดภัยของ IAEA(NS-R-4) อย่างสมบูรณ์
IAEA ระบุอีกว่า มีเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยหลายแห่งตั้งอยู่ใกล้กับพื้นที่ที่มีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่น และอาคารปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยบางแห่งมีการป้องกันการรั่วซึมที่ไม่เพียงพอ ทำให้การจัดการอุบัติเหตุ ยุ่งยากขึ้นซึ่งส่งผลให้เกิดการปล่อยกัมมันตภาพรังสี ในบางกรณี ลักษณะของที่ตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ วิจัยและบริเวณใกล้เคียงเปลี่ยนแปลงไป ซึ่งไม่ได้รวมอยู่ในการวิเคราะห์ความปลอดภัย สำหรับสถานประกอบการด้านนิวเคลียร์
รายการที่ต้องประเมินใหม่ด้านความปลอดภัยของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ภายนอกที่รุนแรง รวมถึงข้อกำหนดด้านความปลอดภัยที่นำมาใช้ในการออกแบบ โครงสร้างพื้นฐาน เช่น การรับมือกับแผ่นดินไหว การออกแบบอาคารป้องกันน้ำท่วม (หรือจากสาเหตุอื่นๆ) ความเสียหายทางกายภาพ การสูญเสียพลังงานไฟฟ้าทั้งหมด การสูญเสียการระบายความร้อน การจัดการอุบัติเหตุ การควบคุมไฮโดรเจน ความปลอดภัยของอาคารกักเก็บเชื้อเพลิงใช้แล้ว กฎระเบียบ การเตรียมการในภาวะฉุกเฉินและการสื่อสารข้อมูล
ในอีกด้านหนึ่ง เอกสาร Safety Reassessment for Research Reactors in the light of the accident at the Fukushima Diichi Nuclear Power Plant ชี้ให้เห็นถึงจุดสิ้นสุดของกระบวนทัศน์ว่าด้วยความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ หลังจากโลกได้เห็นความล้มเหลวในโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ที่ฟุกุชิมะ
อาจสรุปได้ว่า ความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ไม่มีอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริงจะมีก็เพียงความเสี่ยงด้านนิวเคลียร์ ซึ่งเป็นคุณสมบัติของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ทุกชนิดรวมถึงเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย และความเสี่ยงเหล่านี้ไม่อาจคาดเดาหรือพยากรณ์ได้ วันดีคืนดีอาจเกิดเหตุล้มเหลวทางเทคโนโลยีผนวกกับความผิดพลาดของมนุษย์หรือภัยธรรมชาติในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์เครื่องใดเครื่องหนึ่งในโลกจนเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ไม่สามารถควบคุมก็เป็นได้
หลักการทางวิทยาศาสตร์สมัยใหม่ระบุว่า เมื่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงไม่ตรงกับสิ่งที่ได้คำนวณหรือคาดการณ์ไว้ ทฤษฏีหรือแบบจำลองนั้นจะต้องได้รับการทบทวนแก้ไขใหม่ เช่นเดียวกับการประเมินความเสี่ยงที่ใช้กับการคำนวณความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ แต่ผู้ประกอบการด้านนิวเคลียร์ยังคงเลือกที่จะยึดถือแบบจำลองความเสี่ยงแบบเดิมซึ่งแสดงค่าความเป็นไปได้ในการเกิดภัยพิบัติที่ต่ำมากๆ เพื่อเป็นข้ออ้างในการขยายการติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในประเทศต่างๆ ทั่วโลกรวมถึงประเทศไทยต่อไป
ความเสี่ยงจากการก่อการร้ายและวินาศกรรมด้านนิวเคลียร์
ในรายงานรายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Environmental Health Impact Assessment : EHIA) ของโครงการจัดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก ระบุว่า
“อุบัติการณ์ทางนิวเคลียร์จากเครื่องปฏิกรณ์เกิดขึ้นได้จริงและเกิดขึ้นหลายครั้ง มีความสูญเสียจำนวนมาก ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน แต่เกิดกับเตาปฏิกรณ์พลังงานที่ ร้ายแรงถึงระดับ INES rate สูงสุดมีเพียง 2 ครั้งคือ ฟุกุชิมะ ญี่ปุ่น และเชอร์โนบิล รัสเซีย(ปัจจุบันยูเครน) ส่วนเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย ไม่พบข้อมูลในอดีต ที่ระบุว่ามีอุบัติภัยร้ายแรงเกิดขึ้น” (หน้า 5-190)
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลที่รวบรวมในรายงาน Vulnerability of Research Reactors to Attack โดย The Henry L. Stimson Center, April 2008 อธิบายถึงอุบัติเหตุเมื่อวันที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2526 ในโรงงาน RA-2 ใน Constituyentes อาร์เจนตินา ระหว่างการทำงานของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย องค์ประกอบ แท่งเชื้อเพลิงนิวเคลียร์สองชิ้น ถูกวางไว้นอกแผ่นสะท้อนแสงกราไฟท์นอกเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ แต่ยังไม่ได้นำออกจาก Tank ช่างเทคนิคเปลี่ยนการกำหนดค่าเชื้อเพลิงนิวเคลียร์จากห้องควบคุมขณะที่ moderating water อยู่ในเครื่องปฏิกรณ์ซึ่งเป็นการละเมิดขั้นตอน เกิดวิกฤตการณ์ขึ้น ทำให้ผู้ปฏิบัติงาน ได้รับปริมาณรังสี 3,700 rad (แกมมา 2,000 rad และนิวตรอน 1,700 rad) โดยที่ด้านขวาบนของร่างกาย ได้รับผลกระทบมากที่สุด และเสียชีวิตในอีก 2 วันต่อมา ส่วนเจ้าหน้าที่อีกสองคนในห้องควบคุมได้รับ ปริมาณรังสี 35 rad ต่อคน
รายงาน Vulnerability of Research Reactors to Attack โดย The Henry L. Stimson Center ระบุอีกว่า ในการทำงานของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยจนถึงปัจจุบัน(ปี 2008 ที่จัดทำรายงาน : มี criticality accidents 16 ครั้ง loss of flow accidents 11 ครั้ง loss of cooling accidents 6 ครั้ง erroneous handling/failure of equipment 25 ครั้ง และ special events (external or internal) 2 ครั้ง
ตั้งแต่ปี 1945 เป็นต้นมา มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 21 รายจาก criticality accidents (ในสหรัฐอเมริกา 7 คน ในสหภาพโซเวียต 10 คน ในญี่ปุ่น 2 คน ในอาร์เจนตินา 1 คน และในยูโกสลาเวียอีก 1 คน) โดยเกิดจาก process accidents 9 คน และที่เหลือเป็น research reactor accidents
วัตถุประสงค์ด้านความปลอดภัยทั่วไปในสถานที่ปฏิบัติงานทางนิวเคลียร์ทั้งหมด คือการปกป้องบุคคลากร สังคม และสิ่งแวดล้อมโดยการสร้างและคงไว้ซึ่งการป้องกันที่มีประสิทธิภาพต่อความเสี่ยงจากรังสี และกำหนดให้การติดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์มีการออกแบบและใช้งานเพื่อให้แหล่งกำเนิดรังสีทั้งหมดอยู่ภายใต้การควบคุมด้านเทคนิคและการบริหารที่เข้มงวด อย่างไรก็ตาม เป็นที่ทราบกันดีว่าอุบัติเหตุ สามารถเกิดขึ้นได้
การก่อการร้ายและวินาศกรรมสามารถโจมตีโครงสร้างพื้นฐานของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ด้วยวิธิการต่างๆ ในบริบทสากล พื้นที่ตั้งของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยคือเป้าหมายสำคัญ เนื่องจากตั้งอยู่ในเขตชานเมือง และวิทยาเขตของมหาวิทยาลัย ในเขตอุตสาหกรรม ห้องปฏิบัติการและศูนย์วิจัยแห่งชาติ
ในสหรัฐอเมริกา เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยที่ตั้งอยู่ในศูนย์กลางที่มีประชากรหนาแน่น ซึ่งหากก่อ วินาศกรรมจะส่งผลร้ายแรงที่สุดนั้นถือเป็นสิ่งที่ดึงดูดใจต่อการก่อการร้ายมากที่สุด มีเครื่องปฏิกรณ์ นิวเคลียร์วิจัยหลายแห่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองและมหาวิทยาลัยสำหรับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ การฝึกอบรม และการผลิตไอโซโทปรังสีสำหรับยาและอุตสาหกรรมตลอดจนการทดสอบวัสดุ แม้ว่าปริมาณ กัมมันตภาพรังสีในสถานประการดังกล่าวจะมีน้อยกว่าโรงไฟฟ้านิวเคลียร์มาก แต่การรักษาความปลอดภัย สำหรับเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยส่วนใหญ่มีจำกัดมาก
ผลที่ตามมาของการโจมตีก่อวินาศกรรมต่อเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยที่ปล่อยกัมมันตภาพรังสีนั้นไม่ค่อยมีการพูดถึง โดยเหตุผล 2-3 ประการคือ:
- ไม่มีสนธิสัญญาระหว่างประเทศที่กำหนดให้มีการคุ้มครองเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย แนวทางปฏิบัติของผู้จัดหานิวเคลียร์ที่เป็นที่ยอมรับในระดับสากลแต่ไม่มีผลผูกพันในการส่งออก วัสดุฟิสไซล์และอุปกรณ์นิวเคลียร์ระบุว่า ข้อตกลงระหว่างผู้รับและประเทศผู้จัดหาเครื่อง ปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยซึ่งส่วนใหญ่มักเป็นสหรัฐฯ หรือรัสเซีย ควรระบุให้มีมาตรการปกป้อง วัสดุนิวเคลียร์จากการโจรกรรม อย่างไรก็ตาม แม้ว่าแนวทางเหล่านี้อ้างอิงถึงคำแนะนำ ในการป้องกันทั่วไปจาก IAEA แต่การคุ้มครองให้อยู่ในดุลยพินิจของผู้จัดหาและผู้รับ และไม่จำเป็นต้องมีการตรวจสอบเพื่อยืนยันประสิทธิภาพของมาตรการป้องกัน
- คำแนะนำของ IAEA เหล่านี้มุ่งเน้นที่การปกป้องยูเรเนียมเสริมสมรรถนะสูง (HEU) หรือวัสดุฟิสไซล์ที่ใช้เป็นอาวุธอื่นๆ จำนวน 5 กิโลกรัมขึ้นไปในเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยจากการ โจรกรรมโดยบุคคลภายนอก มีคำแนะนำทั่วไปเพียงประโยคเดียวสำหรับการปกป้อง (รวมถึง เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยขนาดใหญ่)จากการก่อวินาศกรรม(แม้ว่าจะมีการออกคำแนะนำการก่อวินาศกรรมของ IAEA ที่ละเอียดมากขึ้นสำหรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์แล้วก็ตาม)
- การสำรวจในกลุ่มประเทศ OECD มีความแตกต่างอย่างมากในข้อกำหนด ข้อบังคับและกฎเกณฑ์ แห่งชาติเกี่ยวกับการป้องกันทางกายภาพของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ในแต่ละประเทศ

ความเห็นเบื้องต้นต่อ(ร่าง)รายงานการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อมและสุขภาพ (Environmental Health Impact Assessment : EHIA) ของโครงการจัดตั้ง เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายก
แม้ว่ามีการระบุขนาดเตาปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัยว่าไม่เกิน 20 เมกะวัตต์ แต่ไม่ได้ระบุถึงชนิดให้ชัดเจน ในที่นี้อนุมานว่าเป็นเครื่องปฏิกรณ์ทริกา(TRIGAs) อย่างไรก็ตาม การประเมินผลกระทบและความเสี่ยงที่อยู่ในรายงาน EHIA มีช่องว่างอยู่มาก

แม้ว่าจะใช้แบบจำลองความเสี่ยงด้านความมั่นคงทางนิวเคลียร์ที่มีอยู่ แต่ก็ไม่สามารถพิจารณาทุกแง่มุมของภัยคุกคาม ช่องโหว่ และผลที่ตามมาอย่างเฉพาะเจาะจง เช่น ดัชนีความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น(the Potential Facility Risk Index – PFRI) โดยที่ความเสี่ยงนั้น มีลักษณะเฉพาะสำหรับโครงการจัดตั้งเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์วิจัย อำเภอองครักษ์ จังหวัดนครนายกโดยขึ้นอยู่กับประเภทของโครงสร้างพื้นฐาน สถานที่ตั้งของโครงสร้างพื้นฐาน ประเภทสินทรัพย์ ที่มีอยู่ในโครงสร้างพื้นฐาน และปัจจัยมนุษย์ (เช่น วัฒนธรรมความปลอดภัย)
