เรียบเรียงจาก https://www.theguardian.com/environment/2024/apr/17/climate-crisis-average-world-incomes-to-drop-by-nearly-a-fifth-by-2050?CMP=Share_iOSApp_Other
การศึกษาพบว่า ต้นทุนผลกระทบภายนอกด้านสิ่งแวดล้อมจะมากกว่าค่าใช้จ่ายในการจํากัดอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เกิน 2C ถึงหกเท่า

รายได้เฉลี่ยของคนในโลกจะลดลงเกือบหนึ่งในห้าภายใน 26 ปีข้างหน้าอันเป็นผลมาจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ จากการศึกษาที่คาดการณ์ว่าต้นทุนของความเสียหายจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศจะมากกว่าค่าใช้จ่ายในการจํากัดอุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกไม่ให้เกิน 2C ถึงหกเท่า
ภายในปี 2593 คาดว่าอุณหภูมิที่สูงขึ้น ปริมาณน้ําฝนที่ตกหนักขึ้น และสภาพอากาศสุดขั้วที่รุนแรงมากขึ้น จะสร้างความเสียหายคิดเป็นมูลค่า 38 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ (30 ล้านล้านปอนด์) ในแต่ละปี จากการวิจัยที่ครอบคลุมที่สุดที่เคยดําเนินการมาในประเด็นนี้ และผลการวิจัยได้รับการตีพิมพ์ในวารสาร Nature
ค่าใช้จ่ายที่สูงลิบลิ่วซึ่งสูงกว่าการประมาณการก่อนหน้านี้มากได้ถูกผนวกเข้ากับระบบเศรษฐกิจโลกในอีกไม่กี่ทศวรรษข้างหน้าอันเป็นผลมาจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกมหาศาลสู่ชั้นบรรยากาศผ่านการเผาไหม้ก๊าซฟอสซิล น้ํามัน ถ่านหิน และการทำลายป่าไม้เพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจส่งออก
สิ่งนี้จะสร้างความเสียหายให้ทุกประเทศ โดยส่งผลกระทบอย่างรุนแรงอย่างไม่ได้สัดส่วนต่อผู้ที่รับผิดชอบน้อยที่สุดต่อการพังทลายของระบบสภาพภูมิอากาศ ขยายความไม่เท่าเทียมให้เลวร้ายลงไปอีก
การวิจัยระบุว่าการสูญเสียรายได้เฉลี่ยถาวรทั่วโลกจะอยู่ที่ 19% ภายในปี 2592 ในสหรัฐอเมริกาและยุโรปจะลดลงประมาณ 11% ในขณะที่ในแอฟริกาและเอเชียใต้จะอยู่ที่ 22% โดยบางประเทศจะสูงกว่านี้มาก
“นี่คือหายนะ” Leonie Wenz นักวิทยาศาสตร์จาก Potsdam Institute for Climate Impact Research และเป็นหนึ่งในผู้วิจัยกล่าว “ผมคุ้นเคยกับงานวิจัยด้านผลกระทบทางสังคม แต่รู้สึกอึ้งกับความเสียหายอย่างมหาศาลในเรื่องนี้ มิติความไม่เท่าเทียมกันก็น่าตระหนก”
การศึกษายังพิจารณาในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษนี้ซึ่งกิจกรรมของมนุษย์มีบทบาทอย่างมาก หากโลกยังดำเนินไปตามปกติต่อไป นักวิจัยคาดการณ์ว่า จะมีการสูญเสียรายได้เฉลี่ยมากกว่า 60% ภายในปี 2643 แต่หากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลดลงเหลือศูนย์สุทธิภายในกลางศตวรรษ รายได้ที่ลดลงจะคงที่ภายในกลางศตวรรษที่ประมาณ 20%
ผลกระทบทางเศรษฐกิจที่คาดการณ์โดยงานวิจัยนี้สูงกว่าการวิเคราะห์ครั้งก่อนถึงสองเท่า
เบื้องหลังคือวิธีการวิจัยที่ล้ำลึกมากขึ้น ในขณะที่การวิจัยก่อนหน้านี้ส่วนใหญ่พิจารณาเฉพาะความเสียหายจากผลกระทบของอุณหภูมิที่สูงขึ้นในระดับประเทศ งานวิจัยใหม่นี้ยังรวมปริมาณน้ําฝนและผลกระทบจากสภาพอากาศแบบสุดขั้วโดยใช้ข้อมูลย้อนหลัง 40 ปีจาก 1,600 ภูมิภาคย่อย นี่เป็นสิ่งสําคัญเพราะลักษณะสภาพอากาศเป็นปรากฏการณ์ในท้องถิ่นมากกว่า การวิจัยยังพิจารณาด้วยว่าผลกระทบมีแนวโน้มที่จะคงอยู่อย่างไรในช่วงหลายเดือนและหลายปี แทนที่จะเป็นเพียงผลกระทบในระยะสั้น
การคาดการณ์ก่อนหน้านี้มองโลกในแง่ดีว่าเศรษฐกิจซีกโลกเหนือส่วนใหญ่จะยังคงเติบโตต่อไป ในทางตรงกันข้าม รายงานวิจัยฉบับใหม่กล่าวว่าประเทศต่างๆ เช่น เยอรมนี (-11%) ฝรั่งเศส (-13%) สหรัฐอเมริกา (-11%) และสหราชอาณาจักร (-7%) จะมีผลกระทบเชิงลบภายในช่วงกลางศตวรรษ ภูมิภาคที่จะเกิดผลกระทบที่เลวร้ายที่สุดคือประเทศในภูมิภาคที่ร้อนอยู่แล้ว ได้แก่ บอตสวานา (-25%), มาลี (-25%), อิรัก (-30%), กาตาร์ (-31%), ปากีสถาน (-26%) และบราซิล (-21%)
แม็กซิมิเลียน โคทซ์ หนึ่งในนักวิจัยกล่าวว่า “คาดว่าจะมีการลดลงอย่างมากของรายได้ในภูมิภาคส่วนใหญ่ของโลก รวมถึงอเมริกาเหนือและยุโรป โดยเอเชียใต้และแอฟริกาจะลดลงมากที่สุด สิ่งเหล่านี้เกิดจากผลกระทบของวิกฤตสภาพภูมิอากาศในแง่มุมต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับการขยายตัวทางเศรษฐกิจ เช่น ผลผลิตทางการเกษตร ผลผลิตแรงงาน หรือโครงสร้างพื้นฐาน”
แม้ว่าฉากทัศน์ใหม่ที่คาดการณ์นี้จะเลวร้ายกว่าการศึกษาวิจัยก่อนหน้านี้มาก แต่นักวิจัยยอมรับว่า การศึกษาก็ยังไม่สมบูรณ์ มีผลกระทบสภาพภูมิอากาศที่สําคัญหลายอย่างที่ยังไม่ได้รวมอยู่ในการวิเคราะห์ รวมถึงคลื่นความร้อน การเพิ่มขึ้นของระดับน้ําทะเล พายุหมุนเขตร้อน จุดพลิกผันและความเสียหายต่อระบบนิเวศตามธรรมชาติและสุขภาพของมนุษย์ ทีมนักวิจัยกล่าวว่าปัจจัยเหล่านี้จะถูกเพิ่มเข้าไปในแบบจําลองในอนาคต
“เราพยายามฉายภาพให้ครอบคลุมมากขึ้น แต่นี่ไม่ใช่ฉากทัศน์สุดท้าย” เวนซ์กล่าว “เป็นช่วงการประเมินแบบต่ำ”
นักวิจัยกล่าวว่าการศึกษาแสดงให้เห็นถึงความจําเป็นในการใช้กลยุทธ์การปรับตัวที่แข็งแกร่งขึ้น โดยเฉพาะอย่างยิ่งในกลุ่มประเทศที่ยากจนและได้รับผลกระทบมากที่สุด เพื่อรับมือกับการเปลี่ยนแปลงจนถึงปี 2593 ที่ผนวกอยู่ในระบบสภาพภูมิอากาศแล้ว
นอกจากนี้ การวิจัยระบุว่า การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกนั้นมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่าการไม่ทําอะไรเลยและยอมรับต่อผลกระทบที่รุนแรง ภายในปี 2593 การวิจัยได้คํานวณต้นทุนการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เช่น จากการเลิกใช้ฟอสซิลและแทนที่ด้วยระบบพลังงานหมุนเวียนมีมูลค่า 6 ล้านล้านเหรียญสหรัฐฯ ซึ่งน้อยกว่าราว 1 ใน 6 ของค่าใช้จ่ายเฉลี่ยจากหายนะของวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ 38 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ
หัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์ว่าด้วยซับซ้อนของสถาบัน Potsdam กล่าวว่า “อยู่ที่เราจะตัดสินใจ : การเปลี่ยนผ่านโครงสร้างระบบเศรษฐกิจไปสู่ระบบพลังงานหมุนเวียนเป็นสิ่งจําเป็นสําหรับความปลอดภัยของเราและจะช่วยเราประหยัดเงิน หากเรายังเดินไปตามแนวทางเดิมจะนำเราไปสู่ความฉิบหาย อุณหภูมิของโลกจะสมดุลหากเรายุติการเผาไหม้เชื้อเพลิงฟอสซิล (น้ํามัน ก๊าซธรรมชาติ และถ่านหิน)”
