14 ตุลาคม 2567 โดย เครือข่ายประชาชนเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและหยุดคาร์บอนเครดิต (The People Network for Climate Justice and Against Greenwashing)

วิกฤตโลกเดือดคือผลพวงกว่าร้อยปีแห่งการล่าอาณานิคมและการปฏิวัติอุตสาหกรรมซึ่งนำเอาเชื้อเพลิงฟอสซิล (ถ่านหิน น้ำมัน ก๊าซ) ขึ้นมาใช้ โดยที่กลุ่มประเทศร่ำรวยในซีกโลกเหนือได้ประโยชน์จากการสะสมทุน ความมั่งคั่ง และยึดกุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองไว้

ไทยในฐานะประเทศกำลังพัฒนาในซีกโลกใต้ซึ่งตลอดระยะเวลาหลายทศวรรษของการพัฒนาให้เป็นสมัยใหม่จากการขูดรีดทรัพยากรธรรมชาติและกดขี่ชุมชนท้องถิ่น ก็ได้กลายเป็นประเทศอันดับต้น ๆ ของโลกที่มีความเสี่ยงสูงจากผลกระทบของโลกเดือด สองทศวรรษที่ผ่านมาจนถึงปี 2565 ประเทศไทยเผชิญกับเหตุการณ์สภาพอากาศสุดขั้ว 146 ครั้ง สร้างความสูญเสียต่อชีวิต 0.21 ต่อประชากร 1 แสนคน และสร้างความเสียหาย 7,719.15 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือประมาณ 0.82% ของ GDP การคาดการณ์อนาคตโดยใช้แบบจำลองสภาพภูมิอากาศระบุว่า เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มขึ้นเป็น 1.5 องศาเซลเซียส จำนวนวันแห้งแล้งในประเทศไทยจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 2.6 และความรุนแรงจากอุทกภัยจะเพิ่มร้อยละ 3 แต่เมื่ออุณหภูมิเฉลี่ยผิวโลกเพิ่มขึ้นเป็น 3 องศาเซลเซียส จำนวนวันแห้งแล้งจะเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 และความรุนแรงจากอุทกภัยจะเพิ่มร้อยละ 13 โดยเป็นที่ประจักษ์ชัดว่า ชาวนาชาวไร่ ชาวประมงพื้นบ้าน คนจนผู้ยากไร้ในเมืองและชนบท ชุมชนท้องถิ่น กลุ่มชาติพันธุ์ เด็ก เยาวชน สตรีและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศรวมถึงผู้ใช้แรงงาน แรงงานข้ามชาติ ในประเทศไทยคือกลุ่มที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด

หายนะจากวิกฤตโลกเดือดซึ่งพวกเราแทบไม่ได้มีส่วนก่อขึ้นนี้ ยังได้ซ้ำเติมความเหลื่อมล้ำทางสังคมและความยากจนที่มีอยู่เดิมให้ขยายทบทวีขึ้นไปอีก ส่วนนโยบายสภาพภูมิอากาศของไทยรวมถึงเป้าหมายการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ความเป็นกลางทางคาร์บอน การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์สุทธิ (Net Zero) ซึ่งยึดโยงกับรัฐธรรมนูญ 2560 และแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี คือเครื่องมือและกลไกของกลุ่มชนชั้นนำที่ยึดกุมอำนาจทางเศรษฐกิจและการเมืองเพื่อดำรงไว้ซึ่งสถานะที่เป็นอยู่ และเปิดให้อุตสาหกรรมฟอสซิล อุตสาหกรรมอาหารยักษ์ใหญ่/อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ และโครงการพัฒนาต่างๆ ที่ทำลายล้างฐานทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นทำการฟอกเขียวโดยอ้างการพัฒนาที่ยั่งยืน ความร่วมมือ และการมีส่วนร่วม รวมถึงความตกลงระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้อง เช่น ความตกลงปารีส เป็นต้น โดยที่อุตสาหกรรมฟอสซิล อุตสาหกรรมอาหารยักษ์ใหญ่/อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ และโครงการพัฒนาต่าง ๆ เหล่านั้น ที่ทำลายล้างฐานทรัพยากรของชุมชนท้องถิ่นยังสามารถปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษอื่น ๆ ต่อไปได้ผ่านระบบตลาดซื้อขายคาร์บอนและเครดิตระบบนิเวศ

นี่คือโฉมหน้าของการละเมิดสิทธิชุมชน สิทธิเกษตรกร สิทธิกลุ่มชนพื้นเมือง/กลุ่มชาติพันธุ์และสิทธิมนุษยชนในนามของการแก้โลกเดือดที่รัฐ ทุน และกลไกของรัฐ/ทุนดำเนินการอยู่

เครือข่ายประชาชนเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและหยุดคาร์บอนเครดิต(The People Network for Climate Justice and Against Greenwashing) เห็นว่า วิกฤตโลกเดือดเป็นวิกฤตที่ส่งผลกระทบอย่างร้ายแรงต่อสิทธิชุมชน สิทธิเกษตรกร สิทธิกลุ่มชนพื้นเมือง/กลุ่มชาติพันธุ์และสิทธิมนุษยชน ดังนั้น กรอบในเรื่องสิทธิต้องเป็นหัวใจสำคัญ หากกลุ่มผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก/มลพิษรายใหญ่ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมร่ำรวย อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล/อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ และอุตสาหกรรมขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติไม่ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างมีนัยสำคัญ ภัยคุกคามต่อสิทธิชุมชน สิทธิเกษตรกร สิทธิกลุ่มชนพื้นเมือง/กลุ่มชาติพันธุ์และสิทธิมนุษยชนจะยิ่งขยายเพิ่มขึ้นไปอีก

ดังนั้น การไปให้ถึงความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศ สังคมไทยต้องไปให้พ้นจากกระบวนทัศน์การพัฒนาแบบเดิมทั้งหมด ต้องยึดหลักการของหนี้นิเวศวิทยา(ecological debt) เพื่อให้กลุ่มผู้ปล่อยก๊าซเรือนกระจก/มลพิษรายใหญ่ กลุ่มประเทศอุตสาหกรรมร่ำรวย อุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล/อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ และอุตสาหกรรมขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติมีภาระรับผิดต่อผลกระทบจากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษในระดับพื้นที่ตลอดห่วงโซ่อุปทานทั้งในอดีตและปัจจุบันทั้งหมด ภาระรับผิดต้องรวมถึงการชดใช้และฟื้นฟูจากการสูญเสียที่ดิน วิถีชีวิต และความเสียหายอื่น ๆ จากผลกระทบโลกเดือด

ข้อเรียกร้องของเครือข่ายประชาชนเสริมสร้างความเป็นธรรมทางสภาพภูมิอากาศและหยุดคาร์บอนเครดิต(The People Network for Climate Justice and Against Greenwashing) มีดังนี้

ข้อเรียกร้องต่อ UNFCCC

1. เก็บฟอสซิลไว้ใต้ดินโดยสนับสนุนข้อเสนอให้มีสนธิสัญญาการไม่แพร่ขยายเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil Fuel Non-Proliferation treaty) ซึ่งนำโดย 14 กลุ่มประเทศ (วานูอาตูวาลู, ตองกา, ฟิจิ, หมู่เกาะโซโลมอน, นีอูเอ, แอนติกาและบาร์บูดา, ติมอร์-เลสเต, ปาเลา, โคลอมเบีย, ซามัว, นาอูรู, หมู่เกาะมาร์แชลล์ และสหพันธรัฐไมโครนีเซีย) 119 เมืองและรัฐบาลท้องถิ่น 3,719 องค์กร/สถาบัน/หน่วยธุรกิจ และบุคคลทั่วไปจำนวนนับล้านคนทั่วโลก

2. ยุติการเจรจาความตกลงปารีสบนกระบวนทัศน์การพัฒนาแบบเดิมที่ถูกครอบงำโดยกลุ่มชนชั้นนำ 1% ซึ่งใช้อิทธิพลทางเศรษฐกิจและการเมืองของตน ตลอดจนกลไกทวิภาคีและพหุภาคีต่างๆ เพียงเพื่อแสวงหากำไรและผลประโยชน์เพื่อสั่งสมความมั่งคั่งและดำรงไว้ซึ่งสถานะภาพที่เป็นอยู่ ไม่ว่าจะเป็นกลไกการลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกต่างๆ ที่กำหนดโดยกลุ่มประเทศร่ำรวย ทั้งในภาคบังคับ เช่น ระบบการซื้อขายสิทธิในการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (Emission Trading System) เป็นต้น และภาคสมัครใจ เช่น ตลาดคาร์บอนภาคสมัครใจ(Voluntary Carbon Market) เป็นต้น โดยกลไกดังกล่าวเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมในการละเมิดสิทธิชุมชน สิทธิเกษตรกร สิทธิกลุ่มชนพื้นเมือง/กลุ่มชาติพันธุ์และสิทธิมนุษยชนในกลุ่มประเทศกำลังพัฒนาและกลุ่มประเทศยากจนในซีกโลกใต้ซึ่งแบกรับความสูญเสียและความเสียหายมากที่สุดจากวิกฤตโลกเดือด

3. การเงินด้านสภาพภูมิอากาศ (Climate Finance) ต้องยึดหลักความรับผิดชอบทางประวัติศาสตร์ในการก่อโลกเดือดของกลุ่มประเทศร่ํารวยโดยการชําระคืน “หนี้นิเวศ” ให้กับกลุ่มประเทศพัฒนาและยากจนในซีกโลกใต้ และเป็นกลไกภาคบังคับเพื่อชดใช้ความสูญเสียและความเสียหาย (loss and damage) ที่เกิดขึ้น จนถึงปัจจุบัน การเงินด้านสภาพภูมิอากาศที่ตั้งขึ้นมาเป็นกลไกสมัครใจและมาจากเงินกู้เป็นส่วนใหญ่ กลุ่มประเทศพัฒนาและยากจนในซีกโลกใต้ต้องตกอยู่ในวงจรอุบาทว์ของวิกฤตหนี้เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการฟื้นฟูผลกระทบจากหายนะโลกเดือดที่ตนเองไม่มีส่วนก่อขึ้น

4. ยุติบทบาทของบริษัทข้ามชาติที่ส่งเสริมแบบแผนการผลิต การบริโภคและวิถีชีวิตที่ไม่ยั่งยืน ตลอดจนใช้อิทธิพลในการเจรจาหว่านล้อมการตัดสินใจทางนโยบายระดับชาติและนานาชาติ

5. สนับสนุนประเทศภาคี UNFCCC ในการสร้างแบบจําลองทางเศรษฐกิจและสังคมที่ปกป้องสิทธิขั้นพื้นฐานในการมีอากาศดี ที่ดิน น้ำ อาหารและระบบนิเวศที่สมบูรณ์

6. ต่อต้านการดําเนินการทางทหาร การยึดครอง การปราบปราม และการขูดรีดทรัพยากรที่ดิน น้ำ มหาสมุทร ผู้คนและวัฒนธรรม และสิ่งมีชีวิตอื่น ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เกี่ยวข้องกับบทบาทของอุตสาหกรรมเชื้อเพลิงฟอสซิล อุตสาหกรรมอาหารขนาดใหญ่/อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ และอุตสาหกรรมเหมืองแร่

ข้อเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย

1. ผลักดันให้มีการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ให้แล้วเสร็จภายในรัฐบาลนี้ โดยยกเลิกแผนยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี นโยบายป่าไม้แห่งชาติ แผนพลังงานชาติ แผนพัฒนาเกษตรแปลงใหญ่ เขตเศรษฐกิจพิเศษ และนโยบายต่างๆ ที่ส่งเสริมการเพิ่มพื้นที่สีเขียวแบบจอมปลอม ที่นำมาสู่การเร่งเร้าวิกฤตโลกเดือด ทั้งนี้เพื่อรับรองว่ารัฐบาลจะมีภาระรับผิด(accountability)ในการจัดการกับวิกฤตสภาพภูมิอากาศทั้งในลักษณะที่เป็นภาระรับผิดต่อประชาชนตามกระบวนการประชาธิปไตย และเป็นไปตามหลักการภาระรับผิดในระดับสากล

2. สร้างบทบาทนำในอาเซียน กลุ่มประเทศกำลังพัฒนาที่มีความเสี่ยงต่อโลกเดือดสูงและประชาคมโลกในการเรียกร้องให้มีการชดใช้หนี้นิเวศ และความสูญเสียและความเสียหาย(loss and damage) ที่เกิดขึ้น

3. หยุดกฎหมายการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศทุกฉบับที่สนับสนุนกลไกตลาดซื้อขายแลกเปลี่ยนคาร์บอนซึ่งเป็นวาทกรรมแก้โลกเดือดแบบจอมปลอม และการใช้เทคโนโลยีดักจับและกักเก็บคาร์บอนใต้ดินและใต้ทะเลซึ่งเป็นการฟอกเขียวสร้างความชอบธรรมให้กับอุตสาหกรรมโดยอ้างความตกลงปารีสที่ยังตั้งอยู่บนกระบวนทัศน์การพัฒนาแบบเดิม

4. ยุบเลิกองค์การบริหารจัดการก๊าซเรือนกระจก(อบก.) ที่ไม่มีบทบาทอื่นใดนอกจากส่งเสริมระบบคาร์บอนเครดิตและสร้างความชอบธรรมให้อุตสาหกรรมยังคงปล่อยมลพิษและก๊าซเรือนกระจกอยู่ต่อไป

5. ทบทวนวิสัยทัศน์ ภารกิจและบทบาทของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมเสียใหม่ โดยเน้นส่งเสริมสิทธิชุมชนในการดูแลและปกป้องทรัพยากร และกำกับดูแลธุรกิจ กิจการ และอุตสาหกรรมที่ส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด แทนที่จะละเมิดสิทธิชุมชนผ่านกระบวนการ EIA

6. ยกเลิกสัมปทานที่ให้บริษัทเอกชนที่เข้าไปทำโครงการคาร์บอนเครดิตและไบโอเครดิตทั้งหมด และยุติการโฆษณาชวนเชื่อเรื่องคาร์บอนเครดิตและไบโอเครดิตทุกประเภท

7. มีมาตรการเร่งด่วนให้อุตสาหกรรมฟอสซิล อุตสาหกรรมอาหารยักษ์ใหญ่/อุตสาหกรรมเนื้อสัตว์ อุตสาหกรรมขุดเจาะทรัพยากรธรรมชาติลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอย่างจริงจังภายในเวลาที่กำหนด หากไม่ดำเนินการต้องมีความผิดทางอาญาสถานหนัก