นายกฯ แพทองธารกลับมาจากการเยือนจีนแปปเดียว ก็ได้ MOU ที่พร้อมตั้งคณะทำงานร่วมเตรียมรับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดเล็ก(Small Modular Reactor) ติดมาด้วย https://www.prachachat.net/economy/news-1749984

ตามที่โฆษณาไว้ Small Modular Reactor(SMR) จะดี ปลอดภัย และราคาถูก แต่การวิเคราะห์ของสถาบันวิเคราะห์เศรษฐศาสตร์พลังงานและการเงิน (Institute for Energy Economics and Financial Analysis – IEEFA) ชี้ให้เห็นข้อมูลในทางตรงกันข้าม โดยยกตัวอย่าง เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ขนาดเล็ก (SMR) ของบริษัท NuScale ที่พัฒนามาตั้งแต่ต้นศตวรรษนี้ “ช้าเกินไป แพงเกินไป เสี่ยงเกินไป และไม่แน่นอนอย่างมาก” https://wp.me/p1cebt-2zF

ก่อนหน้านี้ ทั้งผู้กำหนดนโยบายพลังงาน ภาคธุรกิจอุตสาหกรรม สถาบันวิชาการ รวมถึงมหาเศรษฐีผู้มีอิทธิพลทางเศรษฐกิจการเมืองของไทย(Thai Oligraches) ก็มองว่าอนาคตการผลิตไฟฟ้าของไทยควร go nuclear ได้แล้วเพราะถูก ปลอดภัย และลดโลกเดือด https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1164966

แนวโน้ม go nuclear ของไทยก็คือการพึ่งพาเทคโนโลยีพลังงานนิวเคลียร์จากจีน จีนซึ่งกำลังก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำระดับโลกในการพัฒนาและติดตั้งเทคโนโลยีนิวเคลียร์เพื่อการผลิตไฟฟ้าภายในปี 2030 และหลังจากนั้น

การที่จีนจะขึ้นมาเป็นจ้าวโลกด้านนิวเคลียร์นั้นยังเป็นคำถาม เราต้องไม่ลืมว่า นอกจากโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จีนยังสะสมหัวรบนิวเคลียร์อีกด้วย จีนทดลองระเบิดปรมาณูลูกแรกที่ทะเลทรายหลู่ปู้ปัว (Lop Nor) ในมณฑลซินเจียง โดยรวมแล้ว จีนได้ดำเนินการทดสอบนิวเคลียร์ในชั้นบรรยากาศ 23 ครั้ง และทดสอบใต้ดิน 22 ครั้ง ที่ทะเลทรายแห่งนี้ https://www.icanw.org/china_conducts_its_first_nuclear_test

ผู้เชี่ยวชาญจาก Vienna Center for Disarmament and Non-Proliferation ระบุว่า “…จีนที่เป็นผู้นำด้านพลังงานนิวเคลียร์ระดับโลกนั้นยังไม่ใช่ข้อสรุปที่แน่นอน สมมติฐานที่เคยดูสมเหตุสมผลเมื่อปักกิ่งเร่งติดตั้งโรงไฟฟ้านิวเคลียร์อย่างรวดเร็วในช่วงต้นทศวรรษ 2000—เกี่ยวกับการขยายตัวของพลังงานนิวเคลียร์ทั่วโลก การพัฒนาเทคโนโลยีนิวเคลียร์ ความต้องการไฟฟ้าและการเติบโตทางเศรษฐกิจ ตลอดจนความเสี่ยงทางการเมืองและโครงการ—ในปัจจุบันกลับมีความไม่แน่นอนมากขึ้น…” https://wp.me/p1cebt-2zR

ที่สำคัญ จีนจะสามารถรักษาความปลอดภัยด้านนิวเคลียร์ได้นานแค่ไหน?

ในปี 2556 จีนมีโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 15 แห่ง และมีแผนจะเพิ่มเป็น 41 แห่งในปี 2558 โรงไฟฟ้าเหล่านี้ใช้เทคโนโลยีจากฝรั่งเศส รัสเซีย สหรัฐฯ และแคนาดา รวมถึงโรงไฟฟ้าหลายแห่งที่ใช้เครื่องปฏิกรณ์พัฒนาโดยจีนเอง ส่วนใหญ่เป็นเทคโนโลยีรุ่นที่สอง (Gen II) และตั้งเป้าสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 500 แห่งภายในปี 2593 ซึ่งจะมากกว่าจำนวนโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ทั่วโลกในปี 2556 (443 แห่ง)

แม้ว่าเทคโนโลยีนิวเคลียร์ของจีนจะเข้าใกล้มาตรฐานระดับโลกในด้านการออกแบบ ความปลอดภัยและการดำเนินงาน แต่เพื่อลดต้นทุน จีนมักลดมาตรการด้านความปลอดภัย เช่น ในอดีตโครงสร้างกันแผ่นดินไหวของจีนต่ำกว่ามาตรฐานของญี่ปุ่น

ศาสตราจารย์ เฉียน เส้าจุน แห่งสถาบันวิศวกรรมแห่งชาติจีน กล่าวย้ำหลายครั้งว่า “ความปลอดภัยของนิวเคลียร์ขึ้นอยู่กับประสบการณ์จริง” ซึ่งจีนยังมีประสบการณ์เพียง 1 ใน 10 ของญี่ปุ่น

จีนยังมีโอกาสเผชิญภัยพิบัติแผ่นดินไหวในระดับเดียวกับญี่ปุ่น แต่ คุณภาพบุคลากรด้านนิวเคลียร์ของจีนยังตามหลังญี่ปุ่น แม้ว่าจะไม่ได้ด้อยด้านการออกแบบ แต่ขาดประสบการณ์ทั้งในด้านการออกแบบและการบริหารจัดการ

เหอ จั้วซิ่ว อดีตนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ของรัฐบาลจีน คาดการณ์ว่า หากอ้างอิงจากสถิติของญี่ปุ่น จีนมีแนวโน้มสูงที่จะเผชิญภัยพิบัตินิวเคลียร์ร้ายแรงราวปี 2593 ในช่วงปี 2558-2563 จีนสร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์รุ่นที่สาม (Gen III) เพิ่มอีก 30 แห่ง ความเสี่ยงจึงเพิ่มขึ้นอีก

จนถึงปี 2556 เครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์แบบ AP1000 ซึ่งเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีหลักของรุ่นที่สาม ยังไม่เคยถูกใช้งานจริงที่ไหนในโลก ไม่มีแม้แต่ reactor-year เดียวเป็นข้อมูลอ้างอิง ดังนั้น ตัวเลขที่พอใช้เป็นเกณฑ์ได้คือ 267 reactor-years จาก Three Mile Island และ 162 reactor-years จากเชอร์โนบิล (หมายเหตุ – อายุการใช้งานของเครื่องปฏิกรณ์นิวเคลียร์ถูกคำนวณในหน่วย “ปีของเครื่องปฏิกรณ์” (reactor-years) โดยหนึ่งปีของเครื่องปฏิกรณ์หมายถึงเครื่องปฏิกรณ์หนึ่งเครื่องทำงานเป็นเวลาหนึ่งปี ปัจจุบันโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ 443 แห่งทั่วโลกได้ดำเนินการรวมกันเป็นเวลา 14,767 ปีของเครื่องปฏิกรณ์)

เหอ จั้วซิ่ว อดีตนักฟิสิกส์นิวเคลียร์ของรัฐบาลจีน จึงสรุปว่าหากอ้างอิงจากตัวเลขนี้ จีนมีแนวโน้มสูงที่จะเกิดอุบัติเหตุใหญ่ระหว่างปี 2563-2573 https://wp.me/p1cebt-2zT เขาบอกว่า แม้บางคนอาจโต้แย้งว่า “ตามทฤษฎีแล้ว” เครื่องปฏิกรณ์รุ่นที่สามปลอดภัยกว่ารุ่นที่สอง แต่ในความเป็นจริง เครื่องปฏิกรณ์เหล่านี้ยังไม่เคยผ่านการทดสอบจริง และยังมีปัญหาหลายด้าน เช่น โรงไฟฟ้ารุ่นที่สามของจีนถูกสร้างในพื้นที่แผ่นดินใหญ่ตอนในที่มีปัญหาเรื่องแหล่งน้ำ https://chinawaterrisk.org/resources/analysis-reviews/china-nuclear-the-future-is-unclear/ และการทุจริตในกระบวนการประเมินผลกระทบสิ่งแวดล้อม เช่น โรงไฟฟ้าเผิงเจ๋อ (Jiangxi) และเถาหัวเจียง (Hunan) เป็นต้น