เขียนโดย : อิกเราะ อะนูกราห์ (Iqra Anugrah)

ในเดือนพฤษภาคม 2024 เจ็ดเดือนหลังจากสงครามของอิสราเอลต่อฉนวนกาซาเริ่มต้นขึ้น นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยอัมสเตอร์ดัม (UvA) ได้จัดตั้งค่ายสมานฉันท์กับกาซาเป็นครั้งแรกในเนเธอร์แลนด์ โดยได้รับแรงบันดาลใจจากกลุ่มนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบียและมหาวิทยาลัยอื่น ๆ ทั่วยุโรปและสหรัฐฯ

คณะผู้บริหารของ UvA ซึ่งได้รับการสนับสนุนจากนายกเทศมนตรีเมืองอัมสเตอร์ดัม เฟมเก ฮาลเซมา ได้ให้ตำรวจสลายค่ายดังกล่าว แต่ขบวนการเคลื่อนไหวไม่ได้หยุดลง นักศึกษาผู้ประท้วงสามารถสร้างค่ายที่สองซึ่งใหญ่ขึ้นและมีประสิทธิภาพมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ค่ายใหม่นี้กลายเป็นจุดเริ่มต้นของขบวนการประท้วงและการตั้งค่ายทั่วประเทศเพื่อสนับสนุนปาเลสไตน์ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากนักศึกษามหาวิทยาลัยอื่น ๆ ในเนเธอร์แลนด์ ขบวนการทางสังคมต่าง ๆ ชุมชนชาวปาเลสไตน์พลัดถิ่น รวมถึงสมาชิกชนชั้นแรงงาน โดยเฉพาะผู้ที่มีภูมิหลังเป็นผู้อพยพ กระแสการเมืองต่อต้านจักรวรรดินิยมรูปแบบใหม่จึงถือกำเนิดขึ้น

สงครามที่เกิดขึ้นในฉนวนกาซาและดินแดนปาเลสไตน์ที่ถูกยึดครองในเวสต์แบงก์ได้ช่วยจุดประกายให้กระแสการเมืองต่อต้านจักรวรรดินิยมกลับมามีบทบาทอีกครั้ง อย่างไรก็ตาม กระแสนี้ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างโดดเดี่ยว แต่ต่อยอดจากขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมหลายแห่งในโลกใต้ (Global South) ที่เป็นแนวหน้าของการต่อต้านระบอบเผด็จการและการขยายอำนาจของลัทธิจักรวรรดินิยมที่เกิดขึ้นจากระบบทุนนิยม ขบวนการเหล่านี้รวมถึงพันธมิตรชานม (Milk Tea Alliance) ที่ต่อต้านอำนาจนิยมในเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขบวนการทางการเมืองฝ่ายซ้ายและรัฐบาลในหลายประเทศของละตินอเมริกาและยุโรป การประท้วงของขบวนการ Black Lives Matter ในสหรัฐอเมริกาและที่อื่น ๆ รวมถึงการเคลื่อนไหวในระดับท้องถิ่นและระดับชาติที่ต่อต้านอุตสาหกรรมขูดรีด การแสวงหาผลประโยชน์จากทุนนิยม อำนาจของกลุ่มทุนขนาดใหญ่ และการปราบปรามของรัฐ

การทำความเข้าใจธรรมชาติของจักรวรรดินิยมในยุคปัจจุบัน รวมถึงวิธีการสร้างสรรค์ที่ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและประชาชนใช้ในการต่อต้านอำนาจเหล่านี้ เป็นสิ่งสำคัญในการทำความเข้าใจผลกระทบของระบบทุนนิยมโลกและระบอบเผด็จการร่วมสมัย พร้อมทั้งช่วยเสนอแนวทางทางเลือกสำหรับการเปลี่ยนแปลงในอนาคต

จักรวรรดินิยม: การกลับมาของแนวคิดที่ถูกลืม

ความตึงเครียดทางการเมืองและเศรษฐกิจระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีน รวมถึงประเทศมหาอำนาจระดับกลาง เช่น บราซิล รัสเซีย อินเดีย และแอฟริกาใต้ (กลุ่ม BRICS ดั้งเดิม) ได้กลายเป็นประเด็นสำคัญที่ถูกกล่าวถึงทั้งในวงวิชาการ สื่อมวลชน และการถกเถียงในสังคม นอกจากนี้ ประเทศมหาอำนาจระดับกลางอื่น ๆ อย่างกาตาร์และตุรกี ก็ได้รับความสนใจในเวทีโลกมากขึ้นจากบทบาททางการทูตที่ท้าทายอำนาจนำของชาติตะวันตก

อย่างไรก็ตาม การวิเคราะห์เหล่านี้มักละเลยการเชื่อมโยงระหว่างการเปลี่ยนแปลงของโครงสร้างอำนาจโลกกับพัฒนาการทางประวัติศาสตร์ของระบบทุนนิยม ซึ่งเป็นระบบเศรษฐกิจการเมืองที่อิงอยู่กับ การถือครองปัจจัยการผลิตโดยเอกชน การแสวงหาผลกำไร และการเอารัดเอาเปรียบแรงงาน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ การสร้างกระแสความหวาดกลัว (fearmongering) และการวิเคราะห์เชิงศีลธรรมจอมปลอม ทำให้ประเทศมหาอำนาจและอำนาจระดับกลางที่กำลังเติบโตถูกมองในสองมิติสุดขั้ว—เป็นได้ทั้ง “ภัยคุกคามต่อเสรีภาพ ประชาธิปไตย และระเบียบโลกที่ตั้งอยู่บนกฎเกณฑ์” หรือ “แนวหน้าผู้กอบกู้” ที่ต่อต้านลัทธิล่าอาณานิคมของตะวันตกที่ดำเนินมากว่าหลายศตวรรษ

การแบ่งขั้วแบบผิด ๆ นี้ถูกนำไปใช้ซ้ำในการถกเถียงทางการเมือง ปัญญาชนเสรีนิยมและอนุรักษ์นิยมจำนวนมากมองว่าการขยายอำนาจของจีนเป็นภัยคุกคามต่อเสรีภาพ ซึ่งขัดแย้งโดยสิ้นเชิงกับข้อเท็จจริงที่ว่า “โลกเสรี” ที่พวกเขากล่าวอ้างนั้น กำลังดำเนินนโยบายสอดแนมมวลชน แทรกแซงกระบวนการประชาธิปไตยเพื่อปกป้องผลประโยชน์ทางการเมืองและเศรษฐกิจของตนเอง รวมถึงสนับสนุนการปราบปรามชาวเยเมนและการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวปาเลสไตน์

ในขณะเดียวกัน ฝ่ายซ้ายและนักเคลื่อนไหวแนวหน้าจำนวนหนึ่งยังคงมองขบวนการต่อต้านจักรวรรดินิยมในโลกที่สามหรือ Global South ว่าเป็นขบวนการก้าวหน้าตามธรรมชาติ โดยละเลยความขัดแย้งภายในโครงการทางการเมืองเหล่านี้ (หรือในความเป็นจริง คือรัฐเหล่านั้น) ซึ่งหลายครั้งเสื่อมถอยไปเป็นเพียง ระบอบอำนาจนิยมแบบใหม่ มากกว่าการเป็นขบวนการที่ส่งเสริมความเป็นธรรมและเสรีภาพอย่างแท้จริง

นี่คือเหตุผลที่การวิเคราะห์จักรวรรดินิยมโดยอิงกับบริบทและเศรษฐกิจการเมืองยังคงมีความสำคัญ เพราะช่วยให้เราเข้าใจความเชื่อมโยงระหว่าง อำนาจของรัฐและบรรษัทข้ามชาติ บทบาทของชาติตะวันตก โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา ในการรักษาระบบทุนนิยมและระเบียบโลกปัจจุบัน การสมรู้ร่วมคิดของชนชั้นนำทางการเมืองและเศรษฐกิจภายในประเทศ ที่ช่วยสืบทอดโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรมนี้ และการต่อต้านจากประชาชน โดยเฉพาะขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมและการลุกฮือของประชาชนระดับรากหญ้าในโลกใต้ (Global South) เพื่อต่อสู้กับอำนาจครอบงำของจักรวรรดินิยมระดับโลก

เลนิน นิยามว่าจักรวรรดินิยมคือ การขยายตัวของทุนและความสัมพันธ์ทางสังคม-การเมืองที่เกี่ยวข้อง จากประเทศร่ำรวย ซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของลัทธิล่าอาณานิคมและต่อมากลายเป็นมหาอำนาจโลกหลังปี 1945 เช่น สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ไปสู่ดินแดนชายขอบและประเทศที่ยังไม่พัฒนา ซึ่งภายหลังถูกเรียกรวมกันว่า โลกที่สาม และต่อมาเป็นที่รู้จักในชื่อ โลกใต้ (Global South)

ในปัจจุบัน จักรวรรดินิยมใช้กลไกหลากหลายรูปแบบในการแสวงหากำไรและควบคุมประเทศต่าง ๆ ได้แก่ บรรษัทข้ามชาติ (TNCs)ที่พึ่งพาแรงงานราคาถูกเพื่อเพิ่มอัตรากำไร ชนชั้นนำทางการเมืองที่ใช้อำนาจนิยมและวิธีการทางทหารเพื่อควบคุมแรงงานและจำกัดขบวนการทางการเมืองที่ก้าวหน้า โดยอ้างเหตุผลเรื่อง “เสถียรภาพทางการเมือง” และ “การดึงดูดการลงทุน” การรักษาพันธมิตรกับมหาอำนาจจักรวรรดินิยมดั้งเดิม เพื่อค้ำจุนโครงสร้างอำนาจที่ไม่เป็นธรรม

ดังนั้น จักรวรรดินิยมจึงไม่ใช่เพียงแค่การขยายตัวของทุนหรือการแสวงหาผลประโยชน์จากแรงงานในระดับโลกโดยบรรษัทข้ามชาติเท่านั้น แต่ยังเป็นโครงการทางการเมืองของชนชั้นนำในประเทศศูนย์กลางจักรวรรดินิยมที่มุ่งจำกัดและบ่อนทำลายอธิปไตยของรัฐชาติในโลกใต้เพื่อรักษาอำนาจของตนผ่านกลไกทางเศรษฐกิจ การเมือง และแม้กระทั่งทางทหาร

แม้ว่าจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจซึ่งได้รับแรงหนุนจากการครอบงำของทุนในระบบทุนนิยมยุคปัจจุบัน ยังคงเป็นลักษณะเด่นของจักรวรรดินิยมร่วมสมัย แต่มิติที่หยาบกระด้างและก้าวร้าวทางทหารมักเป็นสิ่งที่ปลุกเร้าจิตสำนึกของสาธารณชนมากที่สุด อำนาจทางทหารนี้ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อรักษาจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจเท่านั้น แต่ยังเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยตอกย้ำอำนาจของจักรวรรดินิยมสหรัฐฯ และพันธมิตรเชิงยุทธศาสตร์ของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังสงครามเย็น

มิติทางการเมือง-การทหารของจักรวรรดินิยมนี้ถูกผลักดันไปข้างหน้า แม้ต้องแลกมาด้วยต้นทุนทางทหารและชีวิตมนุษย์ที่มหาศาล ตัวอย่างสำคัญได้แก่ การบุกและยึดครองอิรักโดยสหรัฐฯ (2003-2011) การแทรกแซงทางทหารของต่างชาติในสงครามกลางเมืองลิเบียที่เต็มไปด้วยความสับสนวุ่นวาย และการใช้โอกาสบุกโจมตีซีเรียของอิสราเอล หลังการล่มสลายของรัฐบาลอัสซาดในเดือนธันวาคม 2024

ที่น่าสนใจคือ นักเคลื่อนไหว องค์กร และนักวิชาการฝ่ายซ้ายในโลกตะวันตกบางกลุ่มกลับหมกมุ่นอยู่กับการเมืองภายในประเทศของตนเองมากเสียจนละเลยความท้าทายที่ขบวนการต่อต้านจักรวรรดินิยมในโลกใต้ต้องเผชิญ รวมถึงข้อเท็จจริงอันโหดร้ายของการถูกจักรวรรดินิยมล้อมกรอบและกดขี่

การศึกษาข้ามชาติฉบับล่าสุดได้ตอกย้ำว่าแนวคิดจักรวรรดินิยมแบบดั้งเดิมยังคงมีความเกี่ยวข้องกับโลกยุคปัจจุบัน งานวิจัยนี้พบว่า ประเทศร่ำรวยได้รับผลประโยชน์มหาศาลจากการแสวงหาทรัพยากรและแรงงานจากโลกใต้ ในช่วงหลังสงครามเย็น (1990-2015) คิดเป็นมูลค่าประมาณ 242 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐตามราคาตลาดตลอดช่วงเวลาดังกล่าว

การเติบโตทางเศรษฐกิจของประเทศและภูมิภาคนอกตะวันตก รวมถึงเศรษฐกิจที่มีอัตราการเติบโตสูงอย่าง “เสือเอเชีย” และ “เสือตัวลูก” (อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฟิลิปปินส์ ไทย และเวียดนาม) ไม่ได้หมายความว่าโครงสร้างอำนาจของจักรวรรดินิยมจะสิ้นสุดลง ในทางตรงกันข้าม จักรวรรดินิยมยังคงได้รับการสนับสนุนจากบรรษัทข้ามชาติ (TNCs) และรัฐบาลของสหรัฐฯ รวมถึงอดีตมหาอำนาจอาณานิคม

ตัวอย่างเช่น งานวิจัยเชิงลึกของอินตัน สุวันดี (Intan Suwandi) เกี่ยวกับอินโดนีเซีย แสดงให้เห็นว่าจักรวรรดินิยมทางเศรษฐกิจยังคงดำเนินต่อไปผ่านระบบบริษัทซัพพลายเออร์และบรรษัทข้ามชาติจากโลกเหนือ (Global North) ที่หากำไรจาก ความแตกต่างของค่าจ้างแรงงานระหว่างประเทศในโลกเหนือและโลกใต้ (global labour arbitrage) คนงานในอินโดนีเซียและประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่อื่น ๆ ยังคงถูกเอารัดเอาเปรียบ ขณะที่บรรษัทข้ามชาติทำกำไรอย่างมหาศาล

การแสวงหาผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจและการผจญภัยทางทหารอย่างต่อเนื่อง ย่อมก่อให้เกิดการต่อต้านในระดับสังคม ขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมหลายกลุ่มได้ท้าทายจักรวรรดินิยมโลกอย่างมีนัยสำคัญ ตัวอย่างเช่น การประท้วง “Battle of Seattle” ต่อต้านองค์การการค้าโลก (WTO) กองทัพปลดปล่อยแห่งชาติซาปาติสตา (EZLN) ในเม็กซิโก การต่อต้านรัฐบาลอำนาจนิยมที่ได้รับการสนับสนุนจากตะวันตกในหลายประเทศทั่วละตินอเมริกาและเอเชียตะวันออกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ การประท้วงครั้งใหญ่ต่อต้านการรุกรานและการยึดครองอิรักโดยสหรัฐฯ ขบวนการทางสังคมท้องถิ่นจำนวนมากที่ต่อต้าน การยึดที่ดิน การขูดรีดทรัพยากร การแปรรูปรัฐวิสาหกิจ และการขยายตัวของบรรษัทข้ามชาติ แม้ว่าช่วงเวลาของขบวนการปลดปล่อยแห่งชาติด้วยอาวุธอาจผ่านพ้นไปแล้ว แต่จิตวิญญาณแห่งการต่อต้านจักรวรรดินิยมยังคงดำรงอยู่

บทความ "แสวงหาทางเลือก : กลยุทธ์ของขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมเพื่อต่อต้านจักรวรรดินิยมและอำนาจนิยม" เขียนโดย อิกเราะ อะนูกราห์ (Iqra Anugrah) เป็นนักวิจัยประจำที่สถาบันนานาชาติเพื่อการศึกษาภูมิภาคเอเชีย (International Institute for Asian Studies - IIAS) มหาวิทยาลัยไลเดน นอกจากนี้ เขายังเป็นนักวิจัยสมทบที่สถาบันวิจัยเศรษฐกิจและสังคม การศึกษาและสารสนเทศ (LP3ES) ในกรุงจาการ์ตา เขามีผลงานวิชาการที่ได้รับการเผยแพร่อย่างกว้างขวางในหัวข้อการเมืองว่าด้วยการพัฒนาและขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคม ปัจจุบันเขากำลังศึกษาทฤษฎีการเมืองว่าด้วย แนวคิดอนุรักษนิยมในอินโดนีเซียยุคใหม่และประวัติศาสตร์ของชุมชนคอมมูนในเอเชีย นอกจากงานวิชาการแล้ว เขายังมีบทบาทสำคัญในองค์กรประชาชนและเครือข่ายเคลื่อนไหวต่าง ๆ ในอินโดนีเซีย เช่น เครือข่ายนักคิดศาสนาแนวก้าวหน้า ขบวนการเคลื่อนไหวด้านปฏิรูปที่ดินและนักเคลื่อนไหวด้านแรงงาน