การประชุมสุดยอดโลกร้อนจะทั้งร้อน ชื้นและไม่สะดวกสบาย ซึ่งอาจเป็นตัวช่วย

เมืองเบเล็ง (Belém) เป็นเมืองที่ทรุดโทรมในแอมะซอนของบราซิล อากาศร้อน มีท่อระบายน้ำเปิดจำนวนมากและขาดแคลนที่พักโรงแรม โดยประมาณ 40% ของบ้านเรือนไม่ได้เชื่อมต่อกับระบบบำบัดน้ำเสีย และในเดือนพฤศจิกายนนี้ เมืองดังกล่าวจะเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมสุดยอดด้านสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติ (COP30) ซึ่งคาดว่าจะเต็มไปด้วยความวุ่นวาย

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้ถอนสหรัฐฯ ออกจากความตกลงปารีส ซึ่งเป็นความตกลงที่ประเทศต่าง ๆ ให้คำมั่นว่าจะพยายามจำกัดภาวะโลกร้อนให้อยู่ที่ไม่เกิน 1.5°C เหนือระดับก่อนยุคอุตสาหกรรม แต่ระดับอุณหภูมินั้นได้ถูกทำลายไปแล้วเมื่อปีที่แล้ว ทำให้การเจรจาเรื่องสภาพภูมิอากาศดูไร้ความหวังยิ่งขึ้น และนี่จะเป็นการประชุม COP ครั้งแรกในรอบสามปีที่ไม่ได้จัดขึ้นในรัฐปิโตรเผด็จการ

บราซิลเป็นประเทศประชาธิปไตยที่มีองค์กรการกุศลและภาคประชาสังคมที่คึกคักและมักแสดงออกอย่างอื้ออึงมากมายซึ่งแตกต่างจากเจ้าภาพก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง

มากกว่าพื้นที่อื่นใด ภูมิภาคแอมะซอนสะท้อนให้เห็นถึงความขัดแย้งที่ต้องตัดสินใจระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม และประเด็นนี้อาจช่วยทำให้การเจรจาในปีนี้-ซึ่งจะเน้นไปที่การระดมเงินทุนเพื่อช่วยเหลือประเทศยากจนในการปรับตัวต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศ—มีความเข้มข้นและชัดเจนยิ่งขึ้น

การประชุม COP สามครั้งที่ผ่านมาจัดขึ้นที่ชาร์ม เอล เชค (Sharm el-Sheikh) ดูไบ และบากู ซึ่งเริ่มมีลักษณะคล้ายกับวันหยุดพักผ่อนในรีสอร์ต มีงานเลี้ยงค็อกเทลเกิดขึ้นทั่วทุกมุมและจำนวนผู้เข้าร่วมก็พุ่งสูงถึงกว่า 50,000 คน แต่เบเล็ง (Belém) จะต่างออกไป เมืองที่มีประชากร 1.3 ล้านคนแห่งนี้มีห้องพักโรงแรมเพียงพอสำหรับผู้เข้าร่วมเพียง 18,000 คน ขณะที่อีกประมาณ 5,000 คนคาดว่าจะพักอยู่บนเรือสำราญที่จอดเทียบท่าในท่าเรือใกล้เคียง โรงเรียนรัฐบาลและค่ายทหารกำลังถูกติดตั้งเครื่องปรับอากาศและเตียงสองชั้นให้กลายเป็น “โฮสเทล” ขณะที่ “เลิฟโฮเทล” ซึ่งปกติให้บริการแบบรายชั่วโมง ก็จะถูกนำมาใช้เป็นที่พักอีกทางเลือกหนึ่ง รัฐบาลท้องถิ่นยังได้ร่วมมือกับแพลตฟอร์มเช่าที่พักอย่าง Airbnb เพื่อเพิ่มทางเลือกในการเข้าพักอีกด้วย แต่ชาวเมืองจำนวนไม่น้อยหวังจะฉวยโอกาสทำเงินด่วน ตัวอย่างเช่น บน Airbnb มีห้องพักคุณภาพต่ำห้องหนึ่งที่ถูกตั้งราคาสูงถึงเกือบ 10,000 ดอลลาร์ต่อคืนในช่วงสัปดาห์ที่จัดประชุม

แม้จะมีปัญหาปลีกย่อยหลายจุด แต่อัดเลอร์ ซิลเวรา (Adler Silveira) เลขาธิการด้านโครงสร้างพื้นฐานของรัฐปารา ซึ่งเบเล็งเป็นเมืองหลวง กล่าวว่า การปรับปรุงเมืองเพื่อต้อนรับ COP จะสร้างมรดกเชิงบวกไว้ให้กับพื้นที่ โจซีเอเล อัลเวส เด กัสโตร (Josiele Alves de Castro) ผู้อยู่อาศัยในชุมชนแคนูดอส ซึ่งเป็นย่านยากจน กล่าวว่า ลำธารเหม็นหน้าบ้านเธอเคยเอ่อล้นในฤดูฝน ตอนนี้ถนนหน้าเขตบ้านของเธอได้รับการลาดยางและมีระบบระบายน้ำที่ดีแล้ว ไม่ไกลจากจุดนั้น ตลาดเก่าแก่กลางแจ้งอายุ 400 ปี ก็กำลังจะมีระบบสุขาภิบาลเป็นครั้งแรกเช่นกัน

อย่างไรก็ตาม การเร่งพัฒนาเบเล็งให้พร้อมรับการประชุม COP ก็เผยให้เห็นถึงความขัดแย้งของการพัฒนาในแอมะซอนเช่นกัน พื้นที่ป่าธรรมชาติยาว 13 กิโลเมตรถูกโค่นเพื่อสร้างทางหลวงใหม่ รองรับการจราจรขาเข้า ขณะเดียวกัน โครงการโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนยังต้องขุดลอกแม่น้ำและคลองระบายน้ำ แล้วถมด้วยคอนกรีต ลูคัส นัสซาร์ (Lucas Nassar) จากองค์กรการกุศลท้องถิ่น Laboratório da Cidade กล่าวว่า แนวทางเช่นนี้จะสร้างปัญหาในอนาคต “เบเล็งสามารถคิดค้นแนวทางการก่อสร้างรูปแบบใหม่สำหรับเมืองเขตร้อนได้” เขากล่าว “แต่กลับกลายเป็นว่า การเป็นเจ้าภาพ COP ครั้งนี้คือโอกาสที่สูญเปล่า”

ความคับข้องใจเช่นนี้สะท้อนให้เห็นถึงความตึงเครียดที่แก่นกลางของการถกเถียงเรื่องการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศซึ่งมักเป็นการต่อสู้กันระหว่างการเติบโตทางเศรษฐกิจกับความยั่งยืน รัฐปาราถือเป็นรัฐที่ยากจนมาก รายได้เฉลี่ยต่อคนอยู่ที่ประมาณ 220 ดอลลาร์สหรัฐต่อเดือน และยังเป็นพื้นที่ที่เกิดความขัดแย้งเรื่องที่ดินมากที่สุดในบราซิล นับตั้งแต่ปี 1988 ซึ่งเป็นปีที่เริ่มมีการเก็บข้อมูลการตัดไม้ทำลายป่า มีพื้นที่ป่าฝนในรัฐนี้ถูกทำลายไปแล้วมากกว่าขนาดของรัฐฟลอริดาในสหรัฐฯ

บริษัทวาเล (Vale) ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองแร่เหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลกตั้งอยู่ในรัฐปาราเคยตกเป็นจำเลยในหลายเหตุการณ์ภัยพิบัติทางสิ่งแวดล้อมครั้งใหญ่ของบราซิล หนึ่งในนั้นคือเหตุการณ์ในปี 2019 ที่บ่อเก็บกากแร่พังถล่ม ปล่อยโคลนพิษไหลท่วมหมู่บ้านและคร่าชีวิตผู้คนถึง 270 ราย กระนั้น โลโก้ของบริษัทวาเลก็ยังปรากฏอยู่บนชุดของคนงานก่อสร้างที่กำลังก่อสร้างพื้นที่จัดงาน COP

ประธานาธิบดีลูอิซ อีนาซีโอ ลูลา ดา ซิลวา หรือ “ลูลา” และผู้ว่าการรัฐปารา เฮลแดร์ บาร์บัลโญ ต่างพยายามสร้างทางเลือกใหม่แทนเกษตรกรรมและเหมืองแร่ในภูมิภาค ทั้งสองผลักดันการพัฒนาตลาดคาร์บอนเครดิต ดึงดูดการลงทุนในพลังงานสะอาด และส่งเสริมแนวคิด “เศรษฐกิจชีวภาพ” (bio-economy) ซึ่งนำผลิตภัณฑ์จากป่าฝนมาใช้เป็นวัตถุดิบผลิตพลังงานและวัสดุต่างๆ ลูลาเองยังมีบทบาทในการลดการตัดไม้ทำลายในแอมะซอน และเพิ่มสัดส่วนของเชื้อเพลิงชีวภาพในน้ำมันดีเซลและน้ำมันเบนซินอีกด้วย

ประเด็นเจรจาที่เลื่อนไหล

อย่างไรก็ตาม ขีดจำกัดของการดำเนินการเหล่านี้ก็เห็นได้อย่างชัดเจน ลูลาเองก็กำลังกดดันให้หน่วยงานกำกับดูแลด้านสิ่งแวดล้อมอนุมัติใบอนุญาตให้ Petrobras บริษัทน้ำมันของรัฐ ทำการขุดเจาะใกล้พื้นที่แอมะซอน เมื่อปีที่แล้ว น้ำมันกลายเป็นสินค้าส่งออกอันดับหนึ่งของบราซิล แซงหน้าเมล็ดถั่วเหลือง และบราซิลกำลังอยู่ในเส้นทางที่จะกลายเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่อันดับห้าของโลกภายในปี 2030 โดยเมื่อวันที่ 18 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บราซิลได้เข้าร่วมกลุ่ม OPEC+ ซึ่งเป็นกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน

ในส่วนของนายบาร์บัลโญเอง ข้อมูลจากสื่อสืบสวนสอบสวนของบราซิลชื่อ Sumaúma ระบุว่า เขาถือครองทรัพย์สินรวมมูลค่าประมาณ 3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งรวมถึงวัวมากกว่า 6,000 ตัว และหุ้นในธุรกิจเกษตรอีกหลายบริษัท ครอบครัวของเขายังมีสายสัมพันธ์ทางการเมืองแน่นแฟ้น ทั้งบิดาที่เป็นสมาชิกวุฒิสภาและภรรยาที่นั่งอยู่ในสภาที่มีหน้าที่ตรวจสอบการเงินของรัฐปารา ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ทรงอิทธิพลเช่นนี้พบได้ทั่วไปในรัฐแถบแอมะซอนของบราซิล แต่มักเป็นอุปสรรคต่อการตรวจสอบรับผิดชอบโดยเฉพาะในประเด็นด้านสิ่งแวดล้อม

สำหรับนักเคลื่อนไหวด้านสภาพภูมิอากาศสายแข็งแล้ว ความท้าทายด้านโลจิสติกส์และความย้อนแย้งด้านสิ่งแวดล้อมของเมืองเบเล็งกลับกลายเป็นแรงผลักดัน “COP หลายครั้งที่ผ่านมาเหมือนงานละครสัตว์” นักเจรจาผู้มีประสบการณ์รายหนึ่งกล่าว การอภิปรายในสถานที่ที่ความยากจนเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดการตัดไม้ทำลายป่า อาจเป็นสิ่งที่สร้างความเร่งด่วนเพียงพอให้เกิดการลงมือทำจริงจังเสียที

เรียบเรียงจาก Negotiators must prepare for a chaotic COP in Brazil
https://economist.com/the-americas/2025/04/09/negotiators-must-prepare-for-a-chaotic-cop-in-brazil
from The Economist