เรียบเรียงจาก https://es.greenpeace.org/es/noticias/el-gran-apagon-la-seguridad-era-la-energia-y-mucho-mas/

เหตุการณ์ไฟดับใหญ่เมื่อวันจันทร์ที่ 28 เมษายนที่ผ่านมา ได้มอบบทเรียนและข้อคิดบางประการให้กับเรา แม้ว่างานฟื้นฟูและการสืบหาสาเหตุยังคงดำเนินอยู่ สิ่งสำคัญที่สุดในขณะนี้คือการแสดงความห่วงใยต่อผู้ที่ได้รับผลกระทบทั้งในระดับไม่สะดวกสบายไปจนถึงขั้นรุนแรงในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมา และเราขอขอบคุณเจ้าหน้าที่กู้ภัยและทีมงานทุกคนที่ช่วยเหลือประชาชนและเร่งฟื้นฟูระบบไฟฟ้า
พร้อมกันนี้ แม้จะยังต้องรอผลสอบสวนอย่างเป็นทางการ แต่ก็สามารถสรุปประเด็นเบื้องต้นบางประการได้ดังนี้:
1. นี่แหละคือความมั่นคง
เราได้เห็นกับตาว่า “ความมั่นคง” ที่พูดถึงกันมากมายทุกวันนี้ แท้จริงแล้วเกี่ยวข้องกับความสามารถของโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานและคมนาคมของเรา มากกว่าการซื้ออาวุธหรือกระสุน ทุกยูโรที่ลงทุนมีความหมาย และตอนนี้คือเวลาที่ต้องย้ำว่า “นโยบายป้องกันประเทศ” ที่ดีที่สุดคือระบบพลังงานที่เข้าถึงได้ กระจายศูนย์ และมาจากพลังงานหมุนเวียน ซึ่งไม่เพียงรับประกันการจ่ายไฟฟ้า แต่ยังช่วยหยุดยั้งวิกฤตภูมิอากาศ ซึ่งเป็นภัยคุกคามที่ใหญ่ที่สุดในยุคของเรา
2. ถึงเวลาแห่งพลังงานหมุนเวียน
อีกหนึ่งบทเรียนที่เงียบแต่ชัดเจนจากไฟดับครั้งนี้คือ พลังงานหมุนเวียนคืออนาคตเดียวที่ปลอดภัย มีศักยภาพ และคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ ย้อนกลับไปในช่วงไฟดับ แทนที่สเปนจะต้องพึ่งพาการนำเข้าพลังงานจากฝรั่งเศสเหมือนอดีต กลับกลายเป็นว่าเรากำลัง “ส่งออกไฟฟ้า” ให้กับฝรั่งเศสและโปรตุเกส จากความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นของพลังงานหมุนเวียนในประเทศ ซึ่งตอนนี้กลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว
ไฟดับครั้งนี้ควรเป็นแรงผลักให้เร่งการลดคาร์บอนในระบบพลังงาน ขยายพลังงานหมุนเวียน การผลิตไฟฟ้าใช้เอง ชุมชนพลังงาน และการจัดเก็บพลังงาน ยิ่งระบบยังคงพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลมากเท่าไร ก็ยิ่งเสี่ยงต่อภัยโลกร้อน ความหลากหลายทางชีวภาพ และความมั่นคงทางพลังงานมากขึ้น (อย่าลืมเหตุการณ์วางระเบิดท่อส่งก๊าซ Nordstream หรือความเปราะบางของการนำเข้าก๊าซจากเรือภายใต้ความเสี่ยงจากทรัมป์หรือปูติน)
3. ความล้มเหลวอีกครั้งของพลังงานนิวเคลียร์
เหตุการณ์นี้ได้เผยให้เห็นข้อบกพร่องร้ายแรงของพลังงานนิวเคลียร์ เวลาประมาณ 5 โมงเย็น ขณะที่ไฟเริ่มกลับมาทั่วคาบสมุทร พลังงานหมุนเวียนกลับสามารถผลิตไฟฟ้าได้ถึง 90% ของทั้งระบบ แสดงให้เห็นถึงความยืดหยุ่นอย่างมหาศาล ขณะเดียวกัน โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ยังคงอยู่ในขั้นตอนการ “เปิดเครื่องอย่างเชื่องช้า” ซึ่งยังไม่จบแม้ผ่านไป 24 ชั่วโมง ความล่าช้านี้เองคือ “ความลับที่สกปรกที่สุด” ของพลังงานนิวเคลียร์ ซึ่งขัดแย้งกับระบบพลังงานยุคใหม่ที่ต้องการความคล่องตัวสูง
และเป็นเรื่องน่าอายที่ยังมีคนเสนอให้เพิ่มพลังงานนิวเคลียร์ในชื่อของ “ความมั่นคงทางพลังงาน” ทั้งที่อุตสาหกรรมนิวเคลียร์นั้นไม่สามารถอยู่ได้เลยหากไม่มีเงินอุดหนุนจากรัฐ และยังต้องพึ่งพายูเรเนียมจากรัสเซียและพันธมิตร
อุปสรรคจากนิวเคลียร์ฝรั่งเศส
อีกประเด็นหนึ่งที่เกี่ยวข้องคือ การเชื่อมต่อไฟฟ้าระหว่างสเปนกับยุโรปนั้นยังมีข้อจำกัด ซึ่งสาเหตุส่วนหนึ่งมาจาก “คอขวด” ทางนิวเคลียร์ของฝรั่งเศส อุตสาหกรรมเก่าของฝรั่งเศสกลัวการแข่งขันจากพลังงานหมุนเวียนราคาถูกของสเปน และพยายามชะลอการเชื่อมต่อระหว่างประเทศเพื่อปกป้องผลประโยชน์ของตน
การเรียกร้องให้สร้างโรงไฟฟ้านิวเคลียร์เพิ่ม ขณะที่มันไม่สามารถป้องกันหรือแม้แต่เร่งการฟื้นตัวจากไฟดับได้ เปรียบได้กับการชนรถสปอร์ตแล้วเรียกร้องให้เพิ่มแรงม้าในเครื่องยนต์ — เป็นแค่จินตนาการเพ้อฝัน
4. ภาพจำลองอันเจ็บปวดของผู้ที่ขาดโอกาส
แม้เราจะเห็นใจผู้ได้รับผลกระทบ แต่ก็อาจถึงเวลาต้องใช้โอกาสนี้ใคร่ครวญถึงความจริงของชีวิตผู้คนอีกมากมายทั่วโลก (เช่น ที่ Cañada Real หรือกาซา) ที่ต้องใช้ชีวิตโดยไม่มีไฟฟ้าเป็นเรื่องปกติ สำหรับหลายคนในสเปนและโปรตุเกส ไฟดับวันนั้นอาจเจ็บปวดหรือแค่สร้างความรำคาญ แต่สำหรับคนอีกจำนวนมากในโลก วันจันทร์ที่ผ่านมาไม่ใช่ “เหตุการณ์” แต่มันคือ “ชีวิตจริง” ที่พวกเขาเผชิญทุกวัน
5. เรียนรู้ที่จะช้าลงเพื่อไปได้ไกล
สุดท้ายนี้ สำหรับผู้ที่ไม่ได้รับผลกระทบรุนแรง อาจเป็นเวลาที่ดีที่จะหันกลับมามองข้างใน เรารู้สึกอย่างไรในช่วงไม่กี่ชั่วโมงที่ชีวิตช้าลง? เราอาจได้พูดคุยกับเพื่อนบ้าน ได้พบปะคนแปลกหน้า ได้ละสายตาจากหน้าจอ ได้ออกไปข้างนอก ได้พาเด็กไปเล่นที่สวน ได้เห็นดวงดาวจากบ้านของตัวเองเพราะไม่มีมลภาวะทางแสง
เมื่อพลังงานขาดแคลน เราจึงรู้ว่าการใช้งานบางอย่างสำคัญกว่าบางอย่าง และเราก็สามารถตัดลดการใช้ที่ไม่จำเป็นได้โดยไม่ลำบากอะไร โลกใบนี้มีขีดจำกัดด้านพลังงานและทรัพยากรธรรมชาติ สิ่งที่เราควรทำคือแยกแยะสิ่งจำเป็นออกจากสิ่งฟุ่มเฟือย และทำเช่นนั้นอย่างเป็นระบบ ไม่ใช่เพียงตอนที่เกิดวิกฤต
นั่นคือสิ่งที่เรียกว่า “ความพอดี” — การลดหรือเพิ่มการใช้พลังงานให้เหมาะสมกับสิ่งที่โลกสามารถมอบให้เราได้ โดยไม่ทำลายความสามารถในการดำรงชีวิต
