เรียบเรียงจาก https://nonprofitquarterly.org/corporate-capture-can-we-find-a-way-out/

ผู้ผลิตเครื่องบินอย่างโบอิ้ง ซึ่งได้รับอำนาจจากสำนักงานบริหารการบินแห่งชาติสหรัฐฯ (FAA) ในปี 2009 ให้รับรองความปลอดภัยของตนเอง กลับใช้ช่องทางนี้ในการเลี่ยงมาตรการกำกับดูแล—และนำไปสู่โศกนาฏกรรมในเวลาต่อมา¹ คณะกรรมการที่ปรึกษา 10 คน ซึ่งองค์การอาหารและยา (FDA) สหรัฐฯ แต่งตั้งในปี 2002 เพื่อตรวจสอบการเพิ่มขึ้นอย่างน่าวิตกของการสั่งจ่ายยา OxyContin ของ Purdue Pharma พบว่า ครึ่งหนึ่งของสมาชิกมีความเชื่อมโยงกับบริษัทดังกล่าว และไม่มีการดำเนินการใด ๆ ทำให้ยอดผู้เสียชีวิตจากการใช้โอปิออยด์เกินขนาดยังคงพุ่งสูงขึ้น²
การประชุมว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศภายใต้การสนับสนุนของสหประชาชาติ หรือ COP ซึ่งถือเป็นเวทีการประชุมสำคัญที่สุดของโลกด้านสภาพภูมิอากาศ กลับถูกนำโดย ดร.สุลต่าน อัล-จาเบอร์ ในปี 2023 ซึ่งเป็น “ซีอีโอของบริษัทรัฐวิสาหกิจด้านน้ำมัน” โดยที่สำนักข่าว AP ระบุว่า เขาทำให้โลกตกลงกันว่าจะ “เปลี่ยนผ่านออกจากเชื้อเพลิงฟอสซิล” ทั้งที่ยังสามารถผลิตน้ำมันเพิ่มขึ้นได้อย่างต่อเนื่อง—และผลกระทบที่น่าสะพรึงกลัวของเรื่องนี้ก็ปรากฏให้เห็นในรูปของภัยพิบัติจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ³
นี่คือสิ่งที่เรียกว่า “การยึดกุมโดยบรรษัท” (corporate capture) ซึ่งหมายถึงปรากฏการณ์ที่หน่วยงานของรัฐซึ่งมีหน้าที่ควบคุมพฤติกรรมของบรรษัท ถูกบรรษัทหรือผู้นำทางธุรกิจเข้าควบคุมเสียเองเพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ⁴ และหากมองในวงกว้างกว่านั้น การกลืนโดยบรรษัทไม่ได้จำกัดอยู่แค่กับหน่วยงานกำกับดูแลไม่กี่แห่ง หากแต่ได้ฝังรากลึกและกุมอำนาจในระบบเศรษฐกิจและวิถีชีวิตของเราทั้งหมด
การกลืนโดยบรรษัทเห็นได้ชัดไม่เพียงในหน่วยงานกำกับดูแล แต่ยังปรากฏในกระบวนการเลือกตั้ง สภานิติบัญญัติ สื่อ เพลง ศิลปะ และพื้นที่วัฒนธรรมอื่น ๆ ที่ชนชั้นนำในบรรษัทสามารถเข้าครอบครองได้ ชื่อของบรรษัทต่าง ๆ ก็ยังถูกนำไปประดับบนอาคารของมหาวิทยาลัยหรือโรงพยาบาลที่เป็นองค์กรไม่แสวงหากำไร ปรากฏการณ์นี้ยังแทรกซึมเข้าไปถึงกระบวนทัศน์ของนักเคลื่อนไหวและผู้นำในภาคประชาสังคมเองด้วย
อิทธิพลอันกว้างขวางที่บรรษัทสามารถสถาปนาได้ในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมานั้น น่าตกตะลึงอย่างยิ่ง เมื่อฟิลิป เค. ดิก นักเขียน เคยตั้งคำถามว่า “แอนดรอยด์ฝันถึงแกะไฟฟ้าหรือไม่”⁵ แม้เราจะไม่อาจล่วงรู้จิตใจของหุ่นยนต์ได้ แต่สิ่งหนึ่งที่แน่นอนคือ ข้อความจากบรรษัทได้แทรกซึมเข้าสู่ความฝันของมนุษย์ไปเรียบร้อยแล้ว
ชีวิตในฐานะสินค้าโภคภัณฑ์
ในปี 1848 คาร์ล มาร์กซ์ และฟรีดริช เองเกิลส์ เคยกล่าวว่า ชนชั้นนายทุนเปรียบเสมือน “พ่อมดที่ไม่อาจควบคุมพลังแห่งโลกมืดที่ตนเองปลุกขึ้นมาด้วยเวทมนตร์ได้อีกต่อไป”⁶ มาจนถึงวันนี้ ใกล้สองร้อยปีให้หลัง บรรษัทยุคใหม่ได้สะสมและใช้พลังแห่งการล่อลวงและการสร้างมายาคติอย่างที่มาร์กซ์และเองเกิลส์แทบจะจินตนาการไม่ถึง
สังคมจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ กำลังถูกเปลี่ยนให้กลายเป็นสินค้า—กล่าวคือ สิ่งของที่สามารถซื้อขายได้ แต่ตัวรูปแบบของบรรษัทเองไม่ใช่ปัญหาโดยตรง เพราะบรรษัทก็เป็นเพียงสิ่งที่กฎหมายสร้างขึ้นเพื่อจำกัดความรับผิดชอบของบุคคลเท่านั้น ปัญหาหลักจริง ๆ คือการสะสมความมั่งคั่งและอำนาจที่โครงสร้างของบรรษัทเอื้อให้เจ้าของเอกชนจำนวนเพียงไม่กี่รายสามารถครอบครองได้ และเมื่อเวลาผ่านไป บรรษัทแสวงหากำไรก็ได้แผ่ขยายพื้นที่ทางสังคมมากขึ้นเรื่อย ๆ หนวดของมันยื่นลึกเข้าไปในระบบการเมือง เศรษฐกิจ ชีวิตประจำวัน และ—ที่อันตรายที่สุด—ในวัฒนธรรมและความคิดของเรา
การเมือง ทุกวันนี้มักมีการกล่าวว่า ประชาธิปไตยของสหรัฐฯ กำลังอยู่ในภาวะวิกฤต⁷ ซึ่งก็เป็นความจริงที่ว่าคลื่นแห่งอำนาจนิยมที่เพิ่มสูงขึ้นกำลังคุกคามสิทธิเสรีภาพและสถาบันประชาธิปไตยอย่างรัฐสภา แต่แม้ในสถานการณ์ที่ไม่มีเผด็จการเปิดเผย รัฐบาลสหรัฐฯ ก็แทบจะไม่ใช่ประชาธิปไตยอีกต่อไป หากแต่กลายเป็น ระบอบอภิชนาธิปไตย ที่ปกครองโดยคนมั่งมีเพียงหยิบมือ นี่คือสิ่งที่เรียกว่า ลัทธิเสรีนิยมใหม่ ซึ่งอธิบายได้ดีที่สุดว่าเป็นระบบการเมืองที่รัฐทำหน้าที่ส่งเสริมการกระจุกตัวของความมั่งคั่งในหมู่ชนชั้นนำผ่านนโยบายด้านภาษี การใช้จ่าย และกฎระเบียบ⁸
ในปี 2014 นักรัฐศาสตร์ เบนจามิน เพจ และมาร์ติน กิลเลนส์ เผยแพร่งานวิจัยที่ตั้งคำถามเรียบง่ายว่า: นโยบายต่าง ๆ สะท้อนความต้องการของกลุ่มชนชั้นนำ หรือของประชาชนโดยรวมกันแน่? คำตอบเชิงประจักษ์ของพวกเขาชัดเจน: “ผลประโยชน์ทางธุรกิจมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายของรัฐบาลสหรัฐฯ อย่างมีนัยสำคัญ ในขณะที่ประชาชนทั่วไปและกลุ่มผลประโยชน์ในระดับมหาชนแทบไม่มีอิทธิพลใด ๆ เลย”⁹
ก่อนหน้านั้นหลายทศวรรษ นักรัฐศาสตร์อีกคนหนึ่ง โธมัส เฟอร์กูสัน ก็ได้ข้อสรุปใกล้เคียงกัน โดยเสนอทฤษฎีที่เขาเรียกว่า ทฤษฎีการเมืองในฐานะการลงทุน (investment theory of politics) ข้อค้นพบหลักของเขาคือ พรรคเดโมแครตและรีพับลิกันในสหรัฐฯ ควรถูกมองว่าเป็น “กลุ่มนักลงทุนรายใหญ่ที่รวมตัวกันเพื่อผลักดันผู้สมัครที่เป็นตัวแทนของผลประโยชน์ตนเอง”¹⁰
ย้อนกลับไปไกลกว่านั้น ในปี 1977 ชาร์ลส์ ลินด์บลอม อดีตประธานสมาคมรัฐศาสตร์แห่งสหรัฐฯ ได้เขียนหนังสือ Politics and Markets: The World’s Political-Economic Systems ซึ่งเสนอว่า ภายใต้ระบบทุนนิยม ภาคธุรกิจอยู่ใน “สถานะพิเศษ” ที่เปิดโอกาสให้ชนชั้นนำทางธุรกิจมีอิทธิพลต่อการกำหนดนโยบายอย่างไม่สมส่วน¹¹ ลินด์บลอมเขียนสิ่งนี้ไว้มากกว่า 30 ปีก่อนที่ศาลสูงสุดสหรัฐฯ จะมีคำตัดสินในคดี Citizens United ซึ่งยกเลิกข้อจำกัดหลายประการเกี่ยวกับการใช้เงินของบรรษัทในการเมือง¹²
ประเด็นของลินด์บลอมก็คือ แม้ไม่ต้องใช้เงินแม้แต่สตางค์เดียว บรรษัทก็สามารถโน้มเอียงกระแสการเมืองไปในทางที่ตนต้องการได้ ด้วยอำนาจทางเศรษฐกิจที่มีอยู่เพียงลำพัง
เศรษฐกิจและชีวิตประจำวัน
รายงานวิจัยในปี 2021 ของ McKinsey Global Institute พบว่า โดยรวมแล้ว “ภาคธุรกิจมีส่วนร่วมคิดเป็น 72% ของ GDP (ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ) ทั่วโลก” และยังพบอีกว่า “บรรษัทที่มีรายได้เกิน 1 พันล้านดอลลาร์… ได้เพิ่มมูลค่าเพิ่มทั่วโลกขึ้น 60% เมื่อเทียบกับ GDP ของประเทศต้นทางของตนเองนับตั้งแต่ปี 1995”¹³ กล่าวอีกนัยหนึ่งคือ GDP ของบรรษัทเติบโตเร็วกว่าเศรษฐกิจโดยรวมอย่างชัดเจน ข้อมูลในภาพรวมยังแสดงให้เห็นว่าความมั่งคั่งของบรรษัทกำลังถูกกระจุกตัวอยู่ในมือของคนจำนวนน้อยลงเรื่อย ๆ
งานวิจัยระยะยาวเกี่ยวกับการกระจุกตัวของบรรษัทในสหรัฐฯ ระหว่างปี 1918 ถึง 2018 โดยนักเศรษฐศาสตร์สามคน (เผยแพร่ในปี 2023 โดยมหาวิทยาลัยชิคาโก) พบว่า “นับตั้งแต่ช่วงต้นทศวรรษ 1930 สัดส่วนทรัพย์สินของบรรษัทในกลุ่ม 1% แรก และ 0.1% แรก ได้เพิ่มขึ้น 27 จุดเปอร์เซ็นต์ (จาก 70% เป็น 97%) และ 40 จุดเปอร์เซ็นต์ (จาก 47% เป็น 88%) ตามลำดับ”¹⁴ กล่าวคือ ในปัจจุบัน บรรษัทเพียง 1 ใน 1,000 แห่งในสหรัฐฯ ครอบครองเกือบ 90% ของมูลค่าทางเศรษฐกิจสุทธิรวมของทุกบรรษัทในประเทศ
ยิ่งไปกว่านั้น อิทธิพลของบรรษัทในชีวิตประจำวันยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากภาคเศรษฐกิจหลายส่วนที่เคยอยู่นอกอำนาจของบรรษัท กลับถูกดูดกลืนเข้าไปอยู่ภายใน ตัวอย่างที่น่าเศร้าอย่างยิ่งคือรูปแบบการเลี้ยงดูเด็ก เวลาที่เด็กเคยใช้ไปกับการเล่นอย่างอิสระลดลง ขณะที่เวลาที่ใช้ในกิจกรรมที่ออกแบบโดยแพลตฟอร์มโซเชียลมีเดียของบรรษัทกลับเพิ่มขึ้น
แบบสำรวจในสหราชอาณาจักรปี 2016 พบว่า เวลาในการเล่นของเด็กต่อสัปดาห์ลดลงจาก 8.2 ชั่วโมงในรุ่นพ่อแม่เหลือเพียงราว 4 ชั่วโมงเท่านั้น ข้อมูลในสหรัฐฯ ก็สะท้อนแนวโน้มเดียวกัน¹⁵ ขณะเดียวกัน ผลสำรวจในปี 2021 โดยองค์กรไม่แสวงหากำไร Common Sense Media ของสหรัฐฯ พบว่า เด็กใช้เวลากับหน้าจอเฉลี่ย 5 ชั่วโมง 33 นาทีต่อวัน—เพิ่มขึ้น 49 นาทีจากเพียงสองปีก่อนหน้า¹⁶
แม้การพิสูจน์ความสัมพันธ์เชิงเหตุผลอย่างตรงไปตรงมาจะซับซ้อน แต่แนวโน้มทั้งสองก็แสดงถึงความเชื่อมโยงกัน¹⁷ และในบริบทของประเด็นนี้คือ สิ่งที่เคยเป็นการเล่นกลางแจ้งของเด็กซึ่งอยู่นอกขอบเขตของบรรษัท บัดนี้กลับถูกแทนที่ด้วยการบริโภคผลิตภัณฑ์และบริการจากบรรษัทข้ามชาติผ่านแอปพลิเคชันมือถือแทบทั้งหมด
วัฒนธรรมและความคิด
อำนาจของบรรษัทได้รุกรานเข้าไปถึงความคิดและความฝันของเรา ตัวอย่างหนึ่งคือวลี “ความฝันแบบอเมริกัน” (the American dream) ที่ทุกวันนี้มักถูกนิยามในลักษณะที่เน้นการแสวงหาความมั่งคั่งส่วนบุคคล ซึ่งเป็นความหมายที่กลับหัวกับต้นฉบับอย่างน่าขัน เพราะเจมส์ ทรัสโลว์ อดัมส์ ผู้ที่ได้รับเครดิตว่าเป็นผู้บัญญัติวลีนี้ในปี 1931 แท้จริงแล้วหมายถึง “ความเป็นอยู่ที่ดีซึ่งเป็นของส่วนรวมและต้องอาศัยการพึ่งพากันและกัน”¹⁸
ซาราห์ เชิร์ชเวลล์ ศาสตราจารย์ด้านวรรณคดีอเมริกัน เขียนว่า อดัมส์สร้างแนวคิด “ความฝันแบบอเมริกัน” ขึ้นมาในฐานะคำวิพากษ์ต่อประเทศที่ในทัศนะของเขา ในช่วงทศวรรษ 1920 ได้ “หลงทางไปแล้ว เพราะยกย่องความสำเร็จทางวัตถุเหนือคุณค่าอื่นใดทั้งหมด”¹⁹ เชิร์ชเวลล์ยังเสริมว่า “คำว่า American dream แทบไม่เคยถูกใช้เพื่ออธิบายแนวคิดที่คุ้นเคยเกี่ยวกับการไต่เต้าทางสังคของปัจเจกบุคคลแบบที่ได้รับแรงบันดาลใจจากฮอเรชิโอ แอลเจอร์ จนกระทั่งหลังสงครามโลกครั้งที่สอง”²⁰
อย่างไรก็ตาม ดังที่อลิสสา ควอร์ต แสดงให้เห็นในหนังสือ Bootstrapped: Liberating Ourselves from the American Dream แนวคิดที่ว่าความสำเร็จต้องวัดจากฐานะทางเศรษฐกิจ และขึ้นอยู่กับความพยายามส่วนตัวเพียงลำพัง ได้ฝังแน่นในสังคมอเมริกันอย่างลึกซึ้ง และผลที่ตามมาคือ ความรู้สึกหมดแรงทางการเมือง ควอร์ตเขียนว่า “ลัทธิปัจเจกนิยม” ได้นำไปสู่ “ความรู้สึกค้างคาใจว่า ความล้มเหลวเป็นความผิดของเราเองโดยลำพัง” และตำนานนี้ยัง “ผลักความรับผิดชอบเรื่องความเหลื่อมล้ำมาไว้ที่ตัวเรา ขณะที่ระบบที่มีปัญหากลับลอยตัวรอดพ้นจากการถูกตั้งคำถาม”²¹
แล้วองค์กรไม่แสวงหากำไรล่ะ?
จริยธรรมแบบปัจเจกนิยมที่ควอร์ตกล่าวถึง ยังส่งผลกระทบมาถึงภาคองค์กรไม่แสวงหากำไร และแม้กระทั่งขบวนการเคลื่อนไหวทางสังคมที่มุ่งสร้างความเป็นธรรมทางเศรษฐกิจด้วยเช่นกัน ประการแรก ตามที่ควอร์ตอธิบายไว้ การเน้นย้ำเรื่อง “การพึ่งตนเอง” ทำให้เกิดการบ่อนทำลายการสนับสนุนต่อการจัดสวัสดิการสาธารณะโดยรัฐ ซึ่งส่งผลให้เกิดสิ่งที่ควอร์ตเรียกว่า “ตาข่ายรองรับทางสังคมแบบดิสโทเปีย” ที่องค์กรไม่แสวงหากำไรจำนวนมากต้องทำหน้าที่ประกอบร่าง “โปรแกรมที่พึ่งตนเองเย็บติดกันแบบชั่วคราว—สิ่งที่ไม่ควรมีอยู่แต่ก็มี เพราะเราต้องพึ่งตัวเอง”²²
ตั้งแต่ทศวรรษ 1960 บทบาทของภาคองค์กรไม่แสวงหากำไรคือการพยายามเติมเต็มช่องว่างที่เกิดจากนโยบายรัดเข็มขัดและการลดบทบาทของรัฐสวัสดิการผ่านการแปรรูป ผลลัพธ์ของการขยายตัวนี้คือ องค์กรไม่แสวงหากำไรก็ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันแบบเดียวกันกับที่รัฐสวัสดิการเผชิญภายใต้ลัทธิเสรีนิยมใหม่²³ เมื่อองค์กรเหล่านี้พยายามแก้ไขปัญหาสังคม พวกเขาจำเป็นต้องแสวงหาทุนสนับสนุนจากทั้งภาครัฐและแหล่งเงินทุนเอกชน เช่น มูลนิธิการกุศล หรือบางครั้งก็รวมถึงบรรษัทด้วย ซึ่งหมายความว่า วาระความก้าวหน้าทางสังคมหลายประการต้องพึ่งพาแหล่งทุนที่ท้ายที่สุดแล้วมีผลประโยชน์ผูกพันกับการคงไว้ซึ่งแรงจูงใจในการแสวงหากำไร
ในการให้สัมภาษณ์กับ Jacobin เมลิสซา แนชเช็ก สรุปความจริงของการที่องค์กรไม่แสวงหากำไรตกอยู่ภายใต้การครอบงำของบรรษัทไว้อย่างชัดเจนว่า:
“สิ่งนี้ทำให้องค์กรไม่แสวงหากำไรติดกับในความขัดแย้งที่เลี่ยงไม่พ้น—ในทางการเมือง พวกเขาต้องพึ่งพาชนชั้นเดียวกันกับที่กักเก็บทรัพยากรซึ่งจำเป็นต่อการขยายงบประมาณสังคม”²⁴
ยิ่งไปกว่านั้น ตามที่ควอร์ตชี้ให้เห็น ไม่เพียงแต่ความล้มเหลวเท่านั้นที่ถูกมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว แต่แม้แต่ “ความสำเร็จ” ก็ยังถูกมองว่าเกิดจากความสามารถเฉพาะตัวเช่นกัน²⁵ สิ่งนี้ส่งเสริมแนวคิดแบบฮีโร่ว่าผู้นำต้องเป็นบุคคลเดี่ยวที่อยู่บนยอดพีระมิดขององค์กร
คณาจารย์ด้านกฎหมายและนักเคลื่อนไหว ดีน สเปด ตั้งข้อสังเกตว่า นักศึกษาของเขาหลายคนมักอยากเป็น “ผู้อำนวยการองค์กรไม่แสวงหากำไร” ทั้งที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตนอยากทำอะไร “โครงสร้างมาก่อนเนื้อหา” สเปดกล่าว “นั่นน่ากังวล—มันส่งผลต่อจินตนาการ”²⁶
กล่าวโดยสรุป วงการจัดการองค์กรไม่แสวงหากำไรได้ถูกบั่นทอนอย่างลึกซึ้งจากการครอบงำของบรรษัท ซึ่งไม่ได้กระทบแค่ตัวองค์กรเท่านั้น แต่ยังรวมถึงขบวนการเคลื่อนไหวเพื่อปลดปล่อยในปัจจุบันด้วย
เมาริซ มิตเชลล์ แห่งพรรค Working Families Party เคยเขียนอย่างทรงพลังไว้ในบทความปี 2022 ว่า ขบวนการเคลื่อนไหวกำลังเผชิญ “หยินและหยาง” ระหว่างแนวคิดปัจเจกนิยมที่เกินจริงซึ่งทำให้การจัดการมีประสิทธิภาพเป็นไปได้ยาก กับแนวคิดการบริหารจัดการแบบรวมหมู่ที่เกินจริงซึ่งทำให้องค์กรยากจะเคลื่อนไหวได้อย่างมีพลัง²⁷
หนึ่งปีต่อมา นิโคล ไวร์ส ผู้อำนวยการเครือข่าย Nonprofit Democracy Network ซึ่งทำงานในด้านเศรษฐกิจแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ก็ได้สังเกตเห็นพลวัตแบบเดียวกัน โดยชี้ว่า ขั้นตอนแรกที่นักเคลื่อนไหวพยายามก้าวออกจากโมเดลการจัดการแบบบรรษัท มักนำไปสู่สิ่งที่เธอเรียกว่า “ทางออกตรงข้าม” หรือ counter-solutions ซึ่งหมายถึง “ทางออกที่เรียบง่ายเกินไปและเป็นภาพสะท้อนกลับของปัญหาตรงหน้า”²⁸ ไวร์สเสริมว่า หากขบวนการเคลื่อนไหวไม่สามารถก้าวข้ามสองขั้วตรงข้ามนี้ได้ พวกเขาอาจติดอยู่ในวังวนที่ทำลายเป้าหมายแห่งการปลดปล่อยของตนเองในที่สุด
ค้นหาทางออก
หากเป้าหมายคือการปลดปล่อยจากเครือข่ายของอำนาจบรรษัท การหาทางออกจากการครอบงำของบรรษัทจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง แม้จะไม่ใช่ภารกิจง่าย แต่ทั้งขบวนการเคลื่อนไหวและองค์กรไม่แสวงหากำไรทั่วสหรัฐฯ กำลังทุ่มเทจินตนาการไปสู่โลกที่อยู่ “พ้นไปจากนี้” ผลลัพธ์ปรากฏให้เห็นในการริเริ่มที่เพิ่มขึ้นเพื่อเสริมพลังให้กับแรงงาน ออกแบบการบริหารและความเป็นผู้นำที่เป็นประชาธิปไตยและมีประสิทธิภาพ และสร้างเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนคุณค่าของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
การเสริมพลังให้แรงงาน : เอริกา สไมลีย์ จากองค์กร Jobs with Justice กล่าวในปี 2023 ว่า ได้เกิด “การตื่นรู้ครั้งใหญ่” ซึ่ง “สิ่งที่เราเคยคิดว่าเป็นไปไม่ได้ กลับกลายเป็นจริงในชั่วข้ามคืน เมื่อแรงงานแสดงให้เราเห็นว่าพวกเขาสามารถถือบรรษัทข้ามชาติให้รับผิดชอบได้อย่างมีพลัง”²⁹ คลื่นการเคลื่อนไหวนี้ส่งผลกระทบอย่างสำคัญ ตัวอย่างเช่น ในเดือนกุมภาพันธ์ 2024 หลังจากต่อต้านการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงานมานานกว่าสองปี ผู้บริหาร Starbucks ยอมรับที่จะเจรจาข้อตกลงระดับชาติร่วมกับสหภาพแรงงาน เพื่อกำหนดค่าจ้างและเงื่อนไขการทำงานให้กับแรงงานประมาณ 10,000 คน ใน 400 สาขาทั่วประเทศ³⁰
ในระดับที่กว้างขึ้น แนวคิดที่ว่าบรรษัทเป็นต้นเหตุของความเหลื่อมล้ำขนาดมหาศาลเริ่มเป็นที่ยอมรับ และได้เริ่มเปลี่ยนทิศทางของขบวนการเคลื่อนไหวที่ก่อนหน้านี้เผชิญภาวะถดถอยและความพ่ายแพ้ เราอาจมองเห็นพลวัตนี้ได้ชัดจากการกลับมาอย่างแข็งแกร่งของสหภาพแรงงาน United Auto Workers (UAW) ซึ่งตั้งขึ้นในปี 1935 และเคยเป็นแนวหน้าของนโยบายและโครงการก้าวหน้าที่ช่วยให้คนอเมริกันชนชั้นแรงงานหลายล้านคนเข้าถึงผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล ในปี 1945–1946 สหภาพเคยจัดการนัดหยุดงานครั้งประวัติศาสตร์นาน 113 วันกับ General Motors ซึ่งนับเป็นการนัดหยุดงานที่ยาวนานที่สุดกับผู้ผลิตรายใหญ่รายใดในประวัติศาสตร์³¹
แต่ในยุคของประธานาธิบดีเรแกน สหภาพแรงงานนี้ก็ต้องยอมลงนามในสัญญาที่เต็มไปด้วยการยอมลดเงื่อนไข (concessionary contracts) อันเป็นผลจากการโจมตีสหภาพอย่างรุนแรงและผลพวงจากการล้มละลายของบริษัท Chrysler ในปี 1979 ขณะเดียวกัน การผลิตก็เริ่มย้ายฐานออกนอกประเทศ รูปแบบของการยอมจำนนนี้ดำเนินต่อเนื่องมาหลายทศวรรษ จนกระทั่งในปี 2023 กลุ่มประชาธิปไตยภายในสหภาพแรงงาน United Auto Workers ได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจ และจุดประกายความเป็นขบวนการหัวก้าวหน้าอีกครั้ง โดยระดมพลังของสมาชิกระดับรากหญ้าให้กลับมามีบทบาทในการเลือกผู้นำที่สามารถชี้ชัดว่า ศัตรูตัวจริงที่อยู่เบื้องหลังข้อตกลงอันเลวร้ายคือบรรษัทมหาเศรษฐีมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์³²
ในเดือนกันยายน 2023 สหภาพแรงงานได้รำลึกถึงประวัติศาสตร์ของตนด้วยการจัด “การนัดหยุดงานแบบสแตนด์อัพ” (stand-up strike) โดยเล็งเป้าไปที่ผู้ผลิตรถยนต์รายใหญ่ทั้งสามของสหรัฐฯ พร้อมกัน³³ ภายใต้การนำของประธานคนใหม่ที่มาจากการเลือกตั้ง ฌอน เฟน สหภาพสามารถทำสิ่งนี้ได้ ไม่เพียงแค่คืนอำนาจให้กับสมาชิก แต่ยังนำการเมืองเรื่องชนชั้นกลับมาเป็นศูนย์กลางของการถกเถียงเกี่ยวกับความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ สองวันก่อนเริ่มการนัดหยุดงาน เฟนกล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่า “ผู้คนกล่าวหาว่าเราก่อสงครามชนชั้น ความจริงคือ สงครามชนชั้นได้ดำเนินมาแล้วในประเทศนี้ตลอด 40 ปีที่ผ่านมา ชนชั้นมหาเศรษฐีเอาทุกอย่างไปหมด แล้วปล่อยให้คนอื่นต้องแย่งเศษอาหารกันเอง”³⁴
ด้วยการย้ำข้อความอย่างไม่ลดละว่า บรรษัทต้องรับผิดชอบต่อความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจในประเทศนี้ และการปลุกพลังสมาชิกให้ลุกขึ้นมาต่อสู้กับเศรษฐกิจที่ถูกออกแบบให้เอื้อบรรษัทผ่านการนัดหยุดงานเชิงกลยุทธ์ สหภาพ UAW ไม่เพียงแต่ชนะสัญญาประวัติศาสตร์ให้กับสมาชิกของตนเท่านั้น แต่ยังได้กลับมามีบทบาททางการเมืองอย่างทรงพลังอีกครั้ง นับแต่นั้น พวกเขาเริ่มจัดตั้งแรงงานในโรงงานรถยนต์ที่ยังไม่มีสหภาพในรัฐทางใต้ สนับสนุนมาตรการเชิงนิเวศ-สังคมในการผลิตรถยนต์ไฟฟ้า และออกแถลงการณ์เรียกร้องให้มีการหยุดยิงในสงครามกาซาที่กำลังดำเนินอยู่³⁵
การจินตนาการถึงรูปแบบความเป็นผู้นำใหม่ : ก่อนหน้านี้ เราได้กล่าวถึงข้อถกเถียงเกี่ยวกับอิทธิพลของบรรษัทตามที่ไวร์สและมิตเชลล์ได้ชี้ไว้ โชคดีที่ทั้งสองยังเสนอแนวทางแก้ไขซึ่งเกี่ยวข้องกับการพัฒนารูปแบบความเป็นผู้นำใหม่ มิตเชลล์เรียกร้องให้เกิดภาวะผู้นำที่ตั้งอยู่บน “ธรรมาภิบาลที่มีความรับผิดชอบต่อขบวนการ”³⁶ ซึ่งเป็นการเดินสายกลางระหว่างโมเดลการบริหารแบบสั่งการของบรรษัท กับการปฏิเสธภาวะผู้นำอย่างสิ้นเชิงที่เขาเรียกว่า “ต่อต้านผู้นำ” (anti-leadership)³⁷
ไวร์สเรียกกระบวนการนี้ว่า “การเติบโตจากปฏิกิริยาไปสู่วิสัยทัศน์”³⁸ เธอเชื่อว่า จากกระบวนการของทางออกและทางออกแบบปฏิกิริยา (counter-solutions) ในกรณีที่ดีที่สุด จะเกิดกระบวนการสังเคราะห์ขึ้นได้ “เมื่อเราพยายามเปลี่ยนแปลงระบบ แล้วเห็นระบบเหล่านั้นกลับมาเกิดซ้ำในทางเลือกของเราเอง เราจะได้เรียนรู้มากขึ้นว่า ทุนนิยมและอุดมการณ์ของมันฝังอยู่ภายในและรายรอบตัวเราอย่างไร และเราต้องทำอะไรจึงจะสามารถเปลี่ยนแปลงมันได้”³⁹
สำหรับมิตเชลล์ สิ่งหนึ่งที่จำเป็นในการหาจุดกึ่งกลางนี้ คือขบวนการเคลื่อนไหวต้องเลิกกลัวการรวมตัวเป็นสหภาพแรงงาน เพราะหลายครั้ง สหภาพถูกมองว่าเป็นสัญญาณของความล้มเหลวในการบริหาร และเป็นสิ่งที่ควรต่อต้าน แทนที่จะมองว่าเป็นสัญญาณของแรงงานที่มีอำนาจ⁴⁰ ดังที่มิตเชลล์เขียนไว้…
ผู้จัดการควรสนับสนุนและยอมรับการรวมตัวของแรงงานในองค์กรเคลื่อนไหวในฐานะที่เป็นการสะท้อนคุณค่าของเรา…
ข้อตกลงแรงงานร่วม (collective bargaining agreements) สามารถเพิ่มความชัดเจน ส่งเสริมความเป็นธรรม สร้างความรับผิดชอบ และจัดให้มีภาษาร่วมที่ใช้ในองค์กรได้ ที่สำคัญที่สุด ความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแรงงานกับฝ่ายจัดการสามารถเป็นสะพานเชื่อมช่องว่าง และกลายเป็นทรัพยากรที่ต่อเนื่องสำหรับทั้งผู้จัดการและสมาชิกทีมในการขับเคลื่อนเป้าหมายร่วมกัน⁴¹
มิตเชลล์ยังเน้นว่า เราจำเป็นต้องแทนที่เศรษฐกิจที่ถูกครอบงำโดยบรรษัท ด้วยเศรษฐกิจที่ตั้งอยู่บนคุณค่าของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน
เขาเคยกล่าวไว้ว่า “เราทุ่มเวลาคิดเรื่องการสร้างรายได้แบบไม่เบียดเบียน การเป็นเจ้าของเครื่องมือการผลิต การเป็นเจ้าของเครื่องมือทางการเมือง และการสร้างเศรษฐกิจที่สามารถรองรับองค์กรภาคประชาชน ไว้น้อยเกินไป เราจำเป็นต้องทำให้องค์กรของเราส่งมอบผลประโยชน์ที่แท้จริง เป็นรูปธรรม แก่ผู้คนที่เรารับใช้ และทำให้ฐานมวลชนจำนวนมากสามารถเป็นเจ้าของและมีบทบาทกำกับทิศทางองค์กรเหล่านี้ได้”⁴²
คุณค่าของความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ในขณะเดียวกัน เศรษฐกิจแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน (solidarity economy)—ซึ่งเป็นขบวนการที่มุ่งทำให้ชุมชนเป็นเจ้าของเศรษฐกิจในชีวิตประจำวันได้จริง—ก็ยังคงขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ขบวนการนี้มีหลายแง่มุม หนึ่งในนั้นคือความพยายามที่เกิดขึ้นทั้งในภาคองค์กรไม่แสวงหากำไรและนอกเหนือจากนั้น เพื่อรับเอากรอบคิดแบบเศรษฐกิจแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันมาใช้⁴³
กลุ่มผู้นำเศรษฐกิจแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันกลุ่มหนึ่งเขียนไว้เมื่อปีที่แล้วว่า องค์กรไม่แสวงหากำไรจำนวนเพิ่มขึ้น—ได้กลายเป็น “องค์กรเคลื่อนไหว” (movement organizations) ซึ่งหมายถึงว่า พวกเขา “กำลังเดินหน้าไปสู่การเปลี่ยนแปลงเชิงระบบที่มุ่งให้เราก้าวพ้นจากทุนนิยม และได้ยึดเอาเศรษฐกิจแห่งความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันเป็นดาวเหนือชี้ทาง”⁴⁴
พวกเขาเสริมอีกว่า องค์กรทั้งสามที่พวกเขามีบทบาทนำ ถือเป็น “ภาพย่อส่วนของการเปลี่ยนแปลงที่กำลังเกิดขึ้นในองค์กรเคลื่อนไหวหลายร้อยแห่งทั่วประเทศ”⁴⁵ นอกจากนี้ สหกรณ์แรงงาน (worker cooperatives) ซึ่งเคยถูกมองว่าเป็นเรื่องชายขอบในโลกนโยบายสาธารณะ ก็สามารถคว้าชัยชนะทางกฎหมายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปี 2018 ทั้งในระดับรัฐและระดับรัฐบาลกลาง⁴⁶
นี่คือจุดจบของโลกแบบที่เรารู้จักกัน
กล่าวโดยสรุป สหภาพแรงงาน ขบวนการเคลื่อนไหว และองค์กรไม่แสวงหากำไรสามารถสร้างการเปลี่ยนแปลงทางการเมืองที่แท้จริงได้ เมื่อพวกเขาเปลี่ยนแปลงตนเองให้สอดคล้องกับคุณค่าและวิสัยทัศน์ของโลกที่พวกเขาอยากเห็น โลกที่หลุดพ้นจากการครอบงำของบรรษัทจะมีรูปร่างหน้าตาแตกต่างจากโลกที่เราอาศัยอยู่ทุกวันนี้โดยสิ้นเชิง—และนั่นคือเหตุผลว่าทำไมเราจึงต้องจินตนาการถึงโลกทางเลือกนี้อยู่เสมอ เพื่อทำให้มันกลายเป็นความจริง
โลกแบบนั้นจะหน้าตาเป็นอย่างไร? มีคำพูดที่ถูกหยิบยกซ้ำ ๆ ว่า “เราจินตนาการถึงจุดจบของโลกได้ง่ายกว่าจุดจบของทุนนิยม”⁴⁷ —และนั่นคือเหตุผลที่เราจำเป็นต้องกล้า “จดจำอนาคต”⁴⁸ ดังที่กลุ่ม Art.coop กล่าวไว้ และกล้าคิดกล้าฝันถึงโลกอีกใบที่แตกต่างจากเดิม
แม้บางแง่มุมของวิสัยทัศน์นี้ยังต้องพัฒนา แต่เราสามารถร่างโครงบางประการได้:
ในโลกอนาคตนี้ ประชาธิปไตยของแรงงาน การเป็นเจ้าของร่วมของชุมชน และการยกระดับคุณภาพชีวิตโดยรวมจะเป็นแกนกลางของเศรษฐกิจ อุตสาหกรรมน้ำมันและก๊าซจะไม่ทำลายโลก ไม่ทำให้ผู้คนนับล้านต้องพลัดถิ่นหรือเสี่ยงชีวิต เพราะเชื้อเพลิงฟอสซิลจะถูกแบน การผลิตพลังงานหมุนเวียนจะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล และสุขภาวะสิ่งแวดล้อมจะได้รับการฟื้นฟู
ไม่มีใครต้องอพยพข้ามโลกเพื่อทำงานบ้านค่าจ้างต่ำ เพราะเศรษฐกิจท้องถิ่นของพวกเขาจะไม่ถูกทำลายจากบริษัทที่จับปลาเกินขนาดในมหาสมุทรของพวกเขา ผู้คนจะสามารถเดินทางด้วยเครื่องบินได้อย่างมั่นใจ ว่าผู้สร้างและผู้ขับเครื่องบินได้รับค่าตอบแทนที่เป็นธรรม และได้รับแรงสนับสนุนให้ทำให้การเดินทางทางอากาศปลอดภัยสำหรับทุกคน เครื่องบินส่วนตัวและเรือยอชต์จะกลายเป็นเพียงซากอดีต การเดินทางจะเป็นสิ่งที่ทุกคนเข้าถึงได้ ทั้งราคาถูกและปล่อยมลพิษต่ำ
ผู้ก่อสร้างบ้านจะไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนเพื่อมีบ้านของตัวเอง เพราะบริษัทเงินทุนเอกชนจะไม่ได้ผูกขาดตลาดที่อยู่อาศัยอีกต่อไป บ้านจะถูกจัดหาโดยการเป็นเจ้าของร่วมของรัฐและชุมชน และมีราคาที่ใช้เพียงส่วนเล็ก ๆ ของรายได้ต่อเดือน บ้านเดี่ยวจะถูกปรับปรุงให้ยั่งยืน คนงานเกษตรที่เพาะปลูกอาหารจะมีสิทธิ์กำหนดว่าจะปลูกอะไร โดยให้ความสำคัญกับความยั่งยืนทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาวะของชุมชน ไม่ใช่กำไรของบรรษัทเกษตรอุตสาหกรรม
เด็กนับล้านจะสามารถเข้าเรียนในโรงเรียนของรัฐที่ได้รับทุนสนับสนุนอย่างดี ครูและเจ้าหน้าที่จะมีจำนวนเพียงพอ ได้รับค่าตอบแทนที่เหมาะสม เพื่อช่วยให้เด็ก ๆ ได้เรียนรู้และเติบโต เพราะการศึกษาสาธารณะจะไม่ถูกทำให้แร้นแค้นเพื่อเอื้อโรงเรียนเอกชนและเช่าเหมาลำ ผู้สูงวัยนับล้านจะมีชีวิตบั้นปลายอย่างมีศักดิ์ศรีในสถานที่ที่สะอาดและสะดวกสบาย และผู้ดูแลของพวกเขาก็จะได้รับค่าตอบแทนอย่างเป็นธรรม พร้อมภาระงานที่ยั่งยืน
เราสามารถบรรยายต่อไปได้อีกมาก เพราะการสร้างโลกที่พ้นจากการครอบงำของบรรษัท หมายถึงการเปลี่ยนแปลงทุกมิติของเศรษฐกิจที่ปัจจุบันถูกควบคุมโดยแรงขับแห่งกำไรของบรรษัท—และนั่นหมายความว่า โลกแบบใหม่นี้อยู่ทุกที่ อยู่ต่อหน้าเราอย่างชัดแจ้ง
เส้นทางสู่การเปลี่ยนผ่านจากระเบียบเดิม จะต้องโรยทางด้วยความมุ่งมั่นกล้าหาญต่อโมเดลประชาธิปไตยและการกระจายอำนาจในทุกระดับของภาคประชาสังคม ความพยายามนี้ได้เริ่มขึ้นแล้ว การทำความเข้าใจรูปร่างและแนวโน้มของการต่อสู้เหล่านี้คือหนทางที่ดีที่สุดในการรักษาเส้นทางหลบหนีของเราไว้ในสายตา
ขออุทิศบทความนี้ให้กับองค์กรต่าง ๆ ที่ได้เริ่มต้นลงมือสร้างโลกแบบใหม่นี้แล้ว—และต่อคลื่นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่อาจมาถึงพร้อมกับยุคใหม่แห่งการต่อสู้กับอำนาจบรรษัท และเพื่อเสรีภาพร่วมกันของเรา
Notes
- Freddy Brewster, “The Hole In Boeing’s Inspection Program,” The Lever, February 7, 2024, www. levernews.com/the-hole-in-boeings-inspection-program/; Ian Duncan, Michael Laris, and Lori Aratani, “Boeing 737 Max crashes were ‘horrific culmination’ of errors, investigators say,” Washington Post, September 16, 2020, http://www.washingtonpost.com/local/trafficandcommuting/boeing-737-max-crashes-were-horrific-culmination-of-errors-investigators-say/2020/09/16/72e5d226-f761-11ea-89e3-4b9efa36dc64_story.html; and Aaron C. Davis and Marina Lopes, “How the FAA allows jetmakers to ‘self certify’ that planes meet U.S. safety requirements,” Washington Post, March 15, 2019, http://www.washingtonpost.com/investigations/how-the-faa-allows-jetmakers-to-self-certify-that-planes-meet-us-safety-requirements/2019/03/15/96d24d4a-46e6-11e9-90f0-0ccfeec87a61_story.html.
- Peter Whoriskey, “Rising painkiller addiction shows damage from drugmakers’ role in shaping medical opinion,” Washington Post, December 30, 2012, http://www.washingtonpost.com/business/economy/2012/12/30/014205a6-4bc3-11e2-b709-667035ff9029_story.html. See also “Understanding the Opioid Overdose Epidemic,” Centers for U.S. Disease Control and Prevention, April 5, 2024, http://www.cdc.gov/ overdose-prevention/about/understanding-the-opioid-overdose-epidemic.html.
- Jon Gambrell, “Analysis: At COP28, Sultan al-Jaber got what the UAE wanted. Others leave it wanting much more,” Associated Press, last modified December 13, 2023, apnews.com/article/cop28-uae-dubai-sultan-al-jaber-analysis-0ca576d33e2ad361e49f51f6fee99d8d.
- George J. Stigler, “The Theory of Economic Regulation,” Bell Journal of Economics and Management Science 2, no. 1 (Spring 1971): 3–21; and Sam Peltzman, The Economic Theory of Regulation after a Decade of Deregulation (Washington, DC: Brookings Institution, Brookings Papers on Economic Activity, 1989).
- Philip K. Dick, Do Androids Dream of Electric Sheep? (New York: Doubleday and Company, 1968).
- Karl Marx and Friedrich Engels, Manifesto of the Communist Party (Moscow: Progress Publishers, 1848).
- john a. powell and Sara Grossman, “Countering Authoritarianism: Forging a Progressive Response to Fragmentation,” NPQ, March 16, 2023, nonprofitquarterly.org/countering-authoritarianism-forging-a-progressive-response-to-fragmentation/.
- Steve Dubb, “A Clear-Eyed Look at the Consolidation of a Billionaire Class,” NPQ, March 13, 2024, nonprofitquarterly.org/a-clear-eyed-look-at-the-consolidation-of-a-billionaire-class/.
- Martin Gilens and Benjamin I. Page, “Testing Theories of American Politics: Elites, Interest Groups, and Average Citizens,” Perspectives on Politics 12, no. 3 (September 2014): 564–81.
- Thomas Ferguson, Golden Rule: The Investment Theory of Party Competition and the Logic of Money-Driven Political Systems (Chicago: University of Chicago Press, 1995), 27. See also Steve Dubb, “The Struggle Over the Social Contract: Applying an Investment Lens to Politics,” NPQ, February 23, 2022, nonprofitquarterly.org/the-struggle-over-the-social-contract-applying-an-investment-lens-to-politics/.
- Charles E. Lindblom, Politics and Markets: The World’s Political-Economic Systems (New York: Basic Books, 1977). See also Ann Crittenden, “The ‘Veto Power’ of Big Business,” New York Times, January 29, 1978, http://www.nytimes.com/1978/01/29/archives/the-veto-power-of-big-business-business-under-fire.html.
- Steve Dubb, “The Best Elections Money Can Buy,” NPQ, January 25, 2023, nonprofitquarterly.org/the-best-elections-money-can-buy/. See also Syllabus, Citizens United v. Federal Election Commission, no. 08-205, October Term, 2009, http://www.fec.gov/resources/legal-resources/litigation/cu_sc08_opinion.pdf.
- James Manyika et al., Companies in the 21st century: A new look at how corporations impact the economy and households (New York: McKinsey Global Institute, June 2021), 1.
- Spencer Y. Kwon, Yueran Ma, and Kaspar Zimmermann, “100 Years of Rising Corporate Concentration,” Insights/Research Brief, Becker Friedman Institute for Economics, University of Chicago, April 5, 2023, bfi.uchicago.edu/insight/research-summary/100-years-of-rising-corporate-concentration/.
- Press Association, “Children spend only half as much time playing outside as their parents did,” The Guardian, July 27, 2016, http://www.theguardian.com/environment/2016/jul/27/children-spend-only-half-the-time-playing-outside-as-their-parents-did. See also Caitriona Maria, “Fading Fun: The Critical Mission To Keep American Kids at Play,” Star Local Media, March 3, 2024, starlocalmedia.com/news/state/fading-fun-the-critical-mission-to-keep-american-kids-at-play/article_c74d265d-8c2b-567f-b032-269b606788bc.html.
- Melinda Wenner Moyer, “Kids as Young as 8 Are Using Social Media More Than Ever, Study Finds,” New York Times, March 24, 2022, http://www.nytimes.com/2022/03/24/well/family/child-social-media-use.html.
- Tassia K. Oswald et al., “Psychological impacts of ‘screen time’ and ‘green time’ for children and adolescents: A systematic scoping review,” PLoS ONE 15, no. 9 (September 2020): e0237725.
- Sarah Churchwell, “A Brief History of the American Dream,” The Catalyst, no. 21 (Winter 2021), http://www.bushcenter.org/catalyst/state-of-the-american-dream/churchwell-history-of-the-american-dream.
- Ibid.
- Ibid. For some of the factors behind this shift in the meaning of the American dream, see Steve Dubb, “Of Myths and Markets: Moving Beyond the Capitalist God That Failed Us,” NPQ, April 19, 2023, nonprofitquarterly.org/of-myths-and-markets-moving-beyond-the-capitalist-god-that-failed-us/.
- Alissa Quart, Bootstrapped: Liberating Ourselves from the American Dream (New York: Ecco, 2023), 4, 5.
- Steve Dubb and Alissa Quart, “America’s Broken Safety Net—and How to Address It: An Interview with Alissa Quart,” NPQ, March 15, 2023, nonprofitquarterly.org/americas-broken-safety-net-and-how-to-address-it-an-interview-with-alissa-quart/.
- Benjamin Y. Fong and Melissa Naschek, “NGOism Serves the Status Quo,” interview by Jennifer C. Pan and Cale Brooks, Jacobin, June 14, 2021, jacobin.com/2021/06/ngoism-nonprofit-foundation-status-quo-community-unions.
- Ibid.
- Dubb and Quart, “America’s Broken Safety Net.”
- Steve Dubb, “Nonprofits and Movements: How Do the Two Relate?,” NPQ, March 29, 2023, nonprofitquarterly.org/nonprofits-and-movements-how-do-the-two-relate/
- Maurice Mitchell, “Building Resilient Organizations: Toward Joy and Durable Power in a Time of Crisis,” NPQ, The Forge, and Convergence, November 29, 2022, nonprofitquarterly.org/building-resilient-organizations-toward-joy-and-durable-power-in-a-time-of-crisis/.
- Nicole Wires, “Making Economic Democracy Work: How to Practice Shared Leadership,” NPQ, November 28, 2023, nonprofitquarterly.org/making-economic-democracy-work-how-to-practice-shared-leadership/.
- Erica Smiley, “The Great Awakening, and Workers’ Fight to Stay Woke,” Nonprofit Quarterly Magazine 30, no. 2 (Summer 2023): 48–57.
- Harold Meyerson, “Starbucks Stops Opposing Its Baristas’ Union,” American Prospect, February 27, 2024, prospect.org/labor/2024-02-27-starbucks-stops-opposing-baristas-union-master-contract/.
- Barry Eidlin, “Shawn Fain Is Channeling the Best of the UAW’s Past,” Jacobin, October 16, 2023, jacobin.com/2023/10/shawn-fain-united-auto-workers-past-walter-reuther-strike.
- Steve Dubb, “Could a Union Win in Chattanooga Lead to Greater Labor Gains in the South?” NPQ, May 1, 2024, nonprofitquarterly.org/could-a-union-win-in-chattanooga-lead-to-greater-labor-gains-in-the-south/.
- Paul Prescod, “UAW President Shawn Fain Is Showing How to Build Working-Class Struggle,” Jacobin, September 28, 2023, jacobin.com/2023/09/shawn-fain-uaw-strike-leadership-class-struggle/. And see Rithika Ramamurthy, “Striketober, Again!,” NPQ, October 25, 2023, nonprofitquarterly.org/ striketober-again/.
- Prescod, “UAW President Shawn Fain Is Showing How to Build Working-Class Struggle.”
- Dubb, “Could a Union Win in Chattanooga Lead to Greater Labor Gains in the South?”; Luke Tonachel, “The Successful UAW Strike Portends a Successful EV Transition,” Expert Blog, National Resources Defense Council, November 20, 2023, http://www.nrdc.org/bio/luke-tonachel/successful-uaw-strike-portends-successful-ev-transition; and “UAW Statement on Gaza and Palestine,” United Auto Workers, December 1, 2023, uaw.org/uaw-statement-israel-palestine/.
- “Building Movement-Accountable Government: A Conversation with Steve Dubb, Rithika Ramamurthy, and Maurice Mitchell,” Nonprofit Quarterly Magazine 30, no. 2 (Summer 2023): 42–47.
- Mitchell, “Building Resilient Organizations.”
- Wires, “Making Economic Democracy Work.”
- Ibid.
- CJ Garcia-Linz, “The Labor Movement Includes Nonprofit Workers, Too,” Teen Vogue, February 12, 2024, http://www.teenvogue.com/story/labor-movement-includes-nonprofit-workers-oped.
- Mitchell, “Building Resilient Organizations.”
- Dubb, Ramamurthy, and Mitchell, “Building Movement-Accountable Government.”
- Emily Kawano, “Imaginal Cells of the Solidarity Economy,” Nonprofit Quarterly Magazine 28, no. 2 (Summer 2021): 48–55.
- Emily Kawano et al., “Stories of Organizational Transformation: Moving Toward System Change and a Solidarity Economy,” Nonprofit Quarterly Magazine 30, no. 2 (Summer 2023): 76.
- Ibid, 78.
- Esteban Kelly and Mo Manklang, “Unlikely Advocates: Worker Co-ops, Grassroots Organizing, and Public Policy,” Nonprofit Quarterly Magazine 30, no. 2 (Summer 2023): 66–75.
- See, for example, Mark Fisher, “It’s easier to imagine the end of the world than the end of capitalism,” in Capitalist Realism: Is There No Alternative? (London, England: Zero Books, 2022), 1–15.
- Cate Fox and Nichole M. Christian, “How Philanthropy Can Show Up for an Arts Solidarity Economy,” NPQ, January 18, 2023, nonprofitquarterly.org/how-philanthropy-can-show-up-for-an-arts-solidarity–economy/.
