เรียบเรียงจาก “The Climate Book created by Greta Thunberg” เขียนโดย Ana M. Vicedo-Cabrera : Environmental Epidemiologist, Leader of the Climate Change and Health research group at the University of Bern

ความร้อนเป็นหนึ่งในภัยคุกคามด้านสิ่งแวดล้อมที่ใหญ่ที่สุดที่เรากำลังเผชิญ ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา คลื่นความร้อนสุดขั้วในประวัติศาสตร์ เช่น คลื่นความร้อนในยุโรปปี 2003 หรือในรัสเซียปี 2010 แสดงให้เห็นถึงความรุนแรงของภัยนี้อย่างชัดเจน โดยมีผู้เสียชีวิตส่วนเกินนับหลายพันคนในช่วงเวลาดังกล่าว ปัจจุบัน ประมาณ 1% ของการเสียชีวิตทั่วโลกสามารถเชื่อมโยงกับความร้อน โดยมีอัตราการเสียชีวิตจากความร้อนประมาณ 7 รายต่อประชากร 100,000 คนต่อปี ซึ่งใกล้เคียงกับจำนวนผู้เสียชีวิตจากโรคมาลาเรีย (ดูรูปที่ 1)

เราไม่สามารถพูดถึงเรื่องความร้อนได้โดยไม่พูดถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศซึ่งเป็นสาเหตุหนึ่งในสามของการเสียชีวิตจากความร้อนในปัจจุบัน — คิดเป็น 37% ของการเสียชีวิตที่เกี่ยวข้องกับความร้อนระหว่างปี 1991 ถึง 2018 เมื่อพิจารณาจากภาระการเสียชีวิตที่มากขนาดนี้ ภายใต้ภาวะโลกร้อนที่เพิ่มขึ้นเพียง 0.5–1°C ก็สามารถคาดการณ์ได้ว่าภาระนี้จะยิ่งเพิ่มขึ้นในทศวรรษต่อ ๆ ไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากอุณหภูมิเพิ่มขึ้นเกิน 2, 3 หรือแม้กระทั่ง 4°C

งานวิจัยล่าสุดได้คาดการณ์ว่า ในกรณีที่เลวร้ายที่สุด (คือ หากการปล่อยก๊าซเรือนกระจกยังคงอยู่และไม่มีมาตรการปรับตัวใด ๆ) วิกฤตสภาพภูมิอากาศจะทำให้จำนวนผู้เสียชีวิตจากความร้อนเพิ่มขึ้นถึง 10 เท่าภายในสิ้นศตวรรษนี้ โดยเฉพาะในภูมิภาคอย่างยุโรปตอนใต้ เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ และอเมริกาใต้ ภายใต้สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดดังกล่าว

ที่สำคัญ แนวโน้มทางสังคมในปัจจุบัน เช่น ประชากรสูงอายุและการเพิ่มขึ้นของเมือง จะยิ่งเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาให้ความเสี่ยงจากความร้อนรุนแรงขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงจากความร้อนมักพบมากในเขตเมือง (บางส่วนเป็นผลมาจากปรากฏการณ์เกาะความร้อนในเมือง) และในกลุ่มผู้สูงอายุซึ่งมีความเปราะบางต่อผลกระทบทางสรีรวิทยาของความร้อน

เมื่อมนุษย์เผชิญกับอุณหภูมิที่สูง ร่างกายจะมีระบบต่าง ๆ เพื่อรักษาอุณหภูมิภายในให้อยู่ในช่วงที่ปลอดภัย (และแคบมาก) ใกล้ 37°C อย่างไรก็ตาม กลไกเหล่านี้อาจไม่สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพในบางคน หรืออาจล้มเหลวเมื่อต้องเผชิญกับความร้อนที่รุนแรง โดยเฉพาะเมื่อความร้อนนั้นมาพร้อมกับความชื้นสูง เราต้องการอากาศรอบตัวที่เย็นพอเพื่อดึงความร้อนออกจากร่างกายของเรา แต่เรากลับต้องใช้ชีวิตในสิ่งแวดล้อมที่อากาศมักจะอุ่นกว่าร่างกายของเราอยู่เสมอ

เรายังต้องการให้ความชื้นในอากาศต่ำพอเพื่อให้ร่างกายสามารถระบายความร้อนผ่านการขับเหงื่อได้อย่างมีประสิทธิภาพ เมื่อความชื้นสัมพัทธ์ในอากาศถึง 100% เหงื่อจะไม่สามารถระเหยได้อีกต่อไป ส่งผลให้ร่างกายไม่สามารถระบายความร้อนออกทางผิวหนังได้อีก อุณหภูมิที่มาพร้อมกับความชื้น 100% นี้เรียกว่า “อุณหภูมิกระเปาะเปียก” (wet bulb temperature) ซึ่งหากอุณหภูมิกระเปาะเปียกอยู่ที่ประมาณ 35°C จะถึงระดับที่เป็นอันตรายถึงชีวิต — แต่ความเสียหายต่อร่างกายก็สามารถเกิดขึ้นได้ก่อนถึงจุดนั้น

เมื่อเกิดความร้อนสุดขั้วขึ้น ร่างกายมนุษย์จะไม่สามารถรับมือได้ ซึ่งจะกระตุ้นให้เกิดกลไกต่าง ๆ ที่นำไปสู่ผลกระทบต่อสุขภาพในหลายรูปแบบ ซึ่งแตกต่างจากความเข้าใจทั่วไปที่คิดว่าการเสียชีวิตจากโรคลมแดดเป็นสาเหตุหลัก เพราะความจริงแล้ว การเสียชีวิตจากโรคลมแดดมีสัดส่วนเพียงเล็กน้อยในบรรดาการเสียชีวิตที่เกิดจากความร้อน ความร้อนสามารถเป็นปัจจัยกระตุ้นให้เกิดโรคเฉียบพลันต่าง ๆ เช่น หัวใจวาย หรือทำให้อาการของโรคเรื้อรัง เช่น โรคปอดอุดกั้นเรื้อรัง (COPD) แย่ลง ความตายจึงเป็นเพียงยอดของภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น เพราะความร้อนยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเข้าโรงพยาบาลจากโรคหัวใจ โรคทางเดินหายใจ และการคลอดก่อนกำหนด

ความร้อนส่งผลกระทบต่อประชากรทุกกลุ่มทั่วโลก แต่กลุ่มที่เปราะบางเป็นพิเศษในทางสรีรวิทยา ได้แก่ ผู้สูงอายุ หญิงตั้งครรภ์ เด็ก และผู้ที่มีโรคประจำตัว ผลกระทบจากความร้อนยังแตกต่างกันไปตามภูมิภาค ประเทศ หรือแม้แต่ในเมืองต่าง ๆ ของประเทศเดียวกัน ตัวอย่างเช่น ในยุโรป พื้นที่แถบเมดิเตอร์เรเนียนมีความเสี่ยงจากความร้อนสูงกว่าทางตอนเหนือ ขนาดของผลกระทบขึ้นอยู่กับความรุนแรงของความร้อน สัดส่วนของประชากรเปราะบางในพื้นที่นั้น ๆ และทรัพยากรที่มีอยู่เพื่อปกป้องตนเองจากความร้อน การประเมินล่าสุดพบว่า กลุ่มประชากรในเขตเมืองที่มีความเหลื่อมล้ำสูงมักได้รับผลกระทบมากที่สุด

ในโลกปัจจุบัน ฤดูร้อนที่ร้อนจัดและเหตุการณ์ความร้อนสุดขั้วกลายเป็นเรื่องปกติมากขึ้น เราจำเป็นต้องเข้าใจว่าควรลดความเปราะบางของเราได้อย่างไร — หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราจะปรับตัวต่ออุณหภูมิที่สูงขึ้นอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไร แม้ว่าเราจะเคยปรับตัวต่อความร้อนได้บ้างในอดีตก็ตาม

แม้ว่าเราจะเผชิญกับความร้อนมากขึ้นในช่วงหลายทศวรรษที่ผ่านมา แต่ก็ยังไม่ชัดเจนว่ามาตรการในการปรับตัวใดเหมาะสมที่สุดในอนาคต ระบบเครื่องปรับอากาศเคยถูกมองว่าเป็นทางออกที่มีประสิทธิภาพ แต่ก็ไม่ใช่วิธีเดียวที่เรามี และเรายังไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าระบบนี้จะยังมีประสิทธิภาพในโลกที่ร้อนขึ้นอย่างมาก — โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาผลกระทบต่อการใช้พลังงานและความเหลื่อมล้ำทางสังคม การใช้เครื่องปรับอากาศไม่ใช่ทางเลือกที่เป็นจริงสำหรับหลายคน

มาตรการด้านสาธารณสุข เช่น ระบบแจ้งเตือนคลื่นความร้อน แม้จะพิสูจน์แล้วว่ามีประโยชน์ แต่เราก็ควรใช้ความระมัดระวัง เพราะสิ่งที่ใช้ได้ผลในวันนี้อาจไม่ได้ผลดีในวันข้างหน้า

ความเหลื่อมล้ำที่เพิ่มขึ้น เมืองที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว และการใช้ทรัพยากรธรรมชาติที่หมดไป ล้วนเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับการเปลี่ยนแปลวิกฤตสภาพภูมิอากาศ และยังส่งผลกระทบต่อสุขภาพของเราทั้งทางตรงและทางอ้อม ดังนั้นจึงเป็นสิ่งสำคัญที่เราต้องพิจารณามาตรการที่ครอบคลุม มีผลกระทบในวงกว้าง และกล้าหาญมากขึ้น

นี่คือหนึ่งในข้อความสำคัญที่นักวิทยาศาสตร์พยายามสื่อมาตั้งแต่การระบาดของโควิด-19 ซึ่งเผยให้เห็นถึงข้อบกพร่องในระบบสาธารณสุขของเรา แม้จะมีคำเตือนจากผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับความเสี่ยงจากโรคติดต่ออุบัติใหม่ การระบาดระลอกแรกของโควิด-19 ก็ยังสร้างความประหลาดใจต่อแทบทุกคน และทำให้รัฐบาลและหน่วยงานสาธารณสุขไม่ทันตั้งตัว

เช่นเดียวกับกรณีของวิกฤตสภาพภูมิอากาศ การแพร่กระจายของข้อมูลผิด ความไม่ไว้วางใจในงานวิจัย การขาดผู้นำในชุมชน และการขาดการเชื่อมโยงกันระหว่างผู้กำหนดนโยบาย นักวิทยาศาสตร์ และประชาชนทั่วไป ต่างเป็นปัจจัยที่เพิ่มแรงกดดันให้กับระบบรับมือวิกฤตสุขภาพทั่วโลกครั้งนี้

เหตุการณ์ครั้งนี้สอนให้เรารู้ว่า การป้องกัน เตรียมความพร้อม และรับมืออย่างมีประสิทธิภาพและทันเวลา คือกุญแจสำคัญในการลดความเสี่ยงจากวิกฤตสุขภาพในอนาคต ดังนั้นเราควรเรียนรู้จากความผิดพลาดที่ผ่านมา ยังไม่สายเกินไปที่จะสร้างโลกที่เข้มแข็ง ยั่งยืน และเท่าเทียมยิ่งขึ้นสำหรับคนรุ่นต่อไป