กัลยาณมิตรท่านหนึ่งได้ทักทายผมถึงกรณีการวิพากษ์ถึงนักกิจกรรมทางสังคมรุ่นเดอะที่แสดงบทบาทกลายเป็นเครื่องมือฟอกเขียวของกลุ่มทุน บอกว่าสิ่งที่ผมเขียนเผยแพร่ผ่าน social media ในเรื่องดังกล่าวมีความคลุมเครือ จะวิพากษ์ก็ไม่วิพากษ์ จะชี้นำก็ไม่ชี้นำ ไม่รู้ว่าต้องการจะบอกอะไร ซึ่งผมก็น้อมรับข้อบกพร่องด้วยใจจริง

ผมถือโอกาสแก้ตัวไปว่า ด้วยความที่สถานะของผมก็เปลี่ยนแปลง เพิ่งก้าวลงจากความเป็น activist ขององค์กรที่ผมและผองเพื่อนร่วมกันก่อร่างขึ้นมาเมื่อ 25-26 ปีก่อน มาเป็น freelancer จึงขอสร้างความคลุมเครือในเรื่องนี้ไปก่อนจนกว่าจะตั้งหลักได้

ประสบการณ์ทำงานบริหารองค์กรรณรงค์อิสระที่มีจุดยืนชัดเจนว่าไม่รับเงินจากรัฐหรือบรรษัทและต้องยึดถือ code of conduct และกำกับดูแลนโยบายภายในต่างๆ ตั้งแต่เรื่องการหลีกเลี่ยงผลประโยชน์ทับซ้อน(Avoiding conflict of interest) การหลีกเลี่ยงการทุจริตและคอร์รัปชัน(Avoiding Fraud and Corruption) ความรับผิดชอบด้านสิ่งแวดล้อม(Environmental Responsibility) ความโปร่งใสตรวจสอบได้ทางการเงิน(Financial Responsibility) ไปจนถึงการป้องกันการเลือกปฏิบัติและการล่วงละเมิด รวมถึงการล่วงละเมิดทางเพศ(Preventing Discrimination and Harassment, including sexual harassment) ฯลฯ รวมถึงหลักการ JEDIS – Jutisce (ความยุติธรรม) Equity (ความเสมอภาค) Diversity (ความหลากหลาย) Inclusion (การยอมรับความแตกต่าง) และ Safety (ความปลอดภัย) นั้นเป็นภารกิจท้าทายที่ต้องแบกรับพอๆ กับการทำงานรณรงค์ให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในสังคม

การใช้ประสบการณ์ทั้งหลายนี้มาวิพากษ์ผู้คนหรือองค์กร NGO/ไม่แสวงหากำไรต่างๆ ที่มีแบบจำลองการทำงานที่ต่างออกไป และยังอาจไม่มีทรัพยากร/เครื่องมือตรวจสอบตนเองที่เพียงพอครบถ้วน หรือมีจุดยืนในเรื่องจัดความสัมพันธ์กับรัฐและทุนที่แตกต่างออกไป โดยผมอาจไม่เข้าใจบริบทที่เป็นอยู่ หรือความหลากหลายแตกต่างและเฉดสีของกลุ่มองค์กรต่างๆ อย่างครบถ้วนนั้นก็คงไม่ยุติธรรมเท่าไร หรืออาจเป็นการด่วนสรุปเกินไป

สิ่งที่ผมอยากเห็นมากกว่าคือการเปิดพื้นที่ให้มีการอภิปรายถกเถียงในหมู่คนทำงานภาคประชาสังคม(civil society organization)และองค์กรไม่แสวงหากำไร(non profit organization) / ในสังคมไทยเพื่อสำรวจตรวจสอบตนเองอย่างจริงจังก่อนที่ขบวนการเคลื่อนไหมทางสังคมสิ่งแวดล้อมจะหมดพลังมากไปกว่านี้ และสุดท้ายอาจกลายเป็นซากปรักหักพังหรือสิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์ ท่ามกลางสารพัดวิกฤตโลกที่ถาโถมเข้ามา

หลักการเปิดพื้นที่เพื่อสนทนาเรื่องยากๆ เหล่านี้ใช้หลักการง่ายๆ ครับคือ “ถกเถียงกันโดยยังไม่ต้องหาข้อสรุป ดีกว่าหาข้อสรุปโดยไม่ต้องถกเถียงกันเลย”

เพื่อตอบโจทย์ที่ท้าทายจากกัลยาณมิตรท่านนั้นให้ชัดเจนขึ้น ก่อนจะไปสู่คำถามที่ว่า “ภาคประชาสังคมไทยและองค์กรไม่แสวงหากำไรในประเทศไทยควรจะไปให้พ้นจาก “การยึดกุมโดยรัฐอำนาจนิยม(State Capture) และบรรษัท(Corporate Capture)” หรือไม่? อย่างไร?”ในเบื้องต้นนี้ ผมขอแลกเปลี่ยนกรอบความคิดว่าด้วยกฏการเปลี่ยนแปลง 8 ข้อ (The 8 Law of Change) ดังนี้

  • สมาชิกแต่ละคนและกลุ่มโดยรวมต้องมีเจตจำนงร่วมกันอย่างแท้จริง
  • สมาชิกแต่ละคนและกลุ่มมีเป้าหมายได้แต่ต้องไม่ยึดติดกับผลลัพธ์ที่จะก่อเกิดขึ้น
  • สมาชิกในกลุ่มต้องยอมรับว่าเป้าหมายของพวกเขาอาจไม่สัมฤทธิ์ผลในช่วงชีวิตของตน และต้องยอมรับสิ่งนี้ได้อย่างแท้จริง
  • สมาชิกในกลุ่มต้องยอมรับว่าพวกเขาอาจไม่ได้รับเครดิตหรือการยกย่องในสิ่งที่ได้ทำ และต้องยอมรับสิ่งนี้อย่างแท้จริง
  • สมาชิกแต่ละคนในกลุ่ม ไม่ว่าจะมีเพศ ศาสนา เชื้อชาติ หรือวัฒนธรรมใด ต้องได้รับความเสมอภาคขั้นพื้นฐาน แม้ว่าจะมีบทบาทและลำดับขั้นในภารกิจที่แตกต่างกัน
  • สมาชิกในกลุ่มต้องละเว้นจากความรุนแรงทั้งทางคำพูด การกระทำ หรือแม้แต่ในความคิด
  • สมาชิกในกลุ่มและกลุ่มโดยรวมต้องทำให้ตัวตนส่วนตัวสอดคล้องกับสิ่งที่แสดงออกในที่สาธารณะ
  • สมาชิกในกลุ่มและกลุ่มโดยรวมต้องดำเนินการทุกอย่างจากความเป็นตัวตนที่ยึดมั่นในความซื่อสัตย์สุจริตที่ส่งเสริมชีวิตเสมอ

กฏทั้ง 8 ข้อนี้มิใช่กฏเหล็กหรือคัมภีร์ และมิใช่เรื่องคุณธรรม/จริยธรรมเคร่งครัด หากเป็นเสมือน “Inside Out” “สิ่งที่เตือนใจ” หรือในหลายๆ กรณี อาจเป็นเสมือน “เข็มทิศนำทาง” ของใครก็ตามที่ปรารถนาจะเป็นผู้นำการเปลี่ยนแปลง (agent of change) ด้วยพลังในการสร้างความเป็นอยู่ที่ดีของสังคมทั้งในระดับปัจเจก สังคมและระดับโลก

(โปรดติดตามต่อไป)