
สำนักงานอุตุนิยมวิทยาแห่งสหราชอาณาจักร (UK Met Office) อาจไม่มีอะไรเกี่ยวกับการเมืองไทย แต่ “พยากรณ์โลก” ฉบับล่าสุดของเขาควรถูกยกขึ้นมาอยู่กลางเวทีถกเถียงของไทยในปีเลือกตั้งอย่างจริงจัง เพราะ Met Office คาดว่าอุณหภูมิเฉลี่ยโลกปี 2569 มีแนวโน้มอยู่สูงกว่า 1.4°C เมื่อเทียบกับค่าฐานปี ค.ศ. 1850–1900 โดยให้ค่ากลางที่ 1.46°C และกรอบความเป็นไปได้ 1.34–1.58°C พร้อมระบุว่ามีโอกาสที่จะเฉียดเกิน 1.5°C แบบชั่วคราวได้อีกครั้ง
นี่ไม่ใช่ “ฉากทัศน์อนาคตยาวไกล” แต่มันคือสภาพแวดล้อมที่ประเทศไทยกำลังจะต้องใช้บริหารประเทศ ในการปกป้องชีวิตผู้คน คุมราคาข้าวของเครื่องใช้ ทำให้โรงงานเดินเครื่อง ทำให้เมืองทำงานได้ และทำให้ระบบสาธารณสุขไม่พัง ในความหมายทางนโยบาย ปี 2569 อาจเป็นอีกปีที่สภาพภูมิอากาศ “ร้อนกว่าเดิม” จนทำให้สมมติฐานที่ซ่อนอยู่ในมาตรฐานโครงสร้างพื้นฐาน แผนสาธารณสุข การจัดการน้ำ และสำคัญที่สุด นโยบายพลังงานของไทย “ล้าสมัย” อย่างเป็นระบบ
ปัญหาโลกร้อนของไทย “หนักกว่า” ค่าเฉลี่ยโลก
ตัวเลขโลกเป็นเพียงพาดหัว แต่ความจริงที่คนไทยสัมผัสคือระดับประเทศและระดับพื้นที่และพื้นดินร้อนเร็วกว่ามหาสมุทร Berkeley Earth ระบุชัดว่าเพราะผืนดินโดยทั่วไปอุ่นขึ้นเร็วกว่าทะเล ประเทศส่วนใหญ่จึงจะร้อนเร็วกว่าค่าเฉลี่ยโลกและการร้อนเร็วนำไปสู่ผลกระทบที่มาเร็วขึ้น รวมถึงความเสี่ยงต่อสภาพอากาศรุนแรง
สำหรับไทย ประเด็นจึงไม่ใช่แค่ “อากาศร้อนขึ้น” แต่คือการซ้อนทับของความเสี่ยงหลายชั้นในเวลาเดียวกัน: ร้อน+ชื้น ร้อน+ความต้องการไฟฟ้าพุ่ง ร้อน+ภัยแล้ง ร้อน+ฝนกระหน่ำ ร้อน+น้ำทะเลหนุน ความเปลี่ยนแปลงไม่ใช่เส้นแนวโน้มสวยๆ แต่เป็น “ตัวขยาย” ที่ทำให้ความผันผวนตามฤดูกาลกลายเป็นเหตุการณ์สุดขั้วที่กระทบชีวิตและเศรษฐกิจ
เครื่องมือคาดการณ์ระดับประเทศของ Berkeley Earth (ตามผลสรุปใน policy insights) ชี้ว่าไทยร้อนขึ้นแล้วราว +2°C ภายในปี 2565 และขึ้นอยู่กับเส้นทางการปล่อยก๊าซเรือนกระจกอาจมุ่งไปสู่ราว +4°C ในปี ค.ศ.2100 แม้จะมีความไม่แน่นอนของตัวเลขใดตัวเลขหนึ่ง แต่ทิศทางชัดเจนคืออนาคตที่เป็นไปได้รวมถึงระดับความร้อนที่ท้าทาย “ความอยู่ได้” ของแรงงานกลางแจ้ง ความมั่นคงของระบบไฟฟ้า ผลผลิตเกษตร และความทนทานของระบบสาธารณสุข
ค่าเฉลี่ยโลก 1.46°C ไม่ได้แปลว่า “ทุกที่ร้อนขึ้นเท่ากัน” แต่มันคือ “สภาพพื้นหลัง” ที่ทำให้วันที่เลวร้ายที่สุดของไทยเกิดถี่ขึ้นและรุนแรงขึ้น
เริ่มจากความร้อน ไทยเป็นประเทศที่ความชื้นทำให้ “อากาศร้อน” กลายเป็น “ความเครียดต่อร่างกายที่อันตราย” ได้ง่าย เมื่อพื้นหลังร้อนขึ้น จำนวนวันที่คนงานก่อสร้าง ไรเดอร์ แม่ค้าพ่อค้าแผงลอย เกษตรกร และแรงงานในโรงงานทำงานกลางแจ้งได้อย่างปลอดภัยจะลดลง หากไม่มีมาตรการพัก-ดื่มน้ำ-พื้นที่เย็นอย่างเพียงพอ ความร้อนจึงเป็นประเด็น “สิทธิแรงงาน” ไม่ใช่แค่เรื่องสภาพอากาศ และเพราะความเสี่ยงจากความร้อนผูกกับคุณภาพที่อยู่อาศัย การเข้าถึงเครื่องทำความเย็น และอำนาจในการหยุดงาน มันจึงตกหนักกับคนรายได้น้อยที่สุด—กลายเป็นตัวคูณความเหลื่อมล้ำ
ต่อมาคือระบบไฟฟ้า วันที่ร้อนจัดทำให้ความต้องการใช้ไฟเพื่อทำความเย็นพุ่งสูง หากไทยยังเดินหน้าล็อกอินโครงสร้างพื้นฐานฟอสซิลระยะยาว ขณะเดียวกันลงทุนไม่พอในพลังงานหมุนเวียนที่สะอาดแบบยืดหยุ่น ระบบกักเก็บพลังงาน การตอบสนองด้านอุปสงค์ และประสิทธิภาพพลังงาน เรากำลังสร้างระบบที่แพง เปราะบาง และปล่อยคาร์บอนสูง ในช่วงเวลาที่ “ค่าปรับจากภูมิอากาศ” ต่อการปล่อยคาร์บอนกำลังทวีความรุนแรง
แล้วก็เรื่องน้ำ โลกที่อุ่นขึ้นทำให้อากาศกักเก็บไอน้ำได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสของ “ฝนตกหนักแบบสุดโต่ง” ขณะเดียวกันช่วงร้อนจัดก็เร่งการระเหยและทำให้ดินแห้งเร็ว นี่คือเหตุผลว่าทำไมปีเดียวกันจึงสามารถสลับระหว่างความเสี่ยงขาดแคลนน้ำกับน้ำท่วมได้ สำหรับไทย นี่ไม่ใช่บทเรียนอุตุนิยมวิทยา แต่คือความเสี่ยงต่อปฏิทินเพาะปลูก ผลผลิต ผลไม้-ข้าว ราคาอาหาร และความมั่นคงน้ำของภาคอุตสาหกรรม โดยเฉพาะเมื่อการวางแผนยังยึดสถิติฝนในอดีตเป็น “กฎตายตัว”
สุดท้ายคือชายฝั่ง โลกที่ร้อนขึ้นนำไปสู่ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นในระยะยาว และระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นทำให้ “น้ำหนุนตามปกติ + พายุ/ฝนหนัก” กลายเป็น “เมืองสะดุด” ได้ง่ายขึ้น จังหวัดชายฝั่งและพื้นที่มหานครของไทยรวมมูลค่าเศรษฐกิจจำนวนมหาศาล ความเสี่ยงจึงไม่ใช่แค่บ้านเรือน แต่รวมถึงท่าเรือ ถนน โลจิสติกส์ ระบบบำบัดน้ำเสีย และระบบประกันภัย-เครดิตที่เป็นผู้ตัดสินเงียบ ๆ ว่าอะไรสร้างได้ ซ่อมได้ หรือกู้ได้
หลังปี 2569 : ทศวรรษที่ชี้ชะตาเส้นทางของไทย
พยากรณ์ของ Met Office สะท้อนว่าปี 2569 จะต่อเนื่องจากชุดปีที่ร้อนจัดมาก โดยชี้ความเป็นไปได้ที่จะกลับไปเฉียด/เกิน 1.5°C แบบชั่วคราวได้อีก ข้อความลึกกว่านั้นคือ “การเกินชั่วคราว” ไม่ใช่เหตุการณ์สะเทือนใจที่เกิดครั้งเดียว แต่เป็นสัญญาณเตือนที่อาจเกิดซ้ำ ๆ
ในขณะที่ Berkeley Earth อธิบายกรอบฉากทัศน์การปล่อยก๊าซเรือนกระจกที่ใช้กันแพร่หลายในวิทยาศาสตร์ภูมิอากาศ ตั้งแต่เส้นทางปล่อยต่ำ (SSP1-2.6) เส้นทางระดับกลางที่มักสะท้อนพฤติกรรมโลกปัจจุบัน (SSP2-4.5) ไปจนถึงเส้นทางปล่อยสูง (SSP3-7.0) และยังชี้ว่า หากไม่ลดการปล่อยอย่างรวดเร็ว ค่าเฉลี่ยโลกในระยะยาวถูกคาดว่าจะข้ามเส้น 1.5°C ในช่วงคริสตทศวรรษ 2030 นั่นหมายความว่า รัฐบาลไทยชุดถัดไปที่เกิดขึ้นภายใต้เงาการเลือกตั้งต้นปี 2569 จะบริหารประเทศในช่วง “ปีชี้เป็นชี้ตาย” ว่าวิกฤตนี้จะเป็นแค่ความโหดร้ายที่รับมือได้หรือจะเทไปสู่ระดับที่จัดการแทบไม่ไหว
การถกเถียงเรื่องภูมิอากาศของไทยต้องยกระดับจากคำขวัญไปสู่ “ขีดความสามารถของรัฐ” ใน 3 เรื่องนี้ที่มิอาจเลี่ยงได้ :
- วาระความปลอดภัยสาธารณะที่เริ่มจากความร้อน แผนรับมือคลื่นความร้อน การคุ้มครองแรงงาน การเข้าถึงพื้นที่เย็น/เครื่องทำความเย็นของคนจน มาตรฐานที่บังคับใช้ได้จริงสำหรับโรงเรียน โรงพยาบาล และสถานดูแลผู้สูงอายุ ถ้ารัฐปกป้องคนจากความร้อนไม่ได้ รัฐก็อ้างความชอบธรรมด้านสวัสดิภาพสาธารณะได้ยาก
- ระบบไฟฟ้าที่ออกแบบมาเพื่อสถานการณ์ “สุดขั้ว” ไม่ใช่ “วันเฉลี่ย” เน้นประสิทธิภาพพลังงาน พลังงานหมุนเวียนแบบกระจายศูนย์ ระบบกักเก็บพลังงาน และความยืดหยุ่นด้านอุปสงค์ เพราะความมั่นคงคือการยืนอยู่ได้ในช่วงพีคและช็อก ไม่ใช่แค่ผลิตไฟพอในค่าเฉลี่ยทั้งปี การล็อกอินฟอสซิลใหม่คือการเดิมพันสวนทางทั้งภูมิอากาศและความสามารถแข่งขันในอนาคต
- ธรรมาภิบาลเชิงคาดการณ์ล่วงหน้า ไม่ใช่เพียงแค่รอซ่อม/ฟื้นฟูหลังภัยพิบัติ ระบบเตือนภัยที่ “เตือนแล้วต้องลงมือ” การเงินความเสี่ยงที่ถึงชุมชนก่อนสูญเสียทรัพย์สิน งบปรับตัวระดับท้องถิ่นที่โปร่งใสและเป็นธรรม และการวางผังที่ดิน-น้ำที่ถือความเสี่ยงภูมิอากาศเป็นเงื่อนไขในการออกแบบ
ปี 2569 จะมาถึงไม่ว่าประเทศไทยจะพร้อมหรือไม่ คำถามคือการเมืองไทยจะยังปฏิบัติต่อวิกฤตสภาพภูมิอากาศเป็นแค่หัวข้อหาเสียงหรือจะยอมรับเสียทีว่านี่คือ “บริบทธรรมาภิบาล” ที่กำหนดทุกเรื่อง วิทยาศาสตร์บอกเราแล้วว่าปี 2569 มีแนวโน้มเป็นปีแบบไหน ตัวแปรที่เหลืออยู่คือ “ความกล้าหาญทางนโยบาย” ของเราเอง
